ยุทธเวทผลาญปีศาจ - เล่มที่ 2 บทที่ 39 ศึกราชสีห์ชิงอำนาจ (4)
การประลองสองรอบแรกทำให้ตระกูลผู้ฝึกตนทั่วทั้งสนามต่างสนุกสนานครึกครื้น และการประลองหลังจากนั้นก็ทำให้ทุกคนตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย
หลังจากนั้นสองชั่วโมง ก็ได้ผู้แข็งแกร่งทั้งเจ็ดคน เนื่องจากนักเรียนของมณทลหนานทงเป็นเลขคี่ ดังนั้นรอบก่อนหน้านี้จึงจับฉลากอันดับสองจากนครอื่นมาหนึ่งคน
ทั้งเจ็ดคนนี้เปรียบเสมือนดาวจรัสแสงในใจของทุกคน
นครเทียนเฟิง นครอวี้หยาง นครจ้าวเสวี่ย นครเจาผิง นครทงเจียง นครกานโจว และนครสุ่ยลั่ว
ศึกระหว่างสวีหยางอี้จากนครอวี้หยางกับฉู่เจาหนานจากนครเทียนเฟิงนับเป็นการประชันของสองผู้แข็งแกร่ง คาดเดาผลแพ้ ชนะยาก และจัดว่าเป็นการต่อสูงในระดับสูง!
ส่วนคนอื่นๆ … ล้วนเป็นการต่อสู้ในระดับรอง!
เนื่องจากสองคนนี้โดดเด่นเป็นยิ่งนัก… โดดเด่นเสียจนไม่สามารถละสายตาได้เลย!
ถึงแม้อันดับหนึ่งจากนครจ้าวเสวี่ยกับนครทงเจียงจะสามารถทำศิลาหินพังทลายไปสองแท่น และสั่นคลอนอีกเจ็ดแท่นได้เช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับสวีหยางอี้และฉู่เจาหนานแล้วก็ยังห่างชั้นกันอยู่
หากเป็นปีก่อนๆ พวกเขาคงทำทุกคนตกตะลึงได้ แต่ปีนี้…
ในเมื่อมีอัญมณีสวยงามปรากฏอยู่เบื้องหน้า พวกเขาก็เป็นได้แค่หางหมาแซมขนหมี[1]เท่านั้น
ตอนบ่ายเป็นการประลองคัดเลือกจากเจ็ดเหลือสี่ เนื่องจากสวีหยางอี้จับสลากได้ความว่างเปล่า จึงไม่ต้องต่อสู้ในรอบนี้ ส่วนฉู่เจาหนานก็ใช้กระบวนท่าเดิมและจบการต่อสู้ภายในสามสิบวินาทีเหมือนเดิม
“เจ้าหนูคนนี้…” สวีหยางอี้ที่สูบบุหรี่อยู่ข้างสนามกำลังครุ่นคิด “ดูเหมือนว่าก่อนการประลองรอบชิงชนะเลิศ เขาไม่คิดจะใช้วิธีอื่นเลย”
เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่แตะต้องปืนที่เหน็บอยู่ข้างเอวเลยสักนิด
นั่นเป็นท่าไม้ตายที่แท้จริงของอีกฝ่าย
กระบวนท่าสังหารจะต้องเก็บไว้ใช้กับคู่ต่อสู้ผู้คู่ควรที่แท้จริง
ในรอบสี่เหลือสอง สวีหยางอี้กำราบคู่ต่อสู้ภายในสิบวินาทีเหมือนเดิม เมื่อเทียบกับลูกเตะหนึ่งครั้งที่ใช้กับหลัวซานเฟิง ครั้งนี้เขาใช้ถึงสามครั้ง ส่วนฉู่เจาหนานก็ ใช้เวลาไปสามสิบวินาทีเหมือนเดิม และเป็นห่าฝนกระสุนกระหน่ำอันสวยงามยากจะละสายตาเหมือนเดิม
ทั้งสองที่รูปแบบการต่อสู้ต่างกัน ทั้งสองที่พลังใกล้เคียงกันต่างเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศพร้อมกัน!
