ยุทธเวทผลาญปีศาจ - เล่มที่ 2 บทที่ 40 ศึกราชสีห์ชิงอำนาจ (5)
สวีหยางอี้ไม่เอ่ยคำใด กล้ามทั่วร่างกายของเขาตื่นตัวขึ้นทันที!
เลือดอุ่นผ่าวไหลเวียนอยู่ในเส้นเลือด หัวใจเต้นระส่ำรุนแรงในทรวงอก
บิดเอว เกร็งหน้าท้อง พละกำลังทั้งหมดของตัวเองรวมอยู่ที่หมัดก่อนซัดโจมตีออกไป!
“ตู้ม!” หมัดของทั้งสองที่อยู่ห่างกันเพียงคืบปะทะกันอย่างจัง ต่างฝ่ายต่างมองเห็นประกายไฟที่เต้นพลิ้วไหวอยู่ในดวงตาของอีกฝ่าย
นาทีนี้ ราวกับทุกสรรพรอบข้างอันตรธานหายไป
แต่ละฝ่ายต่างเป็นเงาที่ร่างเคลื่อนไหวเพียงหนึ่งเดียวในดวงตาของตัวเอง
หอบพลังราวกับคลื่นสมุทรกระเพื่อมผ่านหมัดของสวีหยางอี้เข้ามา นั่นเป็นแรงซัดของฉู่เจาหนาน เขารับรู้ขึ้นมาทันทีว่าตัวเองแข็งแกร่งกว่าอีกฝ่าย!
ขบฟันเบาๆ กล้ามเนื้อทั้งร่างเกร็งกระชับอยู่ในท่วงท่าที่ดีที่สุด จากนั้นหมัดซ้ายก็ซัดออกไปอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง
ไร้ท่วงท่าอันงามสง่า ไร้กลเม็ดอันแพรวพราว เป็นเพียงการปะทะด้วยพลังกันอย่างซึ่งๆ หน้า!
ความเร็วของฉู่เจาหนานก็รวดเร็วใช้ได้เหมือนกัน ขณะที่หมัดซ้ายของสวีหยางอี้ซัดออกไป หมัดขวาของเขาก็สวนเข้ามาปะทะทันที!
หมัดทั้งสองยังไม่ทันปะทะกัน สวีหยางอี้เปลี่ยนเป็นคลายมือออกหมายบีบคออีกฝ่ายเอาไว้ ฉู่เจาหนานก็ตอบโต้แทบจะในเวลาเดียวกัน เปลี่ยนวิถีหมัดหมายต่อยเข้าขมับอีกฝ่าย
ช่วงวินาทีที่จะเข้าปะทะ ทั้งสองฝ่ายต่างชักมือกลับมาอย่างฉับไว เพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายทำร้ายจุดนั้นได้
เหมือนกับร่างกายตอบสนองเองอย่างอัตโนมัติ เท้าขวาของสวีหยางอี้ที่ใช้เตะอันดับหนึ่งคนก่อนจนกระเด็น ตอนนี้ได้เตะพุ่งออกไป กระแสลมปะปนเศษหินจากพื้นที่เกิดจากแรงเตะพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายทันที รวดเร็วเสียจนได้ยินเสียงแหวกอากาศ!
