ยุทธเวทผลาญปีศาจ - เล่มที่ 2 บทที่ 33 พิธีจบการศึกษา
สวีหยางอี้กำลังนอนหลับ
เพราะขั้นเลี่ยนชี่ยังไม่สามารถอดกินอดนอนได้เหมือนขั้นจู้จี ดังนั้นเขาจึงต้องพักผ่อน
พอได้หลับ เขาก็หลับลึก
เช้าวันถัดมา เสียงกระดิ่งของโทรศัพท์ก็ปลุกเขาจนตื่น เขาไม่ได้ตั้งค่าเป็นเสียงเพลงอื่นใดเพราะมันยุ่งยากเกินไป
เขาผิวปากฮัมเพลงอาบน้ำจนเสร็จ แม้เขาจะผิวปากเป็นทำนองเพลงอื่นไม่เป็น แต่ตอนที่สอบจบการศึกษาที่นครซานสุ่ย กลับจำทำนองเพลงเสี่ยวผิงกั่ว[1]ได้อย่างไม่รู้ตัว ซึ่งมันเป็นเพลงได้ยินมาจากที่พวกป้าๆ เปิดเต้นแอโรบิคกันในลานกว้าง และตอนนี้เขาก็กำลังผิวปากเป็นทำนองเพลงนี้
หลังหวีผมเสร็จเขาก็สูบบุหรี่ไปหนึ่งมวน เขาไม่ออกไปทานข้าว แต่กลับหยิบขนมปังในกระเป๋าออกมาสองสามแผ่นทานคู่กับนมเป็นข้าวเช้าแทน
ดูจากอากัปกิริยาของเขาแล้ว เหมือนอารมณ์ดีเป็นยิ่งนัก แต่ถ้ามีคนอยู่ต่อหน้าเขาตอนนี้คงจะต้องรับรู้ได้ว่ารอยยิ้มของเขาไม่ได้สดใสมีชีวิตชีวาเหมือนคนเพิ่งตื่นนอนในตอนเช้า และไม่ได้ดูกระปรี้กระเปร่าเหมือนคนพักผ่อนมาเต็มอิ่ม หากแต่เป็นรอยยิ้มที่เฉยเมย เรียบนิ่ง และกระหายเลือด
รอยยิ้มแบบนี้เป็นรอยยิ้มที่ชวนให้ผู้คนหวาดกลัวจนตัวสั่น
ใช่ เขารู้ตัวเป็นอย่างดี เป็นดั่งที่ฉู่เจาหนานคาดเดาไว้เมื่อวานไม่มีผิด เขาวางแผนจะสาวไส้ตัวบงการออกมา!
จ้องเล่นงานฉันเหรอ?
ชอบลองดีนักเหรอ?
ชอบลอบกัดลับหลังใช่ไหม?
ไม่เป็นไร คราวนี้ฉันจะทำให้นายจดจำไปตลอดกาล!
ในเมื่อไม่ยอมคุยกับเขาด้วยเหตุผล เขาก็ไม่คิดจะคุยด้วยเหตุผลอะไรทั้งนั้น ตราบจนกระทั่งจะลากคนบงการคนนั้นออกมาให้ได้
ในเมื่อเกรงกลัวราชสีห์ งั้นก็จงจำให้ขึ้นใจว่าราชสีห์ตัวนี้หน้าตาเป็นอย่างไร!
“ครืด…” บานประตูหินค่อยๆ เคลื่อนเปิด เสียงดังครึกครื้นก็ดังลอยมาทันทีทันที
“คณปู่ ที่นี่กว้างขว้างใหญ่โตมาก!” ในเวลาเดียวกัน หญิงสาวในชุดเสื้อยืดสีขาวและกางเกงยีนกำลังคล้องแขนคนแก่ใบหน้าตกกระ สวมแว่นสายตายาว แต่น้ำเสียงและท่าทางกลับยังกระฉับกระเฉงเหลือคณา พวกเขามองดูสนามประลองหนึ่งในใต้หล้าที่กึกก้องไปด้วยเสียงฝูงชนอย่างตื่นเต้นจนแทบจะมีไฟปะทุออกมาจากดวงตา
ประโยคที่เขียนว่าหนึ่งในใต้หล้าบนเพดาน ทำเอาผู้คนเบื้องล่างแลดูเหมือนมดตัวกระจิด ทว่าในทางกลับกัน มดตัวกระจิดเหล่านี้กลับขับให้สังเวียนดูยิ่งใหญ่โอฬาร เป็นความยิ่งใหญ่ที่เปรียบเสมือนผืนฟ้าและผืนป่าอันไร้ที่สิ้นสุด
ช่างไม่เหมือนกับสองสามวันก่อนหน้า เหนือสังเวียนขนาดใหญ่ขึ้นไปวันนี้ บนอัฒจันทร์ชั้นบนสุดมีศิลาหินแผ่นใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่หนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ดแผ่น!