“หลังจากนี้หนึ่งชั่วโมง จะเริ่มการแข่งขันชิงอันดับรอบตัดสิน” หลังจากการประลองรอบสี่เหลือหนึ่งสิ้นสุดลง ในที่สุดหั่วหยุนก็ยืนขึ้น เขากระดิกนิ้วเบาๆ เข็มฉีดยาทั้งสองกระบอกก็ปรากฏขึ้นในมือสวีหยางอี้กับฉู่เจาหนานทันที
“สิ่งนี้คือน้ำวิญญาณทองคำ หลังจากฉีดเข้าไป ทะเลลมปราณที่เหือดแห้งจะกลับมาเต็มเหมือนเดิมภายในหนึ่งชั่วโมง แค่นี้ก็เพียงพอกับผู้ฝึกตนในขั้นเลี่ยนชี่แล้ว”
สวีหยางอี้เสียบเข็มฉีดยาฉีดเข้าที่แขนอย่างชำนาญ ทันใดนั้น ความรู้สึกคันยุบยิบก็แผ่ซ่านเข้าไปตามเส้นลมปราณทั่วร่างกาย
ไอพลังปราณแต่ละสายค่อยๆ ไหลออกมาจากเส้นลมปราณและพุ่งเข้าสู่ทะเลลมปราณ
พอมองดูเข็มฉีดยาอย่างขำๆ ความรู้สึกพิลึกพิลั่นก็ผุดขึ้นมาในใจทันที
ปัจจุบันนี้ วิชาหลอมยาอันเก่าแก่หายไปหมดแล้ว หรืออาจพูดได้ว่า เมื่อเวลาผ่านไป ศาสตร์วิชาอันเก่าแก่พวกนั้นก็สูญหายไปกับสายธารอันยืดยาวแห่งยุคสมัยและกาลเวลา หากไม่ใช่เพราะความฉลาดของผู้ฝึกตนในยุคปัจจุบันที่นำกระบอกฉีดยาและแคปซูลมาบรรจุสารสกัดยาเข้มข้น อาชีพหลอมยาอันเก่าแก่นี้คงหายไปตั้งนานแล้ว
แต่การหลอมยานี้ไม่เหมือนกับยาตะวันตก ต่อให้แคปซูลหรือกระบอกฉีดยาจะดีแค่ไหนก็มีโอกาสทำให้ฤทธิ์ยาเสื่อมประสิทธิภาพลงไม่มากก็น้อยเช่นกัน
เขากับฉู่เจาหนานฉีดยาเข้าเส้นในเวลาพร้อมๆ กัน สายตาทั้งสองจ้องไปมองอีกฝ่ายอย่างไม่ได้นัดหมาย
แรงปรารถนาที่อยากต่อสู้กับคู่ต่อสู้ที่ฝีมือใกล้เคียงกันสะท้อนออกมาอย่างไม่ปิดบัง ประหนึ่งดวงดาวทอแสงท่ามกลางค่ำคืนในเหมันต์ฤดู ประหนึ่งเปลวเพลิงลุกไหม้ท่ามกลางยามบ่ายในคิมหันต์ฤดู
ไม่เอื้อนเอ่ยคำใด ทั้งสองต่างหันกลับไปที่ห้องของตน
ตอนนี้คงไม่ต้องพูดอะไรกันแล้ว ศึกราชสีห์ชิงอำนาจครั้งนี้ พวกเขาต่างจัดการคู่ต้องสู้ของตัวเองมาจนได้มายืนเผชิญหน้ากันในที่สุด
“หัวหน้าครับ” ในเวลาเดียวกัน เหนือแท่นสังเวียนขึ้นไปด้านบน ผู้ช่วยระดับพิเศษที่อยู่ข้างๆ ฉู่เทียนอีก็พูดขึ้นเสียงทุ้มต่ำ “ตรวจสอบข้อมูลชัดเจนแล้ว ประโยคที่สวีหยางอี้พูดทุกครั้งหลังจากจบการต่อสู้ก็คือ เป็นฝีมือนายใช่ไหม”
ฉู่เทียนอีที่กำลังหลับตาพักหย่อนผ่อนใจอยู่ค่อยๆ ลืมตาขึ้น พลันกวาดมองสวีหยางอี้ด้วยแววตาหลากอารมณ์ ก่อนเอ่ยถามน้ำเสียงเรียนนิ่ง “นายแน่ใจ?”