ในเวลาเดียวกัน ฉู่เจาหนานชักแขนกลับมาตั้งรับ ก่อนยกขาขวาขึ้นและแทงเข่าเข้าไปที่ข้างเอวสวีหยางอี้อย่างรุนแรง
“ปึ้งๆๆๆ!” ท่ามกลางม่านพลังปราณป้องกัน เงาร่างทั้งสองโฉบผ่านแวบวับอย่างรวดเร็ว มีเพียงผู้ฝึกตนขั้นเลี่ยนชี่ระดับปลายขึ้นไปเท่านั้นที่มองตามการเคลื่อนไหวของพวกเขาทัน ส่วนผู้ฝึกตนขั้นเลี่ยนชี่ระดับกลาง และคนธรรมดาจากหลากหลายตระกูลและองค์กรต่างๆ ได้แต่เหลือกตาจ้องมองเงาร่างพรึบพรับส่งเสียงกระแทกดังอุดอู้ออกมาอย่างไม่ขาดสาย
เสียงหวีดจากการเสียดอากาศดังขึ้นรอบๆ ทั้งสองคน หมัดทุกหมัด ลูกเตะทุกลูกล้วนปราศจากพลังปราณ ทั้งสองต่อสู้ทางร่างกายแบบดั้งเดิมราวกับนัดหมายกันมาก็ไม่ปาน เสียงหมัดกระทบเนื้อดังแล่นเข้ามาในโสตอย่างไม่หยุดหย่อน ทว่ากลับไม่มีฝ่ายใดถอยหลังกลับแม้แต่ครึ่งก้าว!
ผู้ฝึกตนขั้นเลี่ยนชี่ระดับต้นคนหนึ่ง อดกลืนน้ำลายดัง “อึก…” ไม่ได้
เร็ว… รวดเร็วยิ่ง! เร็วเสียจนขั้นเลี่ยนชี่จะดับต้นอย่างเขามองตามไม่ทัน!
นี่เป็นสัตว์ประหลาดที่เทียนเต้าเลี้ยงดูมางั้นเหรอ?
นี่เป็นพลังที่ผู้ชนะระดับมณฑลควรจะมีงั้นเหรอ?
ไม่ไกลนัก วัยรุ่นคนหนึ่งที่เพิ่งจะเข้าสู่โลกผู้ฝึกตนได้ไม่นานกำลังอ้าปากกว้างเบิกตาจ้องมองอยู่ เขามองตามไม่ทันตั้งแต่แรก เขาเพียงมองเห็นเงาวิบไหวที่เหมือนกับหมัดและขาของทั้งสองที่สวนกันไปมา
“นี่ยังถือว่าอยู่ในขั้นเลี่ยนชี่ระดับต้นจริงๆ เหรอ?”
เสียง “ฟุบ” ดังขึ้น ในที่สุดเงาร่างทั้งสองก็แยกออกจากกัน
สวีหยางอี้ใช้นิ้วหัวแม่มือเช็ดคราบไหลที่มุมปากของตัวเอง
เมื่อครู่ เขาถูกเตะไปสามครั้ง และถูกต่อยไปสิบครั้ง ทว่าอีกฝ่ายกลับยิ่งกว่า!
ฉู่เจาหนานหายใจกระหืดกระหอบพลางเลียคราบเลือดที่มุมปาก เขารู้ดีว่าตัวเองโจมตีโดนอีกฝ่ายกี่ครั้ง และยิ่งรู้ดีว่าอีกฝ่ายโจมตีโดนตัวเองกี่ครั้ง
ถูกเตะเจ็ดครั้ง ถูกต่อยอีกยี่สิบห้าครั้ง!
ตอนนี้เขารู้สึกเจ็บระบมไปทั่วตัว!
“นายแข็งแกร่งมาก…” สวีหยางอี้ถุยน้ำลายปนเลือดออกมา ก่อนชี้นิ้วขึ้น “ใช้ปืนสิ”
“นายถูกฉันโจมตีใส่ยังไม่หนำใจอีกเหรอ”
สัตว์ประหลาดชัดๆ!
ฉู่เจาหนานกัดฟันแน่น เขามั่นใจในความแข็งแกร่งของร่างกายตัวเองมาก แต่นึกไม่ถึงว่าจะเจอสัตว์ประหลาดในคราบมนุษย์ที่นี่!
พอนึกถึงพละกำลังราวกับมังกรคลั่งเมื่อครู่ ฉู่เจาหนานก็เชื่อข่าวลือก่อนนี้ขึ้นมาทันที ข่าวลือที่ว่าคนๆ นี้เป็นคนฆ่าพวกบ้าคลั่ง ไม่มีทางเป็นเรื่องหลอกลวงแน่นอน!
ตัวเขาเองก็ไม่ต่างอะไรพวกบ้าคลั่งตัวหนึ่งเช่นกัน!
สวีหยางอี้หยุดนิ่ง ฉู่เจาหนานหลับตาลงพลันนิ่งลงเช่นกัน ผ่านไปราวสิบวินาที เขาจึงลืมตาทั้งสองข้างขึ้นมา
ความเงียบสงบนี้แฝงด้วยความเยือกเย็นและไฟกระหายในการต่อสู้
และแล้ว มือของเขาก็เลื่อนไปจับปืนที่เหน็บอยู่ข้างเอวเป็นครั้งแรก
“กริ๊ก…” เสียงปลดกระดุมดังแผ่ว แต่เหมือนแว่วไปถึงหูทุกคน
ครั้นเสียงนี้ดังขึ้น ในเวลาเดียวกัน เสียงปรบมืออันเบาบางหนึ่งครั้ง แต่กลับได้ยินชัดเจนก็ดังขึ้นทั่วทั้งสนามเช่นกัน
ซึ่งมาจากอิ่งซา
เสียงปรบมือนี้เหมือนกับปลุกเร้าทุกคน ต่อจากนั้น เสียงปรบมือเปาะแปะครั้งที่สอง ครั้งที่สามก็ทยอยดังขึ้น… จนกลายเป็นเสียงปรบมือนับหมื่น
เสียงปรบมือ “เปาะแปะ!” ดังเซ็งแซ่ทั่วทั้งสนาม!
“เยี่ยม! เยี่ยมที่สุด! เมื่อครู่ ฉันมองตามไม่ทันเลย!” วัยรุ่นขั้นเลี่ยนชี่ระดับต้นคนหนึ่งตะเบ็งเสียงตะโกนอย่างเร้าใจจนหน้าแดงกร่ำ “พวกเขาโคตรเก่งเลย!”
เสียงตะโกนยังไม่ทันสิ้นสุดลง อยู่ๆ ก็ถูกรุ่นพี่ที่อยู่ข้างๆ เอามือมาปิดปากทันที จากนั้นน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยความชื่นชมก็ดังขึ้นข้างๆ หูเขา “แบบนี้สิ ถึงจะเป็นการต่อสู้เพื่อชิงจุดสูงสุดที่แท้จริง…”
“แต่ไหนแต่ไรมา วีรบุรุษมักจะถือกำเนิดจากวัยรุ่นหนุ่มสาว…” ผู้ฝึกตนขั้นเลี่ยนชี่ระดับกลางคนหนึ่งปรบมือด้วยความปลื้มปิติ แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าจะสามารถเอาชนะขั้นเลี่ยนชี่ระดับต้นอย่างพวกเขาทั้งสองได้หรือไม่
“คลื่นลูกใหม่มักจะซัดคลื่นลูกก่อนหน้า…” ผู้ฝึกคนขั้นเลี่ยนชี่ระดับปลายคนหนึ่งปรบมือระรัวอย่างเอาไปเอาตาย พร้อมกับส่ายหน้าไม่หยุด
เสียงปรบมือ “เปาะแปะ…” ดังต่อเนื่องไม่ขาดสาย โหมกระพือรวมกันเป็นคลื่นเสียงที่แผ่ซ่านไปทั่วสนามประลองหนึ่งในใต้หล้า
แต่ภายในใจของคนที่อยู่บนสังเวียนกลับไม่รู้สึกหลงระเริงกับเสียงปรบมือเหล่านี้แม้แต่น้อย
ตัวของฉู่เจาหนานโน้มไปข้างหน้าเล็กน้อยราวกับสัตว์ร้ายจ้องตะครุบเหยื่อ สายตาจ้องเขม็งไปยังสวีหยางอี้ มือที่เอื้อมไปข้างๆ เอวค่อยๆ ชักปืนออกมา ปืนกระบอกนั้นทีไม่เคยแตะต้องมาก่อน
ปืนกระบอกนี้ยาวประมาณหนึ่งฟุต ดูไม่แตกต่างจากปืนทั่วไปเท่าไรนัก เพียงแต่มีอักขระสีฟ้าตามกระบอกที่ชวนให้รู้สึกถึงเสียงเพรียกพร้องจากความตาย
สวีหยางอี้ยังไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร แต่เส้นผมทุกเส้น กล้ามเนื้อทุกมัดทั่วร่างกายต่างอยู่ในสภาพตื่นตัวสุดขีด
มาแล้ว… ความรู้สึกคุกคามที่ชวนให้รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นกลางใจ มันมาอีกแล้ว
ราบกับถูกไม้กางเขนแห่งความตายเสียบเข้ากลางอก
สองหมัดกำแน่น ยกขึ้นตั้งระดับสายตา ดวงตาดุจนกเหยี่ยว คอยจ้องมองทุกกิริยาบทของอีกฝ่าย
“ฉันมีลูกกระสุนสามนัด” เสียงของฉู่เจาหนานดังขึ้นท่ามกลางเสียงปรบมือ “ถ้าหลบสามนัดนี้ได้ นายชนะ”
ฉู่เทียนอีที่กำลังมองดูเหตุการณ์ใช้มือซ้ายแตะบนแหวนที่นิ้วมือข้างขวา
ข้างในแหวนมีสารสกัดเข้มข้นของเหล้าแห่งเซียนอยู่หนึ่งหยด
เพียงเขากดลงบนแหวน ของเหลวเพียงแค่หนึ่งหยดนี้ก็สามารถทำให้อีกฝ่ายล้มลงได้
แต่ว่า เขาไม่อยากทำแบบนี้ ถ้าหากฉู่เจาหนานคว้าชัยชนะมาได้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีนี้
แต่ถ้าหากไม่ได้ล่ะ…
สีหน้าของเขานิ่งสงบไม่สั่นไหว
เสียงปรบมือทั่วทั้งสนามแผ่วเบาลงเป็นที่เรียบร้อย เหล่าผู้นำตระกูลทั้งหลายต่างพากันยกมือห้ามปรามไม่ให้คนในตระกูลส่งเสียงปรบมือ เพราะพวกเขาไม่ต้องการให้มีอะไรมารบกวนการต่อสู้อันดุเดือดรอบนี้
ไม่ว่าใครก็ดูออกว่าเมื่อครู่เป็นเพียงการหยั่งเชิง ต่อจากนี้สิ ถึงจะเป็นของจริง
ฉู่เจาหนานมองพินิจผู้ชายที่อยู่เบื้องหน้า พร้อมกับใช้มือชักด้ามปืนขึ้นมาอย่างไม่ลังเล รอยบาดแผลเลือดซิบพลันปรากฏขึ้นบนมือเขาทันที ปืนพิลึกพิศวงกระบอกนี้ราวกับได้รับพลังบางอย่าง เพียงเสี้ยววินาทีนั้น พลังกดดันวิญญาณที่ให้เอาผู้ฝึกตนขั้นเลี่ยนชี่ระดับกลางขวัญผวาก็แผ่ซ่านปกคลุมไปทั่วทั้งสนาม!
ในช่วงเวลานี้ แววตาของสวีหยางอี้เคร่งขรึมเหนือสิ่งอื่นใด
“นัดแรก” ฉู่เจาหนานพูดประโยคดังกล่างขึ้นด้วยเสียงอันแผ่วเบา “ฟุบ!” ตัวเขาหายไปในบัดดล!
ตรงที่เดิมของเขาเหลือเพียงฝุ่นควันฟุ้ง อวัยวะรับรู้ความรู้สึกทั่วร่างกายของสวีหยางอี้ตื่นตัวขึ้นทันที ประสาทสัมผัสทั้งห้าที่เฉียบคมขึ้นจากกล่องจิ๋วจับตำแหน่งอีกฝ่ายได้ในทันที!
กลางอากาศ!
เป็นความสูงที่สูงมาก!
ผู้ฝึกตนขั้นเลี่ยนระดับกลางไม่มีทางกระโดดได้สูงขนาดนี้แน่นอน ตอนนี้ ฉู่เจาหนานลอยอยู่เหนือพื้นขึ้นไปอย่างน้อยห้าสิบเมตร! นี่เป็นทักษะทางร่างกายที่เกิดจากพลังของวิชาปืน!
ในเวลาเดียวกัน บังเกิดเสียงประหลาดดังขึ้นทั่วสนาม!
“ซ่า… ซ่า…”
ไม่มีสายลมพัดผ่าน แต่กลับปรากฏเสียงต้นหญ้าจากทุ่งหญ้าลู่ลม!
“นี่มัน… พลังยุทธ์?!” นักเรียนคนหนึ่งส่งเสียงร้องตกใจขึ้นมา พร้อมกับมองกลางอากาศอย่างไม่อยากเชื่อ!
สำหรับเรื่องพลังยุทธ์ วิทยายุทธ์ร้อยท่วงท่าก็ถือเป็นหนึ่งในพลังยุทธ์สากลที่ง่ายที่สุดรูปแบบหนึ่ง โดยยี่สิบกระบวนท่าแรกไม่สามารถฆ่าหรือทำให้ผู้ฝึกตนขั้นเลี่ยนชี่ระดับกลางบาดเจ็บได้
พลังยุทธ์ที่แท้จริงไม่เพียงแต่มีพื้นฐานเหมือนกับวิทยายุทธ์ร้อยท่วงท่า แต่ยังสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงในร่างกายมนุษย์ได้ มันมีพลังมากพอที่จะทำให้พื้นฟ้าอากาศสั่นคลอนได้เลย!
เฉกเช่น… ฉู่เจาหนานในตอนนี้!
“แต่ผู้ฝึกตนขั้นเลี่ยนชี่ระดับกลางขึ้นไปถึงจะสามารถเรียนพลังยุทธ์ได้ไม่ใช่เหรอ?” ตอนนี้ เกาเย่ในสภาพผ้าพันแผลพันอยู่รอบตัวจ้องมองฉู่เจาหนานที่ดูเหมือนกับเทพบุรุษอย่างตกตะลึง ริมฝีปากสั่นระริก “เขาเป็นแค่ระดับต้น! อีกทั้งคนที่ทำการบรรลุตบะก่อนหน้านี้ไม่กี่วันก็ไม่ใช่เขา!”
“แล้วนายคิดว่าสัตว์ประหลาดสองคนนี้ มีใครบ้างที่ฝีมืออ่อนกว่าระดับกลาง?” หลัวซานเฟิงเม้นปากแน่นก่อนสะบัดหน้าพูดขึ้นอย่างจำใจ “เรียนพลังนี้ตอนบรรลุระดับกลาง แต่ดูเหมือนว่าหากคุณสมบัติเทียบเท่าระดับกลางก็สามารถเรียนได้มากกว่า! แม้ฉันจะไม่อยากยอมรับก็ตาม แต่ว่า…”
ดวงตาของเขาสะท้อนประกายไฟแห่งความอิจฉาออกมา เขามองไปที่สังเวียนก่อนกัดฟันพูด “หากทั้งสองคนนี้… ต่อสู้กับระดับกลางทั่วไป พวกนั้นคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา!”
พลังยุทธ์ ในยุคโบราณเรียกว่า… วิชายุทธเวทย์
“ซ่า… ซ่า…” เสียงของทุ่งหญ้าค่อยๆ คืบคล้านไปทั่วทั้งสนาม สวีหยางอี้ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่จ้องมองเงาร่างที่ลอยอยู่กลางอากาศเยี่ยงนกเหยี่ยวอินทรี
เมื่อครู่นี้ อณูปราณพิศวงจำนวนมหาศาลระยิบระยับโอบล้อมอยู่รอบตัวเขา เขาในตอนนี้ดูเหมือนกำลังอยู่บนทุ่งหญ้าอันโล่งกว้างที่มีต้นหญ้าสูงระดับเอว
สวีหยางอี้นิ่งสงบอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ที่แปรเปลี่ยน เขาต้องรู้ให้ได้ว่าท่าไม้ตายของฉู่เจาหนานคืออะไร
ฉู่เจาหนานที่ลอยอยู่กลางอากาศจับปืนด้วยมือทั้งสองข้างอย่างเคร่งขรึม เขาสูดลมหายใจเขาลึกๆ หนึ่งเฮือก “สายลมพัดผ่านผืนป่ายามวิกาล[1]…”
“หวืด!” บนสังเวียนภาคพื้นดิน เกิดสายลมคลั่งปะทุขึ้นรอบตัวสวีหยางอี้
หอบลมคลั่งจากทั้งหญ้ากว้างใหญ่พัดมาถึงแล้ว… ชุดลายพรางของเขาถูกพัดจนแนบเนื้อ โบกกระพือส่งเสียงพรึบพรับ
มองเห็นแล้ว… ดวงตาของเขามองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกลางอากาศแล้ว
มือทั้งสองข้างของฉู่เจาหนานสั่นระริก แขนเสื้อลายพรางฉีกขาด เผยกล้ามเนื้อที่แขนของเขาเด่นชัด ตอนนี้ เส้นเลือดตามแขนของเขาปูดโปนขึ้นมา สีหน้าซีดเผือดเป็นยิ่งนัก ราวกับกำลังแบกรับความเจ็บปวดอย่างมหาศาล
แต่ว่า รูเล็กๆ สีดำสนิทที่จ่อเล็งมาที่ตัวเองกลับทำให้เขารู้สึกกดดันถึงขีดสุด!
“ตุบ… ตุบ…” การเผชิญหน้ากับแรงกดดันมหาศาล ทำให้หัวใจของเขาเต้นเร็ว ปฏิกิริยาตอบสนองทั่วร่างกายตื่นตัว เลือดในเส้นเลือดเดือดดานพลุ่งพล่าน
“กำลังบอกให้ฉันหนีไปงั้นเหรอ?” ดวงตาของเขาฉายแววเยือกเย็น หลังจากประสาทสัมผัสทั้งห้ากล้าแกร่งขึ้น ผู้ฝึกตนมักจะรับรู้ถึงภัยคุกคามได้เฉียบคมขึ้น แต่ว่าตอนนี้ เขากลับพยายามข่มหัวใจที่เต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง ประคองความคิดที่ไหลแล่นของตัวเอง และหยั่งเท้ายืนอยู่ตรงที่เดิมไม่ขยับ
เขาต้องการปะทะกับการโจมตีนี้!
“เกาทัณฑ์แห่งทหารรัตติกาลพวยพุ่ง[2]…” เสียงพร่าแหบดังขึ้นกลางอากาศ สวีหยางอี้ฟังออก นี่เป็นบทกลอนโบราณที่เคยได้ยิน แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขาที่อยู่ภายใต้สถานการณ์ที่อันตรายและกดดันถึงขัดสุดขนาดนี้กลับมีความรู้สึกนิ่งสงบอย่างพิศวง
——————————————————————————–
[1] 林暗草惊风 สายลมพัดผ่านพื้นป่ายามรัตติกาล เป็นบทกลอนวรรคแรกที่แต่งโดยหลู่หลุน นักกวีชาวจีนสมัราชวงศ์ถัง โดยบทกลอนฉบับเต็มได้บรรยายถึงบรรยากาศการออกล่าตระเวนของทหารเวรดึก
[2] 将军夜引弓เกาทัณฑ์แห่งทหารรัตติกาลพวยพุ่ง เป็นบทกลอนวรรคที่สองที่แต่งโดยหลู่หลุน