คราบตะไคร่เขียวเกรอะกรังเต็มไปหมด ด้านบนศิลาบางแผ่นถึงกับมีรอยแตกร้าว ทว่าศิลาทุกแผ่นล้วนแต่มีชื่อที่สลักด้วยตัวหนังสือพลิ้วไหวงดงาม ในบรรดาตัวหนังสือเหล่านั้นมีครึ่งหนึ่งเป็นสีดำ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นสีแดงฉานดั่งโลหิต
ศิลาหินกว้างห้าเมตร สูงสิบห้าเมตรเหล่านี้ขับให้รังสีบารมีของอักษรชื่อขนาดสามเมตรด้านบนเด่นชัดขึ้น
แลดูเป็นศิลาหินที่แฝงเร้นไปด้วยมนตร์ขลัง
“รุ่นที่ 2380 ผู้ชนะ ซ่งจื่อเหวินแห่งนครอวี๋หยาง”
“รุ่นที่ 2393 ผู้ชนะ จ้าวฉุนแห่งนครเทียนเฟิง”
“รุ่นที่ 2397 ผู้ชนะ อู๋ชุนหลายแห่งนครเจาผิง”
“รุ่นที่ 2420 ผู้ชนะ อวี๋หลิงเอ๋อแห่งนครเฟิงอี้”
รายชื่อพวกนี้ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของหน้าประวัติศาสตร์ ราวกับเป็นอนุสาวรีย์ที่คอยย้ำเตือนทุกคนว่าที่นี่คือที่ใด!
ศิลาหินขนาดใหญ่ประหนึ่งเสาค้ำฟ้ายืนต้นตั้งตระหง่านอย่างเงียบสงัดภายใต้ตัวหนังสือหนึ่งในใต้หล้า และบนที่นั่งอัฒจันทร์เบื้องหน้าศิลาหินในตอนนี้ก็ถูกผู้คนมากกว่าหมื่นคนนั่งจับจองเป็นที่เรียบร้อย!
โดยส่วนใหญ่แล้วต่างใส่สูทสวมรองเท้าหนังอย่างเรียบร้อย โดย 80% ของพวกเขาล้วนมีแล็ปท็อปวางอยู่บนตัก และกำลังจ้องมองบนสังเวียนด้วยแววตาอันเฝ้ารอเหนืออื่นใดเปรียบ ดูเผินๆ เหมือนนั่งกันสะเปะสะปะ ทว่ากลับนั่งแบ่งเป็นกลุ่มละหลายสิบคนหรือร้อยคน โดยในมือทุกคนถือเอกสารอยู่ปึกหนึ่งและกำลังพูดคุยกันเสียงแผ่ว
แม้เสียงจะไม่ดังนัก แต่เมื่อเสียงของคนเป็นหมื่นคนรวมกันก็ได้กลายเป็นบรรยากาศที่ทำให้ผู้มาเยือนครึกครื้นขึ้นมาได้ทันที
ด้านบนสังเวียน ล่างตัวอักษรหนึ่งในใต้หล้า ตรงนั้นมีสิ่งที่ดึงดูดสายตาผู้คนนับหมื่น!