“แน่ใจมากครับ!” ผู้ช่วยโค้งตัวเอ่ยในทันที
ฉู่เทียนอีหลับตาลงอีกครั้ง จากนั้นผู้ช่วยก็จากไปอย่างรู้ตัวทันที
ไม่มีใครสังเกตเห็นว่า ดวงตาที่อยู่ใครเปลือกตาเขาสั่นคลอนเบาๆ ไม่หยุด
เขาไม่คิดว่า… คุณสมบัติของเจ้าแซ่สวีคนนี้จะสูงถึงขนาดนี้!
การกำจัดผู้ฝึกตนอันดับหนึ่งทิ้งไปสักคนไม่ใช่ปัญหาอะไร ยิ่งสำหรับคนที่มีตำแหน่งเป็นรองผู้ว่าการอย่างเขาแล้ว ยิ่งไม่มีใครกล้าตำหนิ
แต่ว่าหากผู้ฝึกตนขั้นเลี่ยนชี่คนนี้เป็นต้นกล้าที่จะบ่มเพาะเป็นขั้นจู้จี! แบบนี้สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง!
ดูจากท่าทีของหั่วหยุนกับอิ่งซาแล้ว เขาก็มองออกได้อย่างชัดเจนว่าสองคนนี้เริ่มหวั่นไหวแล้ว… เริ่มสนใจขึ้นมาจริงๆ แล้ว!
อีกทั้งต้นกล้าสำหรับขั้นจู้จี จะต้องถูกผู้ฝึกตนขั้นจู้จีทั้งสองคนนี้ดูแล แม้ว่าในขั้นจู้จีจะไม่มีทางรู้ว่ารางวัลครั้งนี้เป็นของวิเศษอย่างเหล้าแห่งเซียน แต่ถ้าหากเกิดเหตุการณ์เหนือความคาดหมายขึ้นมาล่ะ!
ถ้าหาก… รู้ขึ้นมาล่ะ?
ถ้าหาก… หลังจากนี้เจ้าหนูนี่บรรลุขั้นจู้จีได้จริงๆ ล่ะ?
ความรู้สึกนึกเสียใจภายหลังค่อยๆ ผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งหัวใจของเขา
เวลาหนึ่งชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ครั้นเมื่อสวีหยางอี้กับฉู่เจาหนานเดินขึ้นบนแท่นสังเวียนก็ราวกับเวลาถูกหยุดค้างไว้ก็ไม่ปาน
เหนือศีรษะขึ้นมา ตัวอักษรหนึ่งในใต้หล้าขนาดใหญ่ยังคงประจักษ์สู่สายตา รอบตัวพวกเขามีตระกูลผู้ฝึกตนนับหมื่นนั่งอยู่กันแน่นขนัด ขณะที่บนสังเวียนขนาดใหญ่โตเป็นหมื่นๆ ตารางเมตรมีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น
ราวกับมีสายลมไร้สุรเสียงโฉบผ่านทั้งสนาม สายตาทุกคนล้วนจับจ้องไปที่พวกเขาทั้งสอง
การประชันกันระหว่างอันดับหนึ่งโดยปกติจะใช้เวลาสี่ถึงห้าชั่วโมงเห็นจะได้ แต่ว่าในปีนี้มีสัตว์ประหลาดโผล่มาถึงสองคน ทำให้การต่อสู้ทั้งหมดสิ้นสุดลงภายในระยะเวลาหนึ่งชั่วโมง! นี่ยังเป็นเวลาที่รวมเวลาพักผ่อนเข้าไปแล้วอีก!
แต่ทุกคนในที่แห่งนี้กลับไม่รู้สึกเบื่อหน่ายเพียงเพราะเวลาในการประลองของปีนี้ค่อนข้างสั้น! ต่อให้การต่อสู้ของแกะจะดุเดือดแค่ไหนมันก็แค่การเอาเขาวิ่งชนกัน แต่สิ่งที่พวกเขาอยากเห็นก็คือศึกราชสีห์ชิงอำนาจที่แท้จริงต่างหาก! การต่อสู้ระหว่างยอดฝีมือที่แท้จริง!
“พี่สาม” ตอนนี้ ผู้เฒ่าในชุดคลุมยาวดูเรียบร้อยคนหนึ่งกำลังมองดูบนสังเวียนพลางโบกพัดเอื่อยเฉื่อย แต่คำพูดกลับเด็ดเดี่ยวแน่นแน่ “ไม้ซางหยางหางไหม้ชิ้นนั้นของพวกเราคิดเป็นหินวิญญาณระดับสูงได้กี่ก้อน?”
บนหน้าอกของเขามีตราประจำตระกูลรูปใบไม้อยู่ โดยมีคำว่า “จ้าว” ปักทับอยู่อย่างแวววาว
ไม้ชิ้นนั้นเป็นสมบัติชิ้นใหญ่ของตระกูลจ้าวแห่งนครเฟิงอี้ แต่ตอนนี้เขากลับงัดมันออกมาอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย!
“ตีเป็นหินวิญญาณได้ห้าสิบก้อน!” คนในตระกูลจ้าวเจ็ดสิบคน ไม่มีใครคัดค้านคำถามนี้แม้แต่คนเดียว คนที่ถูกเรียกว่าพี่สาม คือผู้ชายวัยกลางคนหน้าตาธรรมดาคนหนึ่ง ซึ่งตอนนี้เขากำลังโค้งคำนับอยู่อย่างเคร่งขรึม “ถ้าสู้กับราคาที่สามองค์กรใหญ่เสนอไม่ได้ ฉันยังมีวัตถุเวทมนตร์ระดับสูงอีกหนึ่งชิ้นที่พร้อมจะเดิมพันไปพร้อมกับผู้นำตระกูล”
“ทุกคนต่างกังวลที่จะต่อรองกับสามองค์กรใหญ่ แต่ตระกูลเมิงแห่งนครเฟิงอี้อย่างพวกเราไม่กลัว” อีกด้านหนึ่ง ผู้หญิงอายุราวสี่สิบกว่าปีคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเสียงขรึม “นำทรัพย์สินถาวรคิดเป็นมูลค่าปัจจุบันให้หมด การฝึกตนก็เหมือนกลับพายเรือทวนกระแสน้ำ หากตระกูลไม่เติบโตก็ขอแค่รักษาทุนเดิมไว้ให้ได้เป็นพอ!”
แววตาของเธอวาวประกาย “ของบางอย่างสามารถปล่อยผ่านได้… แต่ของบางอย่างไม่อาจปล่อยผ่านได้!”
“ตึก…” ท่ามกลางเสียงพูดคุยงึมงำทั่วทั้งสนาม ตอนนี้เงาร่างของสวีหยางอี้ที่ห่างออกมาร่วมร้อยเมตรได้ย่ำเดินด้วยรองเท้าคอมแบทลงบนพื้นหินหยกที่เรียงกันอย่างเป็นระเบียบ ความรู้สึกของพวกเขาเหมือนกำลังย่ำเดินอยู่บนทะเลทราย เหมือนกำลังปีนผาอยู่บนหน้าผา เปลวไฟอันเร่าร้อนภายในใจกระตุ้นให้เขากำหมัดแน่น
“ตึก… ตึก…” เสียงฝีเท้าไม่ช้าไม่เร็วเดินไปหาคนที่อยู่ตรงข้าม ย่างก้าวเนิบนาบสบายอารมณ์ ให้ความรู้สึกเหมือนจอมยุทธ์จากแดนไกลสะพายกระบี่งดงามวาววาบทอดเท้าย่างเดินอยู่กลางสายฝนยามราตรี
คนผู้นั้นยังคงสาวเท้าทอดเดิน ความท้าทายหมายต่อสู้ไร้สรรพเสียงปกคลุมทั่วสังเวียน ประหนึ่งเปลวไฟคุโชนแต่ไร้เสียงสันดาป
“ในที่สุด นายก็มาจนได้” เสียงของฉู่เจาหนานฟังดูพร่าแทบเล็กน้อย เขาเตรียมตัวมานานแสนนานก็เพื่อช่วงเวลานี้
หนึ่งในใต้หล้า มีเพียงคนเดียวที่จะได้เป็นหนึ่ง!
และคนๆ นั้น ต้องเป็นเขาเท่านั้น!
“ฉันมาแล้ว” สวีหยางอี้พยักหน้าพลางจ้องมองอีกฝ่ายอย่างเอาจริง “นายเป็นคู่ต่อสู้ที่คู่ควรที่ฉันจะทุ่มอย่างสุดกำลัง”
ในตอนนี้ ณ แท่นที่นั่งหรูหราด้านบน สายตาของหั่วหยุนกับอิ่งซาไม่ละออกจากพวกเขาไปแม้แต่น้อย
“ได้เวลาแล้ว…” เสียงแหบพร่าของอิ่งซาดังกึ่งก้องทั่วสนาม ทั้งนุ่มนวล นิ่งสงบ แต่เปี่ยมด้วยความกดดันน่าเกรงขาม
มือข้างหนึ่งของเขายกสูงขึ้นพร้อมกับกวาดมองทุกคน
ผู้คนนับหมื่นเงียบกริบในบัดดล
ไร้ซึ่งสายลมแผ่ว แต่กลับได้ยินเสียงลมหายใจ
ไร้ซึ่งสายฝน แต่กลับรู้สึกถึงเหงื่อเย็นจากฝ่ามือ
แววตาของผู้ฝึกตนระดับกลางและระดับปลายทั้งหลายต่างเร่าร้อนขึ้น ส่วนผู้ฝึกตนระดับต้นกลับรอลุ้นอยู่ภายในใจประหนึ่งคันศรที่รอพุ่งออกจากคันธนู
“ศึกของผู้ชนะแห่งมณฑลหนานทง…”
เสียงก้องกังวานของหั่วหยุนดังสะท้อนทั่วทั้งสนาม
“ซูด…” ติงเซียงมองไปบนสังเวียนพลางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก ก่อนผนึกริมฝีปากสนิท นานเหลือเกิน… นานเหลือเกินที่ไม่ได้เห็นการต่อสู้ของผู้ฝึกตนขั้นเลี่ยนชี่แบบนี้ ทั้งสองที่อยู่ในระดับต้น… ราวกับจุติมาจากครรภ์ปีศาจ! ราวกับเป็นตัวสัตว์ประหลาดที่เกิดมาเพื่อฆ่ากันเอง!
การปะทะกันระหว่างสัตว์ประหลาดกับสัตว์ประหลาด ระหว่างยอดมนุษย์กับยอดมนุษย์ ท้ายที่สุด ใครจะเป็นหนึ่งเดียวในใต้หล้า เธอทั้งไม่รู้และไม่อยากคาดเดา แต่ว่า… เมื่อครู่เธอเพิ่งจะติดต่อไปที่สาขาย่อยของ CSIB ประจำมณฑลไปอย่างเร่งด่วน และคำตอบที่ได้มาก็คือ…
จะต้องคว้าตัวมาให้ได้!
“สวีหยางอี้จากนครอวี้หยางเจอกับฉู่เจาหนานจากนครเทียนเฟิง”
ฝูหรงที่อยู่ข้างๆ มีสีหน้าที่จริงจังเช่นกัน ตั้งแต่เริ่มแรก พอรู้ว่าอีกฝ่ายฆ่าปีศาจบ้าคลั่งได้ เหตุการณ์แย่งคนบนเครื่องบินจึงเกิดขึ้น เช่นเดียวกับติงเซียง เธอไม่คิดไม่ฝันว่าคนที่ตัวเองต้องการแย่งมานั้นจะเป็นคนที่มีคุณสมบัติสูงส่งปานนี้!
แม้ไม่อาจเทียบเท่าเมี่ยรื่อ ก็ไม่มีทางปล่อยไปเด็ดขาด!
องค์กรอวี้เว่ยหลินต้องการอัจฉริยะแบบนี้เหลือเกิน… ไม่สิ! ต้องบอกว่าอัจฉริยะแบบนี้มีที่ไหนไม่อยากได้บ้าง? ไม่เห็นตระกูลผู้ฝึกตนพวกนั้นเหรอ? ไม่ว่าจะเป็นตระกูลเล็กหรือใหญ่ ทั้งๆ ที่รู้ว่าสามองค์กรใหญ่ต้องการทั้งสองคนนี้ขนาดนี้ พวกเขาก็ยังจ้องตาเป็นมันอยู่อีก
“เริ่มได้!”
ครั้นประโยคดังกล่าวดังขึ้น ก็ถึงเวลาอันสมควร
ทันใดนั้น ตัวหนังสือคำว่าหนึ่งในใต้หล้าส่องแสงสีขาวเป็นลำสายเรืองรองออกมา ราวกับสายม่านพลังปราณที่ค่อยๆ ทิ้งตัวลงมาจากกลางอากาศอย่างอ้อยอิ่ง
คล้ายสายควัน เหมือนสายหมอก คล้ายสายหมอก เหมือนละอองฝุ่น อณูแสงสีขาวเนียนละเอียดแทรกซึมอยู่กลางสายหมอกสีขาวระยิบระยับ สะท้อนความสวยงามจับใจ
ราวกับแสงแดดเรืองรองส่องลอดผ่านม่านหมอกควันไอเย็นในเหมันต์ฤดูที่ลอยคว้างอยู่กลางอากาศ
อนุภาคเล็กน้อยกระจิดริดหล่อหลอมประกอบเป็นกำแพงสีขาวกั้นเสียงที่โอบล้อมทั้งสี่ด้านของสังเวียน
“นี่เป็นคาถาอาคมที่จินตันเจินเหรินร่ายทิ้งเอาไว้ มันสามารถต้านทานการโจมตีของขั้นจู้จีที่สมบูรณ์ได้ถึงสามครั้ง”
คำพูดประโยคดังกล่าวดังกึกก้องขึ้นทั่วสนาม แทบจะในเวลาเดียวกัน ทั้งสองเริ่มเคลื่อนไหว เสียงลมแผดคำรามประหนึ่งรถไฟความเร็วสูงสองขบวนพุ่งเข้าปะทะกันอย่างฉับพลัน!
ฉู่เทียนอีที่นั่งอยู่บริเวณที่นั่งทรงคุณวุฒิหรี่ตาลง ส่วนฟางถานเซิงที่อยู่ข้างๆ ก็กำที่รองแขนบนเก้าอี้แน่น
ไม่มีคนส่งเสียงโหวกเหวก ไม่มีคนส่งเสียงร้องตกตะลึง ไม่มีเสียงตะโกนเชียร์ พวกเขาเห็นเพียงเงาร่างสองร่างที่ดูไม่ย่อท้อพุ่งเข้าปะทะอีกฝ่ายดุจสายฟ้า!
ไม่มีถอยหลัง ไม่มีหลบหนี นี่เป็นการปะทะวัดพลังกันซึ่งๆ หน้าอย่างแท้จริง!
“เปรี้ยง!” หมัดของทั้งสองคนต่างจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง ครั้งนี้หมัดของพวกเขาที่ห่อหุ้มพลังปราณสีขาวเอาไว้พุ่งเข้าปะทะกันทันที!
——————————————————————————–
[1] 狗尾续貂 เป็นคำพังเพยหมายถึงการนำของไม่ดีมาแซมกับของดี