ยุทธเวทผลาญปีศาจ - เล่มที่ 2 บทที่ 37 ศึกราชสีห์ชิงอำนาจ (2)
“วิเคราะห์พลังที่เขาระเบิดออกมาเมื่อครู่!” ในตอนนี้เอง น้ำเสียงแหบพร่าเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาทันที ซึ่งเป็นเสียงของคนแก่ที่ตะโกนขึ้นหน้าแดงก่ำ “ตอนนี้เลย! เดี๋ยวนี้!”
คำพูดนี้ได้เรียกสติทุกคนกลับคืนมา เมื่อหั่วหยุนได้สติกลับมาก็เลิกคิ้วมองอิ่งซาอย่างประหลาดใจ ซึ่งอีกฝ่ายก็กำลังมองเขาด้วยสายตาประหลาดใจอยู่เช่นกัน
“เจ้าเด็กคนนี้….” อิ่งซาดูเหมือนกำลังใช้ความคิด “แข็งแกร่งเกินไป”
ขณะที่พวกเขายังพูดคุยกันไม่ทันจบ เสียงเคาะแป้นพิมพ์ก็ดังปึกปักไปทั่วสนามประลอง สวีหยางอี้ไม่สนใจอย่างอื่น เขาเดินไปด้านหน้าหินใหญ่สิบเมตรที่แตกร้าวก้อนนั้นและยื่นมือออกไป
“เขาจะทำอะไร!”
คนที่สงสัยไม่ได้มีแค่คนดู แต่ยังมีนักเรียนกันเองอีกด้วย
สวีหยางอี้บีบคออีกฝ่ายและกระชากเข้ามา ส่วนหลัวซานเฟิงก็แต่จ้องมองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำที่เปี่ยมด้วยความอาฆาต แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่อยากเชื่อว่าลูกเตะนั่นจะทรงพลังขนาดนี้ ทรงพลังเสียจนตัวเขาไม่อาจป้องกันไว้ได้!
ความรู้สึกเมื่อครู่… ราวกับราชามังกรจอมระห่ำตัวหนึ่งพุ่งเข้าชนอย่างจัง!
พ่ายแพ้… ภายในกระบวนท่าเดียว ภายใต้สายตาผู้คนนับหมื่นจับจ้อง เขาไม่ใช่คนที่ยืนหยัดเป็นคนสุดท้ายอีกต่อไป เป็นได้แค่เพียงหินรองเท้าของผู้ที่ยืนหยัดเป็นคนสุดท้ายเท่านั้น!
“ไอ้หมาสวะ… นายมันขี้โกง…” เขาพูดขึ้นอย่างอิดโรยเหมือนเจอเหตุผลที่ปลอบใจตัวเอง น้ำเสียงเขาช่างแหบพร่าเหลือเกิน เขาได้แต่จับแขนของสวีหยางอี้ที่บีบคอเขาไว้ “ใช่แล้ว! ขี้โกง! นายจะต้องขี้โกงแน่ๆ ! นายไม่มีทางมีพละกำลังเยี่ยงสัตว์ประหลาดแบบนี้แน่!”
สวีหยางอี้มองเขาอย่างเย็นชาโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ รอเขาพูดจนจบจึงเอ่ยถามเสียงเรียบ “เป็นฝีมือนายใช่ไหม?”
หลัวซานเฟิงอึ้งอยู่สักพัก เนื่องจากถูกบีบคออยู่ ทำให้พูดอะไรไม่ได้ จึงได้แต่จ้องอย่างเอาเป็นเอาตาย เหมือนจะกลืนกินสวีหยางอี้ไปทั้งตัวก็ไม่ปาน!
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เขาได้แต่กัดฟันแน่น และส่ายหน้าที่คั่งไปด้วยเลือดของเขาอย่างคับแค้นใจ
“นับว่านายโชคดี” สวีหยางอี้มองเขาประมาณสิบวินาทีก่อนระบายยิ้ม จากนั้นก็เขวี้ยงเขาลง “ไม่งั้นตอนนี้นายคงไม่ได้นอนอยู่ที่พื้นอย่างสบายๆ แบบนี้”
“หนี้แค้นของฉัน มันแพงมากนะ”
ท่าทางเช่นนี้ทำเอานักเรียนคนอื่นๆ เสียวซาบซ่านและหนาวชาสุดขั้วหัวใจขึ้นมาทันที!
พวกเขารู้แล้ว!
พวกเขารู้แล้วว่าสวีหยางอี้จะทำอะไร!
พวกเขารู้ถึงสาเหตุที่อีกฝ่ายไม่เปิดประตูตอนบรรลุตบะล้มเหลวแล้ว!
คนผู้นี้…. มีปีศาจร้ายอยู่ในใจ! เป็นปีศาจร้ายจอมกระหายเลือด!
ฉู่เจาหนานตื่นเต้นดวงตาแดงเรื่อ ข้างๆ เขาคืออันดับหนึ่งทั้งสองคนที่เคยพูดจาแดกดันตอนที่สวีหยางอี้บรรลุตบะล้มเหลว ซึ่งในตอนนี้สีหน้าพวกเขาถอดสีลงจนแทบดูไม่ได้ทันที!
ตอนแรกพวกเขาคิดว่าสวีหยางอี้อายจนไม่กล้าสู้หน้าคนอื่น หรือเป็นพวกทำตัวแปลกๆ
แต่ล้วนไม่ใช่แบบนั้น!
อีกฝ่ายแค่กำลังคิดหาโอกาสลงมือที่เหมาะสมและให้เป็นที่ประจักษ์!
ไม่คิดแม้แต่ไปถามเป็นการส่วนตัว… ใครไม่ใช้เหตุผลกับเขา คนๆ นั้นก็ยิ่งไม่น่าใช้เหตุผลด้วย!
เขาเหมือนกับจักรพรรดิในสมัยก่อน หากผู้ใดทำผิดก็เริ่มจากกำหนดกลุ่มผู้ต้องสงสัย จากนั้นก็ใช้วิธีบีบเค้นแบบเดียวกับทุกคนในกลุ่มนั้น!
เขาใช้วิธีที่เป็นรูปธรรมที่สุดแสดงให้ทุกคนเห็นว่าใครที่ขัดขวางการบรรลุตบะของเขา เขาจะเป็นคนลากมันออกมาด้วยตัวเอง!
ใครเป็นคนทำ ตอนนี้มันไม่สำคัญแล้ว คนๆ นี้กำลังระบายอารมณ์อยู่ เขากำลังคิดว่าคนที่จ้องเล่นงานเขาอยู่ในสิบสามคนนี้ และเขาก็ไม่คิดจะระบุตัวตนเป้าหมายก่อนแต่อย่างใด!
เขาจะใช้วิธีในแบบเดียว… คือไล่ซัดไปทีละคน!
สองสามคนที่พูดจาเยาะเย้ยแดกดันเขาอยู่ด้านนอกบานประตูหินก่อนหน้านี้ต่างพากันนั่งเม้มปากลงกลางสังเวียนพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย ความรู้สึกหวาดผวาแบบนี้… มันช่างชวนให้รู้สึกไม่สบายตัวเหลือเกิน ไม่สบายเสียใจ… เย็นยะเยือกขึ้นกลางใจ!
“หัวหน้า! ผลวิเคราะห์ข้อมูลของเขาออกมาแล้ว!” ตอนนี้ผู้ช่วยที่อยู่ข้างๆ ฉู่เทียนอีก็วางมือจากแล็ปท็อป ก่อนเงยหน้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อกาฬขึ้นมา “มวลพละกำลังเทียบเท่าหนึ่งพันแปดร้อยเจ็ดสิบสองกิโลกรัม! ความเร็วอยู่ประมาณสี่สิบเมตรต่อวินาที!”
ฉู่เทียนอีหลับตาพลางยกมือขึ้นเป็นเชิงรับรู้ สำหรับข้าราชการระดับสูงที่เข้าใจผู้ฝึกตนอย่างเขา เข้าใจความหมายของตัวเลขสองตัวนี้เป็นอย่างดี…
ช่างเป็นต้นกล้าที่ยอดเยี่ยมจริงๆ !
จะบอกว่าเป็นว่าที่เมล็ดสำหรับบ่มเพาะขั้นจู้จีก็คงไม่เกินไป!
อย่าว่าแต่ตระกูลผู้ฝึกตนที่เปรียบเหมือนหินฐานของโลกผู้ฝึกตนเลย แม้แต่กองกำลังใหญ่ๆ ก็สนใจเหมือนกั แต่ว่า!
ฉู่เทียนอีลืมตาขึ้น นัยน์ไร้ซึ่งความอ่อนโยน ก่อนเหลือบไปมองหั่วหยุนอย่างเงียบๆ
ไม่มีใครรู้ว่ารางวัลในกล่องใบนั้นคืออะไร…
นอกจากตัวเขา!
สิ่งล้ำค่าเช่นนี้…
ต่อให้สวีหยางอี้จะเป็นต้นกล้าที่ยอดเยี่ยมแค่ไหน! ต่อให้สวีหยางอี้จะเพียบพร้อมมากแค่ไหน! ก็ไม่คู่ควรกับสิ่งนี้อยู่ดี…
“พละกำลังเกือบถึงพันเก้า! ความเร็วสี่สิบเมตร!” ตอนที่เสียงขานตัวเลขชุดนี้ดังขึ้น หลายคนที่จ้องหน้าจอคอมฯ อยู่ต่างมีสีหน้าเปลี่ยนไป
ทั้งความตื่นเต้น ความหวั่นไหว และเสียงถอนหายใจยาวๆ อย่างจำใจ หลากหลายอารมณ์ผสมปนเปเข้าด้วยกัน
“พละกำลังระดับนี้… ความเร็วระดับนี้… กับเจ้าหนูที่ยังไม่บรรลุขั้นเลี่ยนชี่ระดับกลางเนี่ยนะ! แต่ข้อมูลของโรงเรียนสาขาย่อยในเทียนเต้าก็เป็นข้อมูลที่โคตรจะเชื่อถือได้!” ผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งตบราวจับเก้าอี้อย่างร้อนรนใจ พลางกัดฟันพูด “คนที่มีพรสวรรค์แบบนี้ ตระกูลไหนจะไม่ต้องการ? หากเขาได้ไปอยู่กับตระกูลผู้ฝึกคนสักตระกูล เกรงว่าคงจะได้รับแรงสนับสนุนมากล้นเป็นแน่! คงจะประคบประหงมด้วยทรัพยากรทั้งหมดที่มีเลยทีเดียว!”
“แต่ว่า….” ณ อีกฝั่งที่ไม่ไกลมาก เสียงถอนหายใจของผู้เฒ่าคนหนึ่งดังขึ้น “คนที่มีพรสวรรค์แบบนี้… จะมาเห็นหัวตระกูลฝึกตนได้อย่างไร… คนของกองกำลังใหญ่ๆ ต่างอยู่กันที่นี่ ยิ่งเขาโดดเด่นมากเท่าไหร่… ก็ไม่มีโอกาสตกถึงพวกเรามากเท่านั้น…”
“ใช่แล้ว… ก็เป็นเหมือนเช่นเคย คนที่มีพรสวรรค์แบบนี้… คงจะถูกจองตัวไว้แล้ว”
อิ่งซากับหั่วหยุนยังไม่เอ่ยปากพูด แต่ในดวงตากลับเจือแววปลื้มปริ่มรำไร
และในตอนนี้ แว่วเสียงบางเบาแต่ได้ยินชัดเจนได้ลอยเข้าหูทุกคน
“กรอบ…แกรบ…”
ฟังคล้ายกับเสียงขนมคุกกี้แตก แต่ในช่วงที่เสียงนี้ดังขึ้น ในหัวทุกคนต่างคิดแบบเดียวกัน จากนั้นทุกสายตาจึงมองไปที่ศิลาหินที่อยู่รอบๆ อย่างลุ้นระทึก!
เสียงนี้… พวกเขาอาจจะไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไรนัก เพราะเป็นเสียงที่ไม่เกิดมานานมากแล้ว
แต่พวกเขาก็รู้จักเสียงนี้เป็นอย่างที่เช่นกัน! เพราะเมื่อเสียงนี้บังเกิดขึ้น นั่นหมายความว่ามีสุดยอดอัจฉริยะถือกำเนิดขึ้นแล้ว!
ประหนึ่งบุตรชายแห่งทวยเทพถือจุติ!
ผู้ฝึกตนขั้นจู้จีทั้งสองอย่างหั่วหยุนกับอิ่งซา และสามกองกำลังใหญ่อย่างจิงเซียง ทูจิ้ว ฝูหรง ต่างมองไปที่ศิลาหินแท่นหนึ่งเป็นสายตาเดียวกันทันที อีกวินาทีถัดมา ทั้งสามนายจากกองกำลังใหญ่ที่เดิมทีก็ตกใจลุกยืนขึ้นอยู่แล้ว และในตอนนี้พวกเขาถึงกับอ้าปากเหวอออกมากันถ้วนหน้า!
ศิลาหินแตกร้าว!
ในบรรดาศิลาหินทั้งหนึ่งร้อยยี่สิบกว่าแท่น เกิดรอยแตกราวไปยี่สิบกว่าแท่น! และ ในบรรดานั้น มีอยู่ห้าแท่นที่เกิดรอยแตกระแหงขึ้นทั่ว เพียงแค่ไม่กี่วินาที รอยแตกร้าวก็แผ่ขยานไปทั่วทั้งหน้าหิน!
“ผู้ชนะของรุ่นสองพันเก้า… จางอีเหิงจากนครซงต้งเยว่…” ผู้นำตระกูลวัยชราคนหนึ่งลุกพรวด พลันพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงพร่าแหบ พร้อมกับจ้องไปที่ศิลาหินที่แตกร้าวไปทั่วก้อนก้อนหนึ่ง
“ผู้ชนะของรุ่นสองพันสิบสาม… มู่เกาผิงจากนครเป้ยเจียงหยวน…. ผู้ที่ตอนนี้อยู่ในขั้นจู้จีระดับต้น ทำงานให้กับ CSIB ผู้ที่เคยสังหารปีศาจขั้นจู้จีระดับกลาง ปีศาจที่หมายนำจับอยู่ในระดับ B และมีรางวัลนำจับถึง… สองพันเจ็ดสิบสองล้านเชียวนะ…” อีกด้านหนึ่ง ผู้ชายอายุราวห้าสิบกว่าปีพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครืออย่างแทบไม่อยากเชื่อ
“ผู้ชนะของรุ่นสองพันเจ็ดสิบเอ็ด… เถิงเสวี่ยจากนครเฟิงอี้… ขั้นจู้จีระดับต้น… ตอนนี้เป็นรองหัวหน้ากองกำลังวิหคแดงแห่งองค์กรอวี้หลินเว่ย และเป็นถึงคณะนักล่าอันดับสองแห่งมณฑลทงหนาน… นี่… นี่มัน…” ไม่ไกลเท่าไรนัก หญิงชราหงำเหงือกถือไม้เท้าคนหนึ่งก็พูดขึ้นอย่างตะลึงตะลานจนริ้วรอยเหี่ยวย่นปรากฏขึ้นเด่นชัดทั่วทั้งหน้า
“ผู้ชนะของรุ่นหนึ่งพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้า ผู้ที่มาจากตระกูลเก่าแก่ในนครหยางหมิง… ตอนนี้เป็นถึงพันโท ‘เหยียนหวง’ ทหารคุ้มกันแห่งนครหลวง ผู้ฝึกตนทีผ่านระบบทดสอบจาก CSIB อันดับเจ็ดแห่งการประลองยุทธ์จู้จีระดับกลาง…” ติงเซียงจ้องมองศิลาหินทั้งห้าแท่นที่แตกร้าวขึ้นเรื่อยๆ อย่างตกใจจนหัวใจโจนขึ้นแทบถึงลูกกระเดือก “เมื่อเดือนที่แล้ว… ตอนรุ่นพี่ออกฌาน ฉันยังแวะไปหาอยู่เลย…”
รอยแตกร้าวเริ่มแตกระแหงมากขึ้นเรื่อย และสิบวินาทีหลังจากนั้นบังเกิดเสียง “โครม” ดังสนั่น! ศิลาหินทั้งห้าแท่นพังทลายเป็นหน้ากอง! ก่อนสลายเป็นอูแสงสีขาวและสลายหายไปในอากาศ!
ไม่มีใครพูดคุย
ไม่มีใครเอ่ยปาก
นาทีนี้ แม้แต่อิ่งซากับหั่วหยุนก็ไม่รู้จะพูดอะไร
คนพวกนี้… ไม่ใช่แค่อันดับหนึ่งของนคร แต่พวกเขาเป็นถึงผู้ชนะแห่งมณฑลในรุ่นนั้นๆ!
มีคนจำนวนไม่น้อยที่พวกเขารู้จัก แต่บัดนี้ศิลาหินทั้งห้าแท่นของพวกเขากลับพังทลายไปต่อหน้าต่อตา! ส่วนที่เหลืออีกยี่สิบแท่นมีปรากฏรอยแตกร้าวขึ้นทั่ว และสั่นคลอนไม่ยอมหยุด!
“ครืดคราด…” เสียงศิลาหินสั่นคลอนดังอุดอู้ราวกับเป็นเสียงที่ดังออกมาจากหัวใจทุกคน ไม่มีใครคาดคิดว่าในการต่อสู้รอบแรก พรสวรรค์ ของสวีหยางอี้จะเหนือกว่าเหล่าผู้ชนะทั้งห้าคน ของแต่ละรุ่น ซ้ำยังทำให้ศิลาของผู้ชนะอีกยี่สิบแท่นสั่นคลอน!
ด้วยพลังของจินตันเจินเหรินที่แฝงอยู่ในศิลาหินทั้งยี่สิบห้าแท่นของผู้ชนะในแต่ละรุ่น นับว่าเป็นตัวตัดสินพรสวรรค์ของสวีหยางอี้ได้เป็นอย่างดี
ความเงียบงันครอบคลุมไปทั่วสนาม เหล่าผู้ฝึกตนในขั้นเลี่ยนชี่ทั้งหลายต่างตะลึงลานจนพูดไม่ออก ส่วนผู้ฝึกตนขั้นจู้จีก็ไม่รู้จะพูดอะไรเช่นกัน
“สวีหยางอี้” สวีหยางอี้ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น สิ่งที่เขาสนใจในตอนนี้ก็คือเป็นฝีมือใคร ใครช่างกล้ามาปิดกั้นเส้นการโคจรพลังปราณธรรมชาติตอนที่เขาทำการบรรลุตบะ จนกระทั่งเสียงเรียกนี้ดังขึ้น เขาถึงรวบรวมสติขึ้นมาได้
เพราะว่านี่เป็นเสียงของหั่วหยุน
ทุกคนต่างสะกดความตื่นตระหนกไว้ในใจ นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้ฝึกตนขั้นจู้จีเรียกชื่อ
“นายเคยทำความเข้าใจเรื่องของผู้ฝึกตนขั้นจู้จีไหม?” หั่วหยุนคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน “นายสนใจจะ…”
“ไม่ได้” น้ำเสียงยังไม่ทันสิ้นสุด เสียงของอิ่งซาก็ดังขึ้นอย่างไม่สนใจ
สายตาของหั่วหยุนเหลือบมองไปทันที เมื่อสายตาทั้งสองสบฃกัน อีกฝ่ายถึงกับรับรู้ถึงประกายไฟวิบไหวในดวงตาหั่วหยุนได้ทันที
“สหายอิ่งซานึกเปลี่ยนใจแล้วเหรอ ?” หั่วหยุนคลี่ยิ้มเยือกเย็น
อิ่งซาเงียบอยู่สักพักก่อนเอ่ยปากพูดขึ้นอย่างเมินเฉย “ข้อแลกเปลี่ยนของนายไม่คุ้มกับความสามารถของเขา”
“หืม?” หั่วหยุนระบายยิ้ม “ฉันขอยกเลิกข้อต่อรองเรื่องเหมืองหินวิญญาณขนาดย่อยแล้วกัน”
น้ำเสียงเด็ดขาดเป็นยิ่งนัก!
อิ่งซานิ่งเงียบอยู่ประเดี๋ยวหนึ่ง เขาจ้องมองหั่วหยุนอย่างจริงจัง “สหายหั่วหยุน ฉันไม่อยากกลับคำพูดไปมา แต่เจ้าเด็กคนนี้ ฉันปล่อยไปไม่ได้”
“นาย!” ไฟโทสะภายในใจของหั่วหยุนคุโชน ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกสับสนเป็นยิ่งนัก ใครจะไปคาดคิด ถึงแม้ความสามารถของสวีหยางอี้จะสู้กับของเมี่ยรื่อไม่ได้แต่ก็ไม่แย่ หรืออาจพูดได้ว่าเป็นความสามารถที่เหนือชั้นยิ่งนัก!
ที่ต้องรู้ก็คือ การประลองเมื่อครู่ไม่เข้าข่ายการต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย หรือการต่อสู้ในระดับเดียวกันเลยสักนิด!
นั่นเป็นแค่การข่มขู่อีกฝ่ายเท่านั้น!
หากในรุ่นนี้… มีสักคนที่มีพลังเท่ากับเขา แล้วทั้งสองฝ่ายต่างระเบิดพลังที่แท้จริงออกมา
หั่วหยุนก็รู้เป็นอย่างดี เกรงว่า… คงไม่ใช่แค่ทำให้ศิลาหินทั้งยี่สิบแท่นสั่นคลอน และอีกห้าแท่นพังทลายเป็นแน่!
สายตาเขาเหลือบมองไปที่ฉู่เจาหนานอย่างเงียบๆ จนสุดท้ายก็ไปหยุดอยู่ที่ปืนสั้นในปลอกปืนที่เหน็บอยู่ที่เอวของเขา
ไม่แน่ ระหว่างทั้งสองคนนี้ อาจเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดสมน้ำสมเนื้ออย่างแท้จริง
ระหว่างมังกรคลั่งในคราบมนุษย์กับศาสตร์ต่อสู้ด้วยปืนอันไร้เทียมทาน ใครจะเป็นผู้ล่า? แล้วใครจะเป็นเหยื่อ?
เขาละสายตาออกมาพลันเงียบขรึมลงสักพัก แต่ก็ไม่มีความคิดจะปล่อยสวีหยางอี้ให้หลุดมือเด็ดขาด หากคนแบบนี้หลุดออกไป ใครจะไม่ต้องการ? ดูสิ รุ่นน้องจากตู้มหาสมบัติ อวี้หลินเว่ย และ CSIB ทั้งสามจ้องตาเป็นมันเชียว
เขาลอบถอนหายใจเงียบๆ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าสวีหยาวอี้ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของฉู่เจาหนานได้ และไม่ได้ชายตามองคนๆ นี้แม้แต่น้อย แต่ผลลัพธ์กลับ…
“สหายหั่วหยุน” ตัวอิ่งซาเองก็เข้าใจสิ่งที่หั่วหยุนคิดเช่นกัน ครั้นจึงประสานมือเอ่ย “พักเรื่องนี้เอาไว้ก่อน เอาไว้การแข่งขันชิงอันดับเสร็จสิ้น ทุกคนค่อยมาว่ากันอีกทีเป็นไง?”
ยังไม่ทันรอให้หั่วหยุนเอ่ยปากพูดขึ้น เขาก็ปัดมือพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “พักได้ อีกห้านาที กลุ่มต่อไปเตรียมตัว”
แก้มหั่วหยุนกระตุกสองสามที และสุดท้ายก็ไม่ได้ปริปากเอื้อนเอ่ย
เสียงดังโหวกเหวกวุ่นวายทั่วทั้งสนาม แต่อิ่งซาก็ไม่สนใจ เขาปัดมือขึ้นมาหนึ่งที ป้ายโลหะสิบเอ็ดแผ่นพลันปรากฏ จากนั้นเขาก็จับขึ้นมาสองแผ่น แววตาเป็นประกายขึ้นเล็กน้อย เขาบิดมันเบาๆ ไอพลังปราณสีขาวหิมะสองเส้นก็ลอยควบแน่นขึ้นในอากาศกลายเป็นชื่อด้านซ้ายและขวาคนอีกครั้ง
ฉู่เจาหนานจากนครเทียนเฟิง
เกาเย่จากนครเป้ยเจียงหยวน
ฉู่เทียนอีวางแก้วชาในมือตัวเองลง ก่อนใช้ไม้เท้าพยุงร่างตัวเองลุกขึ้น หากฉู่เจาหนานเงยหน้าขึ้นมาก็จะเห็นเขาทันที
แต่ฉู่เจาหนานไม่ยอมเงยหน้าขึ้นสักที
บรรยากาศในสนามประลองตอนนี้เงียบลงอย่างรวดเร็ว ราวกับท้องทะเลกว้างใหญ่ที่เพิ่งสงบลงจากพายุกระหน่ำ ทุกคนต่างกำลังพูดคุยและประเมินการต่อสู้ที่จบลงอย่างรวดเร็วเมื่อครู่อยู่ ไม่มีใครจำชื่อของหลัวซานเฟิงได้แล้ว ในตอนนี้ชื่อของสวีหยางอี้น่าจะถูกกองกำลังใหญ่และตระกูลผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งทั้งหลายขีดเน้นเป็นสีแดงเอาไว้แล้ว
ความรู้สึกแบบนี้ทำให้ฉู่เจาหนานอึดอัดเป็นยิ่งนัก