ยุทธเวทผลาญปีศาจ - เล่มที่ 2 บทที่ 45 ผู้ใดได้ไปครอง (2)
ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่บนสังเวียน บริเวณด้านนอกกลับยุติศึกแย่งชิงผู้ชนะลงชั่วคราว เนื่องจากการเข้าร่วมในศึกแย่งชิงผู้ชนะกับรุ่นพี่อาวุโสขั้นจู้จีและจินตันเจินเหรินไม่ใช่เรื่องง่าย ตัวเองแทบไม่มีอะไรไปเทียบกับอีกฝ่ายได้เลย หากยังไม่ตระหนักจุดยืนของตัวเองให้ชัดเจน หากยังหารางวัลมาดึงดูดผู้ชนะไม่ได้ เกรงว่าตระกูลเล็กๆ คงไม่อาจเข้าร่วมศึกแย่งผู้ชนะอันดุเดือดอีกระลอกได้เป็นแน่
“ปั่กๆๆ…” หลายตระกูลต่างพากันเคาะแป้นพิมพ์ดังระงมไม่ขาดสาย
“ฉันเพิ่งมารู้สึกดีใจที่ได้เกิดมาในยุคอารยธรรมแห่งการฝึกตนก็ตอนนี้…” หญิงชราคนหนึ่งสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก สีหน้าแดงซ่าน เนินอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง เธอพูดขึ้นด้วยเสียงสั่นคลอน “ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ พวกเราคงไม่กล้าไปสู้กับองค์กรใหญ่ๆ พวกนั้น แต่ตอนนี้ เนื่องจากอารยธรรมทางสังคมกำลังวิวัฒนาการ การบำเพ็ญเพียรฝึกตนและอารยธรรมหลายฟันปีก็กำลังหลอมรวมเข้าหากัน ด้วยเหตุนี้พวกเราถึงได้มีโอกาสอันน้อยนิดนี้…”
เมื่อพูดจบ เธอก็เบิกตาขึ้นทันที น้ำเสียงพร่าแหบจากความตื่นเต้น “ได้ค่าประเมินของสวีหยางอี้หรือยัง! ตระกูลซ่งแห่งเมืองอวี้หยางของพวกเราปล่อยโอกาสนี้หลุดมือไปไม่ได้!”
ใช่แล้ว ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว กฎหมายพรรค์นี้ ไม่ใช่แค่คนธรรมดาจะต้องรู้ แต่ผู้ฝึกตนขั้นเลี่ยนและขั้นจู้จีก็ต้องรู้ด้วย แม้กระทั่งจินตันเจินเหรินก็ต้องรู้และปฏิบัติตามด้วยเช่นกัน
จริงอยู่ที่กฎหมายเป็นเครื่องมือที่กลุ่มผู้ทรงอิทธิพลระดับสูงกำหนดขึ้น แต่ถ้าผู้ทรงอิทธิพลไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบเสียเอง แบบนั้นมันคงไม่ใช่กฎระเบียบอีกต่อไป แล้วถ้าเกิดระบบโครงสร้างของโลกล่มสลายขึ้นมา แบบนี้คงเป็นเรื่องที่จินตันเจินเหรินหลายสิบคนทั่วทั้งโลกรับผิดชอบไม่ไหว!
ขณะที่เหล่าจินตันเจินเหรินบำเพ็ญเพียรฝึกตนกันอย่างสบายใจ แล้วเรื่องทรัพยากรกับกำลังคนล่ะ ใครเป็นคนจัดการ?
เหล่าจินตันเจินเหรินยังต้องบริหารจัดการสิ่งเหล่านี้ด้วยตัวเองอีกเหรอ?
“ได้ข้อสรุปแล้วค่ะ!” อีกด้านหนึ่ง ผู้หญิงในชุดสูทผู้ชายหลายสิบคนกำลังนั่งเคาะแป้นพิมพ์กันอย่างเอาเป็นเอาตาย “อ้างอิงจากพลังปราณช่วงวินาทีสุดท้าย จากผลการวิเคราะห์ กำลังหมัดครั้งสุดท้ายของคุณสวีสูงถึง 3800 กิโลกรัม! ความเร็วสูงถึง 80 เมตรต่อวินาที! ท่านผู้นำตระกูลคะ!”
ผู้ชายผมขาวที่ถูกเรียกว่าท่านผู้นำตระกูลปิดปากเงียบ นิ้วมือขาวซีดทั้งสิบประสานกันอยู่ด้านหน้า
นั่นเป็น… ตัวเลขข้อมูลของขั้นเลี่ยนชี่ระดับกลาง!
ยิ่งไปกว่านั้นยังเกินกว่าค่าตัวเลขของขั้นเลี่ยนชี่ระดับกลางทั่วไปเล็กน้อย!
“เตรียมตัวได้…” ชายผู้นั้นเผยอปากสั่นระริก เอ่ยด้วยเสียงแหบพร่าพลางลุกขึ้น “ครั้งนี้ ไม่ว่าอย่างไร พวกเราต้องเข้าร่วมศึกแย่งชิงผู้ชนะให้ได้!”
ท่ามกลางฝูงคน มีเพียงใบหน้าของฉู่เทียนอีที่เจือรอยยิ้มอันเยือกเย็น
ผู้ฝึกตนคงไม่มีเวลาไปบริหารจัดการคนมากมายขนาดนั้น พวกเขาจัดเป็นปัญญาชนที่แยกตัวออกมาจาก “มนุษย์ธรรมดา” แม้คำพูดที่จู๋เยว่พูดก่อนหน้านี้จะฟังดูน่าดึงดูดถึงขั้นที่อาจจะทำให้สวีหยางอี้คล้อยตาม แต่ว่าจู๋เยว่กลับลืมความสามารถของพวกมนุษย์ธรรมดาไปสนิท!
บางทีจู๋เยว่อาจคิดแค่ว่าสวีหยางอี้จะต้องไปอยู่กับตัวเองแน่ๆ เพราะไหนเขาจะต้องศึกษาคัมภีร์ยุทธเวทนี้อีก ไหนจะต้องพบเจออุปสรรคด่านทัณฑ์ระหว่างฝึกตน ในเมื่อได้ครอบครองคัมภีร์ของทางสำนักเราไป แต่ไม่ไปฝึกฝนกับทางสำนักที่เป็นเจ้าของ แล้วมันจะได้อะไร? ทว่า…
ทว่า! เมื่อจู๋เยว่พูดขึ้นเช่นนี้ ทุกคนจึงรู้ว่าชีวิตของสวีหยางอี้ผูกติดอยู่กับคัมภีร์ยุทธเวทแห่งจินตัน! เป็นเหตุให้ตอนนี้เหล่าสำนักองค์กรที่คิดถอดใจไม่ร่วมแย่งชิงผู้ชนะพร้อมทุ่มสุดตัว!
“เจ้าหนู ทางสำนักของท่านฝู่หยุนไม่บังคับให้นายต้องเข้าร่วม แต่ถ้านายต้องเจออุปสรรคต่างๆ นานาตอนฝึกตน แล้วใครจะชี้แนะได้ดีไปกว่าท่านฝู่หยุน? ใช่แล้ว ถึงแม้ท่านฝู่หยุนใช้วิธีเลี้ยงปล่อย แต่ทุกๆ ปีจะมีชั้นเรียนใหญ่หนึ่งครั้ง และตัวท่านจะออกมาสอนและแก้ไขปัญหาในสำนักด้วยตัวเอง!” จู๋เยว่อาศัยจังหวะพูดขึ้น
ฉู่เทียนอีแค่นเสียงหัวเราะแห้งๆ พลางหลับตาลง
ช่างขยันเติมเชื้อเพลิงให้เปลวไฟเสียจริง… ดูเหมือนการศึกแย่งชิงผู้ชนะครั้งนี้จะดุเดือดจนใกล้จะระเบิดเสียแล้ว…
จู๋เยว่ไม่ได้สังเกตแววตาของผู้ฝึกตนคนอื่นๆ เขาคิดเองเออเอง อ้างชื่อท่านฝู่หยุนเจินเหรินขนาดนี้แล้ว ใครหน้าไหนจะกล้ามาแย่ง? นอกเสียจากองค์กรยักษ์ใหญ่พวกนั้น ตัวเขาเองแทบไม่คิดว่าผู้ชนะในปีนี้จะเก่งกาจขนาดนี้ เขานึกพลางรู้สึกชื่นชมการพยากรณ์ล่วงหน้าของท่านฝู่หยุนเจินเหริน
“ยุทธเวทแห่งจินตัน… วิถีแห่งจินตัน…” ด้านล่าง ผู้ชายปักดอกคาเลนดูล่า[1]ที่หน้าอกคนหนึ่งหายใจกระหืดกระหอบพลางกำหมัดแน่น “ตระกูลหลี่แห่งเมืองจาวผิงฟังให้ดี!”
“รับทราบ!” “ท่านรองผู้นำตระกูลได้โปรดกำชับ!”
“ทุ่มหมดหน้าตัก… ต้องแย่งสหายสวีมาให้ได้! เขาต้องการอะไร จงสนองให้เขาทันที!”
“ครับ/ค่ะ!”
“ตระกูลซูแห่งเมืองเทียนเฟิงจงฟังใด้ดี!” ไม่ไกลนัก ผู้ชายตาแดงซ่านคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยเสียงพร่าแหบ “จงอย่าเสียดายทรัพย์สินทั้งหมด… ต่อให้ต้องควักมรดกเก่าแก่ของตระกูลซูออกมาทั้งหมดก็จะต้องแย่งคนคนนี้มาให้ได้!”
“หากคว้าตัวเขามาได้ ก็เท่ากับได้ต้นกล้าของจินตันเจินเหรินมาครอง ตระกูลซูของพวกเราจะได้มีหวังสักที!”
“ตระกูลฟางแห่งเมืองเป้ยเจียงหยวนจงฟัง!” อีกด้านหนึ่ง ผู้ชายวัยยี่สิบต้นๆ คนหนึ่ง โบกมือจ้องมองไปที่กำแพงพลังปราณตาเขม็ง “ไม่ว่าอย่างไร… ครั้งนี้ต้องทุ่มสุดตัว ติดต่อไปยังตระกูลฟางว่าเราจะใช้ทรัพย์สินทั้งหมด! เงินสด! หินวิญญาณ! ทรัพยากร! และอสังหาริมทรัพย์!”
“คุณชาย แต่…”
“ไม่มีแต่ทั้งนั้น!” ชายหนุ่มถลึงตามองทุกคน ลมหายใจกระฟัดกระเฟียดดั่งวัว “เอาไว้กลับไป ฉันจะรายงานท่านผู้นำตระกูลด้วยตัวเอง!”
บรรยากาศตอนนี้กลายเป็นเหมือนคลื่นไร้เสียงใต้สมุทรไปแล้ว อีกไม่นาน…คลื่นยักษ์กำลังจะมาเยือน!
แม้กระทั่งลมหายของทุกคนยังไหลเวียนเป็นกระแสเดียวกันจนกลายเป็นสายธารร้อนระอุ
เดิมที… สวีหยางอี้เพียงคