ยุทธเวทผลาญปีศาจ - เล่มที่ 2 บทที่ 34 กล่องหยก (1)
“ท่านผู้นำตระกูล นักเรียนเกรด A ห้าตัว!” ไม่ใช่แค่เขาที่รู้ตัว คนอื่นๆ ก็รู้ตัวเช่นกัน แต่ส่วนสำคัญที่สุดของวันนี้ไม่ได้อยู่ที่พวกเขา พวกเขาเป็นแค่ตัวประกอบเท่านั้น เพราะหัวใจหลักที่แท้จริงคือนักเรียนของปีการศึกษานี้! โดยเฉพาะนักเรียนที่โดดเด่นเช่นนี้!
“ตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียด!” ด้านหลัง มีหญิงสาวอายุราวยี่สิบกว่าๆ ตาเฉี่ยวน่าเกรงขาม “ข้อมูลจำพวกระดับปฏิกิริยาตอบสนองต่อพลังปราณ และทักษะการปรับตัว! แล้วก็ระบบของเทียนเต้าน่าจะมีข้อมูลของเขาตั้งแต่เข้าเรียน รีบสรุปมาให้ฉันเดี๋ยวนี้!”
“ปักๆๆ…” เสียงเคาะแป้นพิมพ์ดังเป็นเสียงเดียวกัน ดวงตาทุกคนล้วนคุวาวขึ้นมา
“ก่อนหน้านี้หลัวซานเฟิงจองนครเจาผิงได้เกรด A สามตัว เกรด B สองตัว แล้วคนนี้เป็นใครกัน? ได้ A ห้าตัวเลยเหรอ?” “ผลประเมินสูงขนาดนี้เลยเหรอ?” “พระเจ้า… คนๆ นี้ถือว่าเป็นผู้ท้าชิงอันดับหนึ่งที่ร้ายกาจทีเดียว!” “ เหอะๆ อย่าเพิ่งลืมคนจากนครเทียนเฟิงคนนั้นสิ เขาก็ได้เกรด A สี่ตัวเหมือนกัน แต่ปฏิกิริยาตอบสนองด้อยกว่าอยู่หน่อย แต่ก็เป็นผู้ท้าชิงอันดับหนึ่งที่มีความสามารถเช่นกัน!” “สวีซูซูจากนครเฟิงอี้ก็ได้เกรด A สี่ตัวเหมือนกันไม่ใช่เหรอ? มีเกรด C โผล่มาหนึ่งตัว ผลประเมินจากโรงเรียนสาขาย่อยก็สูงจนน่าตกใจเหมือนกัน!” “มาตรฐานของปีการศึกษานี้สูงใช้ได้… ล้วนเป็นเหล่าต้นกล้าที่ดีทั้งนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาคนไหนจะเห็นหัวตระกูลจางจากนครเฟิงอี้ของพวกเราบ้าง”
ในขณะเดียวกัน บรรยากาศของชั้นที่นั่งสูงสุดกลับแตกต่างจากความครึกครื้นด้านล่างอย่างสิ้นเชิง ดวงตาสามคู่กำลังจ้องมองสวีหยางอี้ที่ปรากฏตัวขึ้นมาเป็นสายตาเดียวกัน
“เป็นนายนี่เอง!” ติงเซียงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก ดวงตาพลันฉายแววอยากได้อยากครองออกมาเด่นชัด “ฉันถึงกับยื่นขอใช้สิทธิพิเศษ… ไอ้น้องชาย ครั้งนี้นายคิดว่าจะหนีไปไหนพ้น?”
“นักเรียนเกรด A ห้าตัว…” ฝูหรงที่อยู่ข้างๆ เธอเม้มปาก ดวงตาวาวประกาย “ถึงแม้ในสายตาของรุ่นพี่ขั้นจู้จี ขั้นเลี่ยนชี่อย่างพวกเราคงเป็นได้แค่หมาตัวหนึ่ง แต่ว่านายในฐานะนักเรียน ในฐานะต้นกล้า ก็ถือว่าเป็นคนที่โดดเด่นล้ำเลิศเลยทีเดียว…”
“โดดเด่น… เสียจนทำให้สาขาย่อยของอวี้หลินเว่ยเล็งแล้วเล็งอีก…”
ทั้งสองคนละสายตาออกมา แต่มิวายหันมาสบตากัน และผละออกจากกันเงียบๆ
ทุกอย่างเบื้องหน้าสายตาไม่ทำให้สวีหยางอี้มีวี่แววตื่นตระหนกแม้แต่น้อย เขายังคงใส่ชุดลายพรางและรองเท้าคอมแบทอยู่เหมือนเดิม แต่ดูเหมือนเขาจะสะกดไอสังหารลง ทำตัวสงบนิ่งเหมือนคนปกติ และค่อยๆ เดินขึ้นสังเวียนไป
ณ ที่แห่งนั้นมีเงาร่างของคนหลายสิบคนยื่นอยู่ ซึ่งก็คือนักเรียนร่วมรุ่น
สายตาของทุกคนจ้องมองไปที่พวกเขา พวกเขาคือดวงตะวันที่เฉิดฉายในวันนี้และเป็นจุดสนใจของผู้ฝึกตนทุกคน
เขากระโดดเบาๆ ขึ้นไปบนสังเวียน
เป็นคนสุดท้าย
เขายังไม่เข้าไปในแถว ทว่ากลับใช้สายตาไล่มองหน้าทั้งสิบสามคนของแถวแรก
เป็นพวกเขา…
ตนใกล้จะบรรลุแล้วแท้ๆ แต่กลับถูกใครบางคนขัดขว้าง… ทั้งๆ ที่เป็นการเลื่อนขั้นครั้งแรก เป็นการทดลองครั้งแรก ทั้งหมดเป็นเพราะพวกเขา
สวีหยางอี้กวาดมองทุกคนด้วยสายตาประดุจคมมีดโดยไม่สนใจสายตาของพวกเขาแม้แต่น้อย
ณ มุมๆ หนึ่งบนสังเวียน หญิงสาวผมยาวสยายคนหนึ่งกำลังเหม่อมองสวีหยางอี้อยู่อย่างใจลอย
เธอไม่นับว่าสวยมาก ดวงตาไม่ค่อยโต สีผิวไม่ค่อยขาว ริมฝีปากไม่ค่อยแดง รูปร่างไม่ค่อยอวบอั๋น แต่บนตัวเธอกลับมีรังสีสะกดสายตาบางอย่างที่ไม่อาจมองผ่านได้ ราวกับมองดูเธอแล้วทำให้จิตใจสงบลง
เธอแต่งตัวสบายๆ คนอื่นมองไปก็รู้สึกสบายตาม ไม่ต่างจากหญิงสาวแฟชั่นที่เห็นได้ตามท้องถนน เพียงแต่เธอไม่ได้แต่งตัววาบหวิวอะไรมาก แค่รู้สึกสบายกับสไตล์แบบนี้ก็เท่านั้น
“หยุดคิดได้แล้ว… หลิงตาง” ผู้ชายอายุสี่สิบกว่าปีที่อยู่ข้างๆ ตบไหล่เธอพลางถอนหายใจ “ถึงแม้พวกเราจะเป็นแค่นักปรุงยา แต่ตระกูลโจวก็เป็นตระกูลที่เชี่ยวชาญด้านการหลอมยาเก่าแก่ที่สืบทอดกันมาสองร้อยปี ทว่า… หลังจากมีอินเตอร์เน็ตทั่วหวาซย่า กิจการของพวกเราก็แย่ลงทุกวัน นักปรุงยา 90% เป็นคนของตู้มหาสมบัติ คนในตระกูลของพวกเราตอนนี้มีแค่สิบกว่าคน ขนาดกิจการใหญ่ๆ ของคนธรรมดายังไม่ยอมร่วมงานกับพวกเรา แล้วประสาอะไรกับนักเรียนระดับเกรด A ห้าตัวแบบนี้…”
เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางส่ายหน้า “ตระกูลโจวของพวกเราไม่มีสิทธิ์หวังเกินตัว ฉันกล้าเดิมพันเลย พวกจระเข้ตัวใหญ่แห่งโลกผู้ฝึกตนของหวาซย่าอย่างตู้มหาสมบัติ อวี้หลินเว่ยและ CSIB จะต้องชักจูงคนไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว…”
“ฉันรู้” น้ำเสียงของหลิงตางเหมือนกับบุคลิกของเธอ เรียบนิ่งสบายๆ เธอเอ่ยขึ้นเสียงขรึม “ฉัน… ก็แค่รู้สึกแปลกๆ กับท่าทีของเขา ฉันคิดว่า… คนๆ นี้น่ากลัวมาก…”
“ต้องน่ากลัวอยู่แล้ว” ผู้ชายพูดขึ้นอย่างละเหี่ยใจ “ก็เขาเป็นถึงนักเรียนที่ได้เกรด A ห้าตัว ตบะสูงสุดของตระกูลโจวก็แค่ขั้นเลี่ยนชี่ระดับกลาง เกรงว่าคุณปู่ของเธอก็คงไม่ใช่คู่ต่อของเขา…”
“ฉันไม่ได้หมายความแบบนี้” หลิงตางส่ายหน้า ตัวสั่นระริกอย่างห้ามไม่อยู่ “จริงๆ… น่ากลัวมาก… เหมือนพวกอสุรกายเก็บกด…”
สวีหยางอี้ยืนอยู่ด้านหน้าอันดับหนึ่งทุกคน กวาดมองหนึ่งรอบแต่ก็ไม่พูดอะไร จากนั้นก็เดินไปตำแหน่งตัวเองอย่างเงียบๆ
สายตาเวทนาหลายคู่มองมาบนตัวเขา เพราะเมื่อวานทุกคนล้วนออกมาข้างนอกแต่ไม่เห็นเขา ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ว่าคนที่ทำการบรรลุตบะเป็นใคร
เพียงแต่สายตาอันเวทนาเหล่านี้กลับเจือแววมีความสุขบนความทุกข์คนอื่น
วิธีที่จะทำตนให้แข็งแกร่ง ไม่เพียงแต่ต้องทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น แต่การที่คนอื่นอ่อนแอลง ก็เป็นการขับให้ตัวเองดูแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน
“ไอ้โง่” วัยรุ่นใบหน้าตกกระคนหนึ่งเป่าหมากฝรั่งเป็นลูกโป่งจนแตก ก่อนม้วนลิ้นเข้าไปในปาก “ทำท่าอย่างกับแม่ตาย ทำให้ใครดูไม่ทราบ?”
“เขาบรรลุตบะล้มเหลว นายยังจะให้แม่เขาตายอีกเหรอ?” วัยรุ่นคนข้างๆ หัวเราะเยาะขึ้นเช่นกัน
แล้วอยู่ๆ ในช่วงเวลานี้ ทั่วทั้งสังเวียนก็เงียบสงัดลง
ไม่ใช่ทุกคนหุบปากไม่พูดจา ทุกคนกำลังพูดอยู่ต่างหาก แต่เสียงพูดกลับหายไป
เหมือนเทพลงมาจติ และสุรเสียงพลันหายไป
ผู้คนที่กำลังพูดคุยกันอยู่ต่างรู้สึกผิดปกติขึ้นมาทันที แต่ก็ไม่ตื่นตระหนก ในทางตรงกันข้ามพวกเขากลับหุบปากลงราวกับกำลังเฝ้ารออะไรบางอย่าง
ขณะนั้น ทั่วสารทิศเงียบสงัดลงไร้ซึ่งเสียงลมแผ่ว ประหนึ่งผิวน้ำทะเลก่อนช่วงพายุพัดกระหน่ำ เงียบกริบเสียจนน่าตกใจ
“พรึบ…” วินาทีถัดมา วิหคเพลิงตัวเล็กเท่าฝ่ามือก็บินลอยมาจากที่ใดที่หนึ่ง
มันเคลื่อนที่วิบไหว เมื่อเทียบกับสังเวียนอันใหญ่โตแล้ว มันตัวเล็กจนแทบมองไม่เห็น แต่ว่าในตอนนี้ ผู้ฝึกตนที่ประสาทสัมผัสไวต่อพลังปราณนับหมื่นต่างจ้องมองไปที่วิหคตัวเล็กพวกนั้นด้วยแววตาอันร้อนระอุ
“พี่สาว นี่มัน…” ณ มุมๆ หนึ่ง วัยรุ่นคนหนึ่งมองผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ พลางเอ่ยถาม
ผู้หญิงถลึงตาใส่เขา ส่งสายตาบอกเขาเป็นเชิงให้หุบปาก จากนั้นก็หันไปมองวิหคตัวเล็กตัวนั้น
เธอกำหมัดทั้งสองข้างแน่นอย่างไม่มีใครสังเกตเห็น ใบหน้าพลันแดงเรื่อขึ้นมาอย่างผิดปกติราวกับแฟนคลับที่กำลังเฝ้ารอดาราคนโปรดของตน
ชั่วพริบตา วิหคตัวเล็กตัวนั้นก็แยกร่างจากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสาม จากสามเป็นเรื่อยๆ นับไม่ถ้วน! เพียงเสี้ยววินาทีก็ปกคลุมไปทั่วบริเวณ! กลายเป็นวงล้อวิหกเพลิงยาวสามสิบกว่าเมตร!
สะกดสายตาผู้คนทั้งสนาม!
“ฟู่!” อุณหภูมิทั่วทั้งสนามพุ่งสูงขึ้น วิหคเพลิงนับหมื่นตัวสะท้อนเงาสีแดงฉานบนม่านตาทุกคน พร้อมกับปลุกความเร่าร้อนของทุกคนขึ้นมา ทันใดนั้น เสียงตะโกนกรีดร้องก็ระเบิดขึ้นทันที!
“จู้จี… นี่มันรุ่นพี่ขั้นจู้จี! นี่มันรุ่นพี่ขั้นจู้จี!”
ความเงียบสงัดก่อนหน้านี้หายไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ เสียงตะโกนกรีดร้องจากความตื่นเต้น ชื่นชอบ และคลั่งไคล้เสียดแหลมเสียจนระคายโสต ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งสนามทันที!
“ขั้นจู้จี้! นี่เป็นพลังของขั้นจู้จี!” “ไม่คิดว่าปีนี้จะมีรุ่นพี่ขั้นจู้จีมาร่วมงานด้วย!” “พระเจ้า… นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเจอผู้ฝึกตนขั้นจู้จี! เป็นรุ่นพี่ขั้นจู้จีคนไหนกันนะ!”
เสียงตะโกนตื่นเต้นจากหลายปากดังขึ้นอีกระลอกดั่งคลื่นสูง!
แต่วินาทีต่อมาก็เงียบสงัดลงฉับพลัน เงียบกริบลงอย่างพร้อมเพรียง
โดยปกติแล้ว ผู้ฝึกตนขึ้นจู้จีเป็นคนที่หาพบยาก มีผู้ฝึกตนมากมายที่ตายไปโดยไม่มีโอกาสได้พบผู้ฝึกตนขั้นจู้จีเลย ดังนั้นแววตาของผู้คนทั่วทั้งสนามจึงเต็มเปี่ยมไปเต็มความคลั่งไคล้และเฝ้ารอ จนแทบไม่กล้าหายใจกันเลย ทุกคนต่างจับจ้องไปที่วิหคเพลิงที่บินวนฉวัดเฉวียนเป็นวงล้ออยู่อย่างบ้าคลั่ง
สวีหยางอี้ก็มองไปเช่นกัน
นี่เป็นพลังของขั้นจู้จีงั้นเหรอ?”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาสัมผัสกับพลังนี้ เพราะความรู้สึกใกล้ตายของจูหงเสวี่ยเพียงเสี้ยววินาทีนั่นก็เป็นแบบนี้เช่นกัน เป็นพลังที่ตัวเขาไม่อาจโต้ตอบได้ ดังนั้น นี่จึงเป็นครั้งที่สองที่เขาสัมผัสกับพลังนี้ ซ้ำยังรับรู้ได้อย่างชัดเจน ไร้ซึ้งความตื่นตระหนก พลังปราณที่อยู่ท่ามกลางวงล้อวิหคเพลิงนั้นทำเอาเขาแทบขาดอากาศหายใจ ทำเอาหัวใจเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ
แข็งแกร่ง… แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!
แบบนี้สิ ถึงจะเรียกว่าผู้ฝึกตน! แบบนี้สิ ถึงจะเป็นยอดมนุษย์ที่แท้จริง!
มีแต่พลังเท่านั้น… เขากำหมัดแน่น ช่วงนาทีนี้ ความรู้สึกตระหนักในพลังพลันผุดขึ้นในใจเขาอีกครั้ง
“พรึบๆๆ …” วิหคเพลิงบินเฉวียนเวียนวนอย่างเต็มแรง สามวินาทีถัดมาก็กลายเป็นเกลียวเพลิงพุ่งไปยังที่นั่งคนดูทันที!
ผู้คนที่อยู่ตรงบริเวณที่คลื่นความร้อนเคลื่อนต่างรู้สึกเหมือนเส้นผมไหม้กันถ้วนหน้า ราวกับเกลียวเพลิงนั่นส่งเสียงคำรามกรีดร้องออกมา ขณะที่มันพุ่งไปยังที่นั่งที่อยู่ตรงกลางสุด!
ที่นั่นเป็นที่นั่งพิเศษสองที่ ซึ่งแตกต่างจากที่นั่งคนดูบนอัฒจันทร์หินของคนทั่วไป มันเหมือนบัลลังก์ราชาสูงราวสองเมตร เป็นบัลลังก์หรูหราโอ่อ่าที่จงใจสร้างขึ้นมาโดยเฉพาะ!
ขาตั้งเป็นทองคำบริสุทธิ์ โดยมีหนังอสุรกายที่สวีหยางอี้ไม่เคยเห็นมาก่อนเป็นเบาะรองนั่ง ประหนึ่งบัลลังก์แห่งมหาราชาก็ไม่ปาน
ข้างๆ บัลลังก์ราชามีผู้ชายชุดดำสวมแว่นกันแดดยืนตัวตรงอยู่สิบกว่าคน
เกลียววิหคเพลิงขมวดขดเคี้ยวดังฟู่ฟ่า… และพุ่งไปที่บัลลังก์ตัวหนึ่ง จากนั้นเสียงดังคล้ายอัสนีฟาดก็ลั่นสนั่นไปทั่วพื้นที่โล่งใหญ่ไพศาลแห่งนี้ บังเกิดเสียงสะท้อนขึ้นท่ามกลางอากาศ เหมือนใกล้แค่คืบ แต่ก็ไกลเหมือนมาจากขอบฟ้า
“ฉันคือหั่วหยุน”
ครั้นวิหคเพลิงค่อยๆ สลายหายไป ผู้ชายวัยกลางคนรูปร่างหนาในชุดสูทเรียบหรูคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นมาในท่าทางยืนเอามือไพล่หลังอยู่ระหว่างบัลลังก์ทั้งสองนั่น
ในตอนนี้ ติงเซียง ฝูหรง และทูจิ้วที่อยู่แถวหน้าก็ลุกขึ้นโค้งเคารพจนสุดตัวอย่างพร้อมเพรียงกันในทันที!
ดวงตาเปี่ยมประสบการณ์ราวกับมองคนได้ทะลุปรุโปร่ง ทั้งๆ ที่ดูเหมือนอายุราวห้าสิบหกสิบปี แต่กลับชวนให้รู้สึกเหมือนอยู่ยงคงกระพันมานานแสนนานอย่างน่าพิศวง ในเวลาเดียวกัน อากาศรอบๆ ตัวเขาก็สั่นกระเพื่อมอยู่เล็กน้อย เพราะคลื่นความร้อนเมื่อครู่ทำให้มวลอากาศระส่ำระส่าย
เขาสงวนทีท่าอยู่สักพักก็นิ่งสงบลง กลายเป็นแค่ผู้เฒ่าในชุดสูทคนหนึ่ง
ไม่มีผู้ใดปริปากพูดแม้แต่คนเดียว
มีแค่สายตาอันเร้าร้อนถึงขีดสุดนับหมื่นคู่
“นั่งลง” เขาปัดมือเบาๆ ก่อนนั่งลงเหมือนข้างตนไม่มีคน ทุกคนในตอนนี้ต่างมองกันไปมา และเห็นแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความเคารพนับถือ ความเลื่อมใสระคนความตกใจ ก่อนจะนั่งลงหุบปากเงียบ ส่วนผู้คนจากตระกูลคนธรรมดาต่างพากันหน้าซีดเผือด ขาสั่นผับๆ จนแทบจะนั่งคุกเข่าลงไป
อภินิหารปานนี้ ต่างอะไรไปจากเทพเซียน?
แต่ต่อให้ขาจะสั่นรุนแรงกว่านี้ก็ต่างกัดฟันอดทนเอาไว้จนฟันกระทบกันดังกึกกัก ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากพูดจา
จากนั้นทุกคนก็นั่งลงกันอย่างเงียบๆ คล้ายกับมีคุณครูตะโกนเริ่มต้นชั่วโมงเรียน
“ฉันคืออิ่งซา” ในเวลาเดียวกัน เสียงๆ หนึ่งก็ดังมาจากบัลลังก์อีกตัว ตอนนี้ทุกคนเพิ่งจะสังเกตเห็นว่ายังมีผู้ชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่ง ซึ่งไม่รู้ว่าเขาโผล่มาที่ที่นั่งนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่
ทั้งสองคนแนะนำตัวสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงทะนงองอาจน่าเกรงขาม ก่อนนั่งลงอย่างเป็นธรรมชาติ
“แบบนี้สิถึงจะเรียกว่าผู้ฝึกตน!” เสียงหายใจครืดคราดอย่างหนักหน่วงดังมาจากด้านหลังสวีหยางอี้ นักเรียนคนหนึ่งตื่นเต้นเสียจนเสียงหลง “เพียงคำเดียวก็สั่งคนให้สยบลงได้! แบบนี้สิถึงจะเรียกว่าผู้ฝึกตน! นี่สิ คือผู้ฝึกตน!”
“ถ้าฉันเป็นแบบนี้ได้ ตายไปก็คุ้มแล้ว!” นักเรียนอีกคนหนึ่งกำหมัดแน่นจนเขาได้ยินเสียงกำหมัด
“ผู้คนนับหมื่น… ตัวแทนจากหลายสิบตระกูล… อีกทั้งองค์กรคนธรรมดาของพวกเรา เพียงแค่คำเดียว ทุกคนก็ยืนพรวด เพียงคำเดียว ทุกคนก็นั่งพรึบ บทกลอนที่ว่า ยามมีสติเร่งสร้างอำนาจสยบทั้งแคว้น ยามเมามายหลับไหลบนตักสาวงาม[1] แท้จริงเป็นแบบนี้เอง!”
สวีหยางอี้ทั้งรู้ฮึกเหิม ตื่นเต้นและเฝ้ารอขึ้นมาเช่นกัน
จากนั้น ความรู้สึกเหล่านี้ก็ถูกเขาสะกดลงไว้ในใจ ก่อนเผยยิ้มมุมปากอย่างกระหายเลือดขึ้นมา
รีบเริ่มสักทีเถอะ…
สัตว์ร้ายที่สถิตอยู่ภายในใจเขาอยากคำรามออกมาเต็มทีแล้ว…
——————————————————————————–
[1] 醒掌天下权,醉卧美人膝 เป็นสุภาษิตจีน หมายถึง เมื่อตอนชีวิตปกติจงทุ่มเทความสามารถทั้งหมดเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัว สร้างอำนาจบารมี เพื่อหลังจากนี้จะได้ใช้ชีวิตเสวยสุข