“นี่คืออะไร? ป้ายสุสานเหรอ?” ณ มุมๆ หนึ่งตรงอัฒจันทร์มีคนสิบกว่าคนรวมตัวกันอยู่ มีวัยรุ่นคนหนึ่งที่ดูก็รู้ว่าเพิ่งมาเป็นครั้งแรก เขาดูตื่นตาตื่นใจจนหน้าแดงเรื่อและกำลังพูดและชี้ไปยังศิลาสูงสิบกว่าเมตรเป็นร้อยๆ แท่นเหล่านั้นอย่างตื่นเต้น
สิ้นสุดเสียงเอ่ย หญิงสูงวัยที่อยู่ข้างๆ คนหนึ่งก็รีบเอามือปิดปากเขาทันที เธอใจเสียจนเหงื่อเย็นแตกพลั่ก “หลานรัก… แกพูดซี้ซั้วอะไรของแก?! นี่มันรายชื่อของผู้ที่ได้อันดับหนึ่งของแต่ละรุ่นเชียวนะ! ตอนจบการศึกษา ใครบ้างที่ไม่ใช่อัจฉริยะล้ำเลิศ? มีเพียงรายชื่อที่เป็นสีดำเหล่านั้นที่เป็นรุ่นพี่ที่ตายจาก ส่วนคนที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่ง อย่างน้อยก็เป็นรุ่นพี่ขั้นจู้จีทั้งสิ้น!”
เมื่อได้ยินคำว่ารุ่นพี่ขั้นจู้จี วัยรุ่นก็ตกใจจนสะดุ้งโหยง และรีบหุบปากทันที
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็กระตุกแขนเสื้อหญิงสูงวัย “คุณยาย… แล้วศิลาที่ยังว่างอยู่นั่นเตรียมไว้สำหรับรายชื่ออันดับหนึ่งของปีนี้ใช่ไหมครับ? แต่ทำไมมีอยู่สองแท่นล่ะ? อันดับหนึ่งควรมีคนเดียวไม่ใช่เหรอ?”
หญิงสูงวัยมองไปที่๑ศิลาสองแท่นนั้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนพยักหน้าเอ่ยขึ้นเสียงนุ่ม “หลานรัก… แกจำไว้ให้ดี… ศิลาแท่นหนึ่งในนั้น ก็คือรายชื่อของอันดับหนึ่งของปีนี้ไม่ผิดแน่ แต่อีกแท่นหนึ่งคงไม่มีชื่อสลัก”
“ทำไมเหรอครับ?”
“เพราะว่านั่นเป็นศิลาของเมี่ยรื่อ!”
ประโยคนี้เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวหนักแน่นและความรู้สึกอันเป็นเกียรติอย่างหาที่สุดไม่ได้ ในเวลาเดียวกัน ความเร่าร้อนก็ปะทุขึ้นในดวงตาราวกับเปลวเพลิง!
“เมี่ยรื่อ?! ผู้ที่บรรลุขั้นจู้จีภายในเวลาสามสิบปีผู้นั้นเหรอ? เขาเป็นคนจากมณฑลหนานทงของพวกเราใช่ไหมครับ?” เมื่อได้ยินชื่อนั้น วัยรุ่นก็รู้สึกเย็นซาบซ่านขึ้นมา ความคลั่งไคล้ที่ระงับไว้ไม่อยู่ฉายขึ้นมาบนใบหน้าเขาทันที
ขั้นจู้จีทำไมถึงบรรลุยากขนาดนั้น? ทั่วทั้งหวาซย่ามีผู้ฝึกตนขั้นจู้จี้ถึงสองหมื่นคนไหมนะ?”
คำกล่าวที่ว่าหนึ่งร้อยปีบรรลุขั้นจู้จี โดยเฉลี่ยแล้วผู้ฝึกตนที่บรรลุขั้นนี้จะมีอายุประมาณเจ็ดสิบปี ทว่าในค่าเฉลี่ยเช่นนี้กลับมีคนหนึ่งจากมณฑลหนานทงที่โดดเด่นขึ้นมา! แย่งอันดับหนึ่งมาครอง ทำลายทุกสถิตของอันดับหนึ่ง ทิ้งห่างจนผู้อื่นมองไม่เห็นฝุ่นควัน! ท้ายที่สุด…
สิบสามปีก็บรรลุขั้นจู้จีได้!
และชื่อเรียกในขั้นจู้จีของเขาก็คือเมี่ยรื่อ!
ศิลาแท่นนี้มีไว้สำหรับเมี่ยรื่อ โดยไม่จำเป็นต้องสลักชื่อเพราะว่าศิลาแท่นนี้สูงสามสิบเมตร กว้างแปดเมตร! ยิ่งใหญ่กว่าศิลาแท่นอื่นทั้งหมด!
ประหนึ่งเทพเจ้าสูงสุดเหนือสรรพสิ่งทั้งปวง
ณ ที่แห่งนี้ ท่ามกลางผู้ฝึกตนมากมาย ท่ามกลางศิลาอนุสรณ์ ราวกับโอบล้อมไปด้วยเหล่าอัจฉริยะ โดยมีวีรบุรุษแห่งยุคสมัยสถิตอยู่ด้านหลังทุกคน แต่ถึงกระนั้น ศิลาอนุสรณ์ของเมี่ยรื่อที่ยิ่งใหญ่ดุจผาสูง ก็ทำเอาศิลาแท่นอื่นๆ ถึงกับหมองราศีลง!
วัยรุ่นพยายามเป็นอย่างมากกว่าจะละสายตาออกจากศิลาไร้นามได้ ก่อนเอ่ยถามด้วยสีหน้าเรื่อ “คุณยาย แล้วพวกเรามาดูอะไร?”
“จะดูอะไรล่ะ!” หญิงสูงวัยถลึงตาใส่เขา “ข้อแรก ฉันพาแกมาเปิดหูเปิดตา ให้แกได้เห็นว่าผู้ฝึกตนที่แท้จริงเป็นอย่างไร ข้อสอง นอกจากอวี้หลินเว่ย ตู้มหาสมบัติ CSIB และสี่กองกำลังใหญ่ของเทียนเต้าแล้ว ยังมีตระกูลผู้ฝึกตนหลายร้อยตระกูลจากทุกมณฑลมารวมตัวกัน และตระกูลเหยาของพวกเราก็เป็นหนึ่งในนั้น พิธีจบการศึกษาของเทียนเต้า เป็นช่วงเวลาที่เหล่าอัจฉริยะต้นอ่อนรวมตัวกันมากที่สุด มีอย่างที่ไหนที่หลายๆ องค์กรจะไม่มา? หากไม่รับสมัครคนในช่วงเวลานี้ แล้วจะไปรับสมัครคนช่วงเวลาไหน?”
“แต่ว่า… จะรู้ได้อย่างไรว่าใครเก่งที่สุด? อันดับหนึ่ง ไม่สิ ตระกูลเหยาของเราไม่มีทางรับสมัครรายชื่อสามสิบอันดับแรกได้อยู่แล้ว”
หญิงสูงวัยระบายยิ้มพลางชี้ไปที่ศิลาพวกนั้น “ดูให้ดี… ด้านบนไม่ได้มีแค่ชื่ออย่างเดียว… มันยังมีอะไรอยู่อีก?”
“ด้านบนไม่ได้มีแค่ชื่ออย่างเดียว… มันยังมีอะไรอีก?” อีกด้านหนึ่ง ผู้เฒ่าใส่แว่นผู้นั้นกำลังถามหลานสาวประโยคเดียวกันเช่นกัน
ชุดสูทเรียบหรูสีอ่อน บนหน้าอกมีตัวอักษร “ติง” ปักทับตราประจำตระกูลรูปกรงเล็บมังกรอยู่ เป็นสัญลักษณ์แทนตระกูลผู้ฝึกตนของพวกเขา
บริวารที่ติดตามเขามาประมาณสามสิบคนมองตามไป พวกเขายังไม่ทันเอ่ยตอบ ผู้เฒ่าก็พูดขึ้นเสียงอ่อน “รอยแตกร้าว”
“แม้พวกเราจะนำอุปกรณ์และแล็ปท็อปสำหรับทดสอบมาเอง แต่พวกเราประเมินได้แค่ค่าเฉพาะ ส่วนค่าโดยรวมยังต้องประเมินจากศิลาที่เสริมพลังปราณของจินตันเจินเหรินพวกนั้นอยู่ดี!”
“พลังแฝงของผู้ฝึกตนจะเกิดปฏิกิริยาบนศิลาเหล่านี้ เมื่อเขาคนนั้นระเบิดพลังทั้งหมดออกมา หากพลังของเขามากกว่าอันดับหนึ่งในศิลาหินเหล่านี้ มันจะเกิดรอยแตกร้าวขึ้น! หากพลังเหนือชั้นเกินไป ศิลาหินนั่น…” เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ก็จะพังทลายลง”
“แล้วค่อยสร้างขึ้นใหม่?” หญิงสาวถามอย่างแปลกใจ
“จะเป็นไปได้อย่างไร” ผู้เฒ่ายิ้มเอ่ย “นี่เป็นสิ่งที่จินตันเจินเหรินระดับโลกสร้างขึ้นเชียวนะ! เมื่อถึงพิธีจบการศึกษารุ่นถัดไป ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาซ่อมแซมทั้งนั้นเพราะมันจะกลายเป็นศิลาหินแท่นใหม่อัตโนมัติ แต่ยังมีรอยแตกร้าวเหลืออยู่ สมแล้วที่เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นจากจินตันเจินเหริน… หนึ่งในสามกองกำลังใหญ่อย่างอวี้หลินเว่ยมีข้อมูลของพวกอัจฉริยะพวกนี้ ตระกูลเล็กๆ อย่างพวกเราจะไปมีของอย่างนั้นได้อย่างไร? ดังนั้น ตอนนี้พวกเราทำได้แค่ประเมินจากสถานการณ์จริงเท่านั้นว่าใครมีพลังความสามารถซ่อนเร้น”
“ถ้าหาก…” หญิงสาวมองศิลาแท่นสูงสุดที่เป็นของเมี่ยรื่อ “มีคนทำให้ศิลาหินแท่นนี้ร้าวได้ล่ะ…”
ศิลาหินแท่นนั้นใสสะอาดไร้ตำหนิประหนึ่งหยกขาวไขมันแพะ ทั่วทั้งแท่นไร้ซึ่งรอยขีดข่วนแม้แต่น้อย ไม่เหมือนกับศิลาหินแท่นอื่นที่หยากไย่เกรอะหรังเต็มไปหมด
ผู้เฒ่าคลี่ยิ้มพลางลูบหัวหญิงสาว “เจ้ารู้ไหมว่า… ตบะของเมี่ยรื่อตอนนี้อยู่ในขั้นไหน?”
หญิงสาวส่ายหน้า
“จู้จีขั้นสมบูรณ์” ใบหน้าของผู้เฒ่าผุดแววเลื่อมใสขึ้นมาอย่างเด่นชัด แต่น้ำเสียงกลับแฝงด้วยความขมขื่น “เหลือเพียงแค่ก้าวเดียว… ก็จะเป็นจินตันเจินเหรินแล้ว… เหมือนกับจิ้งจอกเฒ่าที่เจ้าเห็นที่ศูนย์การค้าข่ายเต๋อตัวนั้น…”
“แต่ว่าจูหงเสวี่ยมีอายุสองร้อยเจ็ดสิบปี… เมี่ยรื่อ… มีอายุเพียงหนึ่งร้อยยี่สิบปีเท่านั้น”
เขาหยุดพูดต่อ เพราะความนัยของคำพูดชัดเจนยิ่งนัก คนแบบนี้จะมีคนเก่งกว่าได้อย่างไร?
หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าอย่างประหวั่น เม้มปากไม่พูดตอบ
“อ้าว? ติงเหล่า? ไม่ใช่กำลังเข้าฌานอยู่เหรอ? เห็นบอกว่าถ้ายังไม่บรรลุขั้นจู้จีจะไม่ออกฌาน ทำไมตอนนี้ถึงมาได้?” ขณะนั้น ผู้ชายอายุราวยี่สิบปีแต่กลับไร้แววมุทะลุเยี่ยงคนอายุยี่สิบปียิ้มแย้มประสานมือทักทายด้วยท่าทางสุขุมเรียบนิ่งดุจผิวน้ำ
บนหน้าอกของเขากลัดด้วยเหรียญตราทรงกลีบดอกไม้และมีตัวหนังสือสีขาวสะดุดตาอยู่ด้านบน
ด้านหลังเขามีกลุ่มคนห้าสิบคน ไม่ใช่กลุ่มใหญ่มาก แต่ก็ไม่เล็ก
“ฉันไม่มีหวังกับขั้นจู้จีแล้ว เหอะๆ” เหล่าติงคลี่ยิ้มประสานมือ “คนแก่อย่างฉันปีนี้ก็อายุเก้าสิบสองแล้ว คาดว่าอีกห้าหกปีก็คงจะเข้าโลงแล้ว พิธีจบการศึกษาของเทียนเต้า ห้าปีมีครั้ง ยังไงก็ต้องหาโอกาสให้ตระกูลหน่อย รายชื่อยี่สิบคนแรกคงไม่มีหวัง ถ้าหากสายตาของสามสิบรายชื่อแรกมองมายังตระกูลติงของพวกเราบ้าง การมาเที่ยวนี้ก็ไม่เสียเปล่า”
“งั้นพวกเรานั่งด้วยกันเป็นไง?”
“แน่นอน เชิญ” “เชิญ”
ครั้นสวีหยางอี้เดินออกมา ผู้คนเป็นหมื่นคนก็มากันครบแล้ว หลังจากประตูเปิดออก คลื่นเสียงก็ลอยเข้ามากระทบทันที ทำเอาดวงตาเขาหรี่ลงเล็กน้อย
“วิเคราะห์ข้อมูลของผู้ที่อยู่ประตูหมายเลขสิบ!” เดิมทีเสียงฝูงคนในสนามประลองหนึ่งในใต้หล้าก็ดังกึกก้องอยู่แล้ว แต่พอเขาปรากฏตัวขึ้น ผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างพูดประโยคนี้ออกมา ทำให้เสียงดังขึ้นอีกระลอก!
นักเรียนทุกคน… ณ ที่แห่งนี้ พวกเขาล้วนแต่เป็นคนที่มีศักยภาพ
ณ ที่แห่งนี้ ทุกคนทั่วใต้หล้าล้วนมาเพื่อพวกเขา ทุกคนล้วนวิ่งไปหาผลประโยชน์ของตน!
“พละกำลังเกรด A พลังปราณเกรด A ความเร็วเกรด A ปฏิกิริยาตอบสนองเกรด A ความอึด…” ผู้หญิงในชุดสูทที่บนหน้าอกมีเหรียญตรารูปแมลงที่มีอักษร “หลี่” ด้านบนหันกล้องของแล็ปท็อปไปส่องสวีหยางอี้ทันที ไม่ถึงหนึ่งวินาที หน้าจอแล็ปท็อปก็แสดงปลวิเคราะห์เขาออกมา กวาดมองแวบหนึ่ง ดวงตาของเธอถึงกลับเปล่งประกายในบัดดล แม้แต่น้ำเสียงก็พุ่งสูงขึ้น “ก็เกรด A เหมือนกัน!”
“นักเรียนเกรด A ห้าตัว!”
เธอลุกพรวดขึ้นมาอย่างตกใจ ก่อนระงับความตื่นเต้นและหันพูดกับด้านหลัง “ท่านผู้นำตระกูล… นักเรียนเกรดA ห้าตัว! คนนี้ได้เกรดA ห้าตัว! ผลการประเมินทั้งห้ารายการจากโรงเรียนสาขาย่อยในนครอวี๋หยางได้เกรดA หมดเลย!”
รอบๆ ตัวเธอยังมีผู้คนอีกยี่สิบกว่าคน ทั้งหมดอยู่ในชุดสูทเรียบร้อย เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ต่างพากันตะลึงลานก่อนหันไปมองด้านหลัง
“ติดตามผลการประเมินอย่างละเอียด!” ตรงด้านหลังมีเด็กผู้ชายอายุประมาณสิบขวบที่ก่อนหน้านี้กำลังเลียอมยิ้มอยู่ แต่พอได้ยินเช่นนั้น ก็กัดอมยิ้มดัง “กรอบ” ทันที ก่อนเอ่ยเสียงขรึมอย่างตื่นเต้น “เกณฑ์ชี้วัดระหว่างเกรด A ด้วยกันมีช่องว่างที่ห่างมาก! เหมือนกับเกณฑ์การแบ่งช่วงน้ำหนักของนักมวยรุ่นเฮฟวี่เวทที่จะต้องมากกว่าสองร้อยปอนด์! หากน้ำหนักหนึ่งพันหกร้อยปอนด์อยู่ในระดับ A งั้นน้ำหนักสองพันปอนด์ก็อยู่ในระดับ A เช่นกัน! ฉันอยากรู้ข้อมูลของเขาอย่างละเอียด!”
——————————————————————————– [1] 小苹果 หรือ แอปเปิ้ลน้อย เป็นชื่อเพลงยอดฮิตในประเทศจีนในช่วงปี ค.ศ. 2015 ร้องนำโดย Chopsticks Brothers