ยุทธเวทผลาญปีศาจ - เล่มที่ 2 บทที่ 38 ศึกราชสีห์ชิงอำนาจ (3)
เกาเย่คือวัยรุ่นรูปร่างสูงใหญ่กำยำ มีส่วนสูงประมาณหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตรพอๆ กับฉู่เจาหนาน หัวโล้น กล้ามเนื้อทั่วร่างกายล่ำสันคล้ายควายไบซัน ดวงตาถลึงกว้างจ้องมองฉู่เจาหนานปานจะกลืนกิน
ฉู่เจาหนานไม่ชายตามองเขาแม้แต่น้อย ทว่ากลับปลดปืนออกมาจากข้างหน้าแข้งหนึ่งกระบอก
เป็นปืนพกขนาดเล็กเท่าฝ่ามือ มองไม่เห็นยี่ห้อ ไม่มีลวดลายอักขระ
“เหอะๆ …” เสียงหัวเราะของเกาเย่แหบพร่า น้ำเสียงราวกับดาบขึ้นสนิมก็ไม่ปาน บนแท่นสังเวียน เขายังไม่ชิงลงมือก่อน ทว่ายืนกอดอกมองดูฉู่เจาหนานที่กำลังเดินเข้ามาและบรรจุกระสุนปืนไปพลางอย่างมั่นใจ
เขาบรรจุกระสุนแค่หนึ่งนัด เป็นกระสุนดำอมเขียวหนึ่งนัด
“นายโง่หรือไง?” หนึ่งนาทีเต็ม ฉู่เจาหนานยืนเป่าปากกระบอกปืนอยู่อย่างวางมาด เกาเย่จึงแสยะยิ้มขึ้น “อาวุธประเภทปืนยิงผู้ฝึกตนไม่เข้า ต่อให้ยิงเข้าก็ไม่ตาย โรงเรียนสาขาย่อยที่นครเทียนเฟิงไม่สอนนายเรื่องนี้หรือไง?”
สายตาของฉู่เจาหนานมองผ่านเขาไปมองสวีหยางอี้ที่อยู่ด้านล่างสังเวียน จากนั้นก็ระบายยิ้มออกมา
“การแสดงของนายไม่เลว”
“แต่ว่า ฉันก็มีการแสดงของฉันเหมือนกัน ถึงจะใช้เวลานานหน่อย แต่ก็ชนะอย่างสวยงาม”
สวีหยางอี้คลี่ยิ้มยืนกอดอกพิงกำแพงไม่พูดจา
เกาเย่แพ้แล้ว…
เขารู้ว่าฉู่เจาหนานถนัดปืน แต่สำหรับเด็กหน้าใหม่ที่ยังไม่ค่อยเข้าใจโลกของผู้ฝึกตนไม่มีทางรู้ได้เลยว่าปืนกระบอกนี้หมายถึงอะไร
ถึงแม้เขาไม่รู้ แต่ก็สัมผัสได้ว่าปืนที่อีกฝ่ายเหน็บอยู่ที่เอวอันตรายมาก…
ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเขาเฉียบคมกว่าผู้ฝึกตนทั่วไปเกือบครึ่งเท่าตัว ทุกครั้งที่เขาใช้พลังจิตเพ่งมองไปที่ปืนกระบอกนั้น ก็มักรู้สึกเจ็บเสียดขึ้นกลางใจ
นี่เป็นสัญญาณของความอันตราย
จากลูกเตะบนเครื่องบินตอนนั้น เขารู้ได้ทันทีว่าพละกำลังของฉู่เจาหนานไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาแน่นอน ตบะก็เท่ากัน แต่ตอนที่ฉู่เจาหนานชักปืนพกขนาดเล็กกระบอกนั้นออกมา เขากลับไม่มีความรู้สึกเจ็บเสียดขึ้นกลางใจ แต่ก็ยังรู้ไม่สบายตัวเป็นยิ่งนัก
“ไม่เมื่อมั่นใจขนาดนี้…” เขาผิวปากออกมาก่อนเอ่ย “งั้นทำให้เห็นหน่อยแล้วกันว่านายมันแน่แค่ไหน”
เขาแค่ขยับปากพูดไม่ออกเสียง ฉู่เจาหนานเห็นเช่นนั้นจึงผุดยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อย ทว่าวินาทีถัดมา…
อีกฝ่ายกลับหายไปแล้ว!
แววตาของเกาเย่ดุดันขึ้นฉับพลัน ดวงตาของสวีหยางอี้ก็เป็นประกายเช่นกัน พร้อมกับดวงตาของผู้คนทั่วทั้งสนามที่ต่างสั่นคลอน!
ความเร็วของสวีหยางอี้ เมื่อครู่ยังทิ้งเงาไว้บ้าง แต่ของคนนี้กลับหายไปสนิท!
สวีหยางอี้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก ตั้งสมาธิเพ่งจิต เพียงเสี้ยววินาที เขาก็เงยหน้าขึ้นไปฉับพลัน!
ทั้งผู้ฝึกตนขั้นเลี่ยนชี่ระดับกลาง ระดับปลายและขั้นจู้จีที่อยู่ทั่วทั้งสนามต่างพากันเงยหน้าขึ้น ท่ามกลางอากาศเหนือพื้นดินขึ้นไปราวยี่สิบเมตรปรากฏเงาร่างของฉู่เจาหนานขึ้น!
“วิชาปืน…” ในตอนนี้ ไม่รู้ว่าในมือของฉู่เจาหนานมีปืนสองกระบอกตั้งแต่เมื่อไหร่ เป็นปืนเงินเหมือนกันทั้งสองกระบอก เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก แววตาพลันปะทุในบัดดล “ล็อกเป้า!”
“ฟิ้ว!” ในระหว่างนี้ ร่างกายของเขาหมุนเป็นเกลียวน็อต! แต่ว่าในขณะที่ชุดลายพรางของเขาหมุนเคว้งกลางอากาศจนสีสันลายตาของชุดกลืนกันเป็นสีเขียว ก็มีประกายไฟปะทุออกมาจากปากประบอกปืนอย่างบ้าคลั่งและไร้ที่สิ้นสุด! ลูกกระสุนจากร้อยกลายเป็นพัน จากพันกลายเป็นหมื่น และทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ
“ปังๆๆ” เสียงปืนดังสนั่นกึกก้องประหนึ่งเป็นบทเพลงแห่งการฆ่าสังหาร ในเวลาเดียวกัน อิ่งซาลุกขึ้นพรวด ก่อนกระดิกนิ้วชี้ขึ้นเบาๆ
“ฟุบ!” ม่านแสงสีเขียวขาดใหญ่ทรงสี่เหลี่ยมปรากฏขึ้นล้อมรอบแท่นสังเวียนไว้ด้านใน!
“นี่มัน…” ผู้เฒ่าคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตกใจ “ม่านป้องกันที่รุ่นพี่อิ่งซาใช้พลังปราณสร้างขึ้น? เขา…”
จากนั้นเขาก็หันไปมองฉู่เจาหนานอย่างตกตะลึง “รุ่นพี่อิ่งซาคิดว่านักเรียนคนนี้อาจทำให้คนอื่นโดนลูกหลงจนได้รับบาดเจ็บงั้นเหรอ? ทั้งๆ ที่อยู่ไกลกันขนาดนี้เนี่ยเหรอ?”
“วิชาปืน!” แต่ในเวลาเดียวกัน มีคนจำนวนมากมองวิชานี้ออกแล้ว พวกเขาต่างพากันหวาดสะท้านและรีบใช้พลังปราณป้องกันผู้เยาว์ในตระกูลไว้ทันที!
“ท่านผู้นำเฉิง…. เกิดอะไรขึ้นครับ?” เด็กคนหนึ่งมองผู้นำตระกูลเฉิงสีหน้าเคร่งขรึมก่อนเอ่ยถามอย่างสงสัย ซึ่งผู้นี้ก็คือผู้นำตระกูลซ่งของพวกเขา
“นี่เป็นวิชาปืน” ผู้เฒ่าสีหน้าเคร่งขรึม “นี่เป็นศาสตร์วิชาลี้ลับ ว่ากันว่าในตลาดมีราคาสูงถึงหมื่นๆ ล้าน! ไม่แน่อาจประเมินค่าไม่ได้ด้วยซ้ำ!”
“มันดูสวยงาม แต่ขณะเดียวก็เป็นกระบวนท่าสังหารที่ร้ายกาจ… ดูเหมือนนักเรียนแซ่ฉู่ในการประลองรอบนี้จะมีภูมิหลังในรัฐบาลหวาซย่าที่ยิ่งใหญ่เกินคาดเสียแล้ว…”
เกาเย่อึ้งงันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ไหนบอกว่าเป็นการประลองทั่วไปไม่ใช่เหรอ?
แล้วของพรรค์นี้มันคืออะไร?
ถึงเขามองเห็นไม่ชัด แต่สัมผัสรับรู้ได้อย่างชัดเจน กระสุนจำนวนมหาศาลกำลังพุ่งโจมตีมาที่ตัวเขา! ดูเผินๆ เหมือนฝูงผึ้งบินว่อน แต่ในความเป็นจริง เป้าหมายของกระสุนทุกลูกล้วนเล็งไปที่หัวใจเขา!
“ย้ากกก!” เขาตะเบ็งเสียงคำรามออกมา กล้ามเนื้อทั่วร่างกายพองขึ้น ชุดลายพรางทั่วทั้งร่างฉีกขาด เส้นเลือดตามร่างกายท่อนบนกระเพื่อมเคลื่อนไหวมารวมกันอยู่ตรงหน้าอกกลายเป็นรูปกิเลน!
สังเวยชีพ!
ตอนนี้ ดวงตาของสวีหยางอี้เริ่มดูเคร่งขรึมขึ้นมารำไร นักเรียนที่สามารถใช้กระบวนท่าสังเวยชีพได้ สมแล้วที่เขาได้เป็นอันดับหนึ่ง
“กระดองแห่งบาป!” เสียงคำรามระลอกที่สองดังขึ้น แขนกำยำทั้งสองยกขึ้นไขว้กันตั้งการ์ดอยู่ด้านหน้า เขาเชื่อว่าการที่ใช้ทั้งกระบวนท่าสังเวยชีพและกระดองแห่งบาปพร้อมกันจะสามารถป้องกันลูกกระสุนปืนได้อย่างแน่นอน
ถึงต่อให้ป้องกัน ไม่ได้… เขาก็ไม่มีกระบวนท่าไหนให้เลือกใช้อีกแล้ว!
“แปลบ!” ประกายไฟอันไร้ที่สิ้นสุดที่ปะทุออกมาเปล่งแสงระยิบระยับอยู่กลางอากาศคล้ายกับละอองน้ำพุ ขณะที่กระสุนทั้งหมดพุ่งเข้าไปเกือบเข้าประชิดตัวเกาเย่ ทันใดนั้น ด้านหน้าของเขาก็เกิดวงเพื่อมเล็กๆ ของอากาศจำนวนมาก
หากมีคนสังเกตดีๆ ก็คงจะมองออกว่าวงกระเพื่อมของอากาศเหล่านั้นก็คือลูกกระสุนเล็กๆ จำนวนมหาศาลที่ปะทะเข้าเป็นเกราะป้องกันนั่นเอง
ในเวลาเดียวกัน ม่านพลังปราณป้องกันทั้งสี่ทิศก็บังเกิดวงกระเพื่อมจำนวนมากเหมือนกับด้านหน้าของเกาเย่เช่นกัน!
นั่นเป็นลูกกระสุนจำนวนมหาศาลที่พุ่งโจมตีพร้อมกันอย่างยิ่งใหญ่ตระการตา!
“ซูด…” สวีหยางอี้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก พลันคลายมือออกอย่างผ่อนคลาย
แข็งแกร่ง… แข็งแกร่งจริงๆ ด้วย!
ศาสตร์วิชาไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะได้สัมผัสง่ายๆ แต่ว่ากันว่าอาวุธที่ดีต้องอยู่ในมือของผู้กล้าที่มีความสามารถ
เห็นได้ชัดว่า ฉู่เจาหนานก็คือผู้กล้าคนนั้น
นี่สิ คือความสามารถที่แท้จริงของเขา!
ช่วงเสี้ยวพริบตาเมื่อครู่ จิตสังหารถั่งโถมเอ่อทะลัก! ทุกๆ วงเพื่อมอัดแน่นด้วยจิตสังหารอันเด็ดเดี่ยว หากอิ่งซาไม่ลงมือป้องกัน ดีไม่ดีตอนนี้เกาเย่อาจถึงคาดแล้วก็เป็นได้!
“หวืด…” อิ่งซาปัดมือขึ้น ม่านพลังปราณทั้งสี่ทิศกลายเป็นพลังปราณสีขาวก่อนสลายหายไป และแล้วลูกกระสุนที่ “ติดค้าง” อยู่บนกำแพงพลังปราณกลางอากาศ กร่วงหล่นลงมาส่งเสียง “กริ้งกร้าง”
ลูกกระสุนจำนวนนับไม่ถ้วนร่วงหล่นลงรอบๆ ตัวฉู่เจาหนานดุจดั่งสายฝน บังเกิดเสียงใสกังวานประหนึ่งลูกแก้วน้อยใหญ่ร่วงลงบนจานหินหยก
เพียงแต่สายฝนเหล่านี้เป็นสายฝนที่อันตรายถึงชีวิต ทั้งยังมีควันสีขาวที่เกิดจากการเสียดสีสันดาปอย่างรุนแรงลอยออกมา
เป็นอันปิดฉากลงอย่างสวยงาม
เหงื่อกาฬเย็นเยือกจากปลายจมูกเขาหนึ่งหยดไหลลงพื้น ในช่วงนาทีสุดท้าย เขาคิดว่า ตัวเองต้องตายไปแล้วเสียด้วยซ้ำ
ลูกกระสุนอันไร้ที่สิ้นสุด… ห่ากระสุนกระหน่ำที่แท้จริง! ราวกับยมทูตจำนวนมากสะบัดเคียวสังหารแผดเสียงเบียดอากาศพุ่งเข้ามาหาเขา!
แม้แต่กระบวนท่าสังเวยชีพที่ผนวกเข้ากับเต่าแห่งบาปก็ป้องกันไม่ได้งั้นหรือ?
“ฉู่เจาหนานจากนครเทียนเฟิงเป็นผู้ชนะ” ครั้นเสียงของหั่วหยุนดังขึ้น ทุกคนทั่วทั้งสนามที่ตกอยู่ในห้วงภวังค์การเข่นฆ่าที่สวยงามก็ตั้งสติกลับคืนมา
วินาทีถัดมา เสียงดัง “กรอบแกรบ” เหมือนคุ้กกี้ถูกเคี้ยวที่ทุกคนคุ้นเคยก็สะท้อนขึ้นในหูของทุกคน
“ล้อเล่นใช่ไหม…” ผู้เฒ่าคนหนึ่งเงยหน้าอย่างตกใจ
“จริงเหรอเนี่ย…” หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งที่ถือกระเป๋าชาเนลอยู่หันไปมองศิลาหินที่สั่นคลอนอย่างตกตะลึงในทันที
“ครั้งนี้ มณฑลหนานทงจะโชคดีเกินไปแล้ว ทั้งปีศาจอย่างคนแซ่สวีคนนั้น แล้วตอนนี้ยังมีปีศาจคนที่สองโผล่มาอีก” “ยังมีคนทำให้ศิลาหินสั่นคลอนได้อีกเหรอ?” “พระเจ้า… ครั้งนี้สาขาย่อยแห่งมณฑลหนานทงมีชื่อเสียงขึ้นมาแล้ว ถือกำเนิดปีศาจติดต่อกันถึงสองคน!”
เสียง “ครืด” ดังขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นศิลาหินสี่แท่นก็พังทลายลง! และยังมีอีกสิบสี่แท่นที่สั่นคลอนอย่างรุนแรง!
ไม่มีใครเอ่ยปากพูด
ท่ามกลางอณูแสงพลังปราณที่เกิดจากศิลาหินที่พังทลาย ฉู่เจาหนานจ้องมองสวีหยางอี้อยู่บนแท่นสังเวียนอย่างทะนงตน
สวีหยางอี้เงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่กระหายในการต่อสู้และไม่ยอมอ่อนข้อ
นี่คือการประกาศสงคราม
เป็นการประกาศสงครามอย่างแท้จริง!
และสวีหยางอี้อย่างเขาก็ดึงดูดให้อีกฝ่ายคิดอยากต่อสู้ได้หนึ่งร้อยเปอร์เซ็น!
เขาคนก่อนหน้า เผด็จศึกเพียงสามวินาที ป่าเถื่อน บ้าระห่ำ ไม่สนใจเหตุผล
เขาคนหลัง เผด็จศึกสามสิบวินาที สวยงาม สง่างาม ไม่เปื้อนฝุ่นแม้แต่น้อย
แต่ผู้แข็งแกร่งมักไม่หลงระเริงกับความสำเร็จที่สวยงามในอดีต เพราะความสำเร็จที่สวยงามนั้นไม่มีทางติดตัวไปได้ตลอด
ท่ามกลางห่ากระสุนที่ร่วงหล่น แรงปรารถนาในการต่อสู้ถึงขีดสุดของทั้งสองพลันฉายขึ้นในดวงตา
เดิมทีการฝึกตนก็คือการแก่งแย่งของผู้คนนับหมื่น เป็นเส้นทางแห่งความตายที่ทุกคนคุ้นเคย มีเพียงคนที่เหมาะสมที่สุดเท่านั้นถึงจะสามารถขัดเกลาทักษะวิชาและเจตจำนงของตนได้จนถึงฝั่งฝัน และพัฒนาความสามารถตัวเองขึ้นไปอีกหนึ่งระดับ!
ทุกคนต่างเข้าใจความจริงข้อนี้
นาทีนี้ ราวกับพวกเขาได้พบเจอกับคู่ต่อสู้ที่โชคชะตาลิขิตของตัวเองแล้ว
รูปแบบการต่อสู้ที่ต่างกัน เวลาในการต่อสู้ที่ต่างกัน หากแต่แข็งแกร่งเหมือนกัน ดุดันน่ากลัวเหมือนกัน
ฉู่เจาหนานยกมือทำท่าปาดคอตัวเองพร้อมกับเลียริมฝีปาก โดยที่ไม่สนใจเกาเย่ที่สีหน้าซีดเป็นศพเลยสักนิด
นักเรียนที่เห็นเหตุการณ์นี้หันไปมองสวีหยางอี้ทันที เพราะ… พวกเขารู้ดีว่าทั้งสองคนที่แข็งแกร่งราวกับสัตว์ประหลาดไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตัวเองแน่นอน!
คนที่ฉู่เจาหนานมองไม่ใช่ตัวเองแน่นอน
สัตว์ประหลาด… ก็ต้องเจอกับสัตว์ประหลาดด้วยกัน! สัตว์ประหลาดเหมือนกันต้องประชันกันเอง!
“ฉันรอนายอยู่” คิ้วของสวีหยางอี้ไม่ไหวติงราวกับคิดว่าห่ากระสุนที่ร่วงหล่นอยู่ด้านหลังฉู่เจาหนานไม่ใช่ฝีมือเขาก็ไม่ปาน
อีกฝ่ายสามารถเก็บงำความสามารถและใช้วิชาทั่วไปต่อสู้ได้ แต่อีกฝ่ายไม่ทำ ซ้ำยังแสดงท่าไม้ตายของตัวเองออกมาให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ นับว่าเป็นการร้องขอทำสงคราม!
ต้องการทำสงคราม งั้นจะทำให้นายได้สมดั่งใจ!
นายต้องการการต่อสู้ที่เพลิดเพลิน หมัดอาบโชนไปด้วยเลือด ส่วนฉันสวีหยางอี้คนนี้ ก็กำลังเฝ้ารอคู่ต่อสู้ที่ฝีมือทัดเทียมกับตัวเองอยู่เช่นกัน
“นายไม่กังวลเหรอ?” อยู่ๆ เสียงๆ หนึ่งก็ดังขึ้นใกล้ๆ สวีหยางอี้ ซึ่งเป็นเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งรูปร่างไม่สูงและไม่นับว่าสวยเท่าไร
“ทำไมต้องกังวล?” สวีหยางอี้เลิกคิ้วเอ่ยถามกลับ
“นั่นเป็นศาสตร์วิชาที่พวกเราไม่รู้จัก! เจ้าหมอนี่ขี้โกง!” ผู้หญิงพูดขึ้นอย่างรังเกียจ “พวกเราไปฟ้องรุ่นพี่ขั้นจู้จีด้วยกันเถอะ! นี่มันผิดกฎ! เขาขี้โกงที่แอบเรียนศาสตร์วิชาที่โรงเรียนไม่ได้สอน!”
สวีหยางอี้ละสายตาออกจากฉู่เจาหนาน จากนั้นก็กวาดมองเธออย่างเวทนา “ดังนั้น เธอจึงเป็นได้แค่คนอ่อนแอ”
“หากในใจไม่เด็ดเดี่ยว ต่อให้กระบี่ในมือดีแค่ไหน สวยงามแค่ไหน แหลมคมแค่ไหน…” เขาควักไฟแช็กออกมาจุดบุหรี่มวนก่อนสูบหนึ่งฟอดอย่างสบายใจ “เธอก็เป็นได้แค่คนอ่อนแอ”
เขาไม่สนใจเธออีกต่อไป เขาละสายตาและกวาดมองเหล่าตระกูลผู้ฝึกตนทั่วทั้งสนามที่ตื่นเต้นจนแทบจะเป็นบ้า จากนั้นก็มองดูคนจากตู้มหาสมบัติ อวี้หลินเว่ยและ CSIB ที่ยืนอยู่อย่างหวั่นไหว
บรรยากาศแบบนี้สิ ถึงจะเป็นเกียรติที่พึงได้รับ ผู้แข็งแกร่งไม่ควรได้รับคำชมและความเคารพนอบน้อมที่จอมปลอม เขาระบายยิ้มพลางเขี่ยบุหรี่ บัดนี้ภายในใจได้ผุดความคิดอันเด็ดเดี่ยวเหนืออื่นใดเปรียบขึ้นมา
คนๆ นี้ มีฉันเพียงคนเดียวที่จะซัดเขาได้!
นอกจากตัวเองแล้ว ไม่มีใครสามารถข่มเหงเขาได้แม้แต่น้อย!
และเขาก็แน่ใจด้วยว่า ภายในใจของฉู่เจาหนานก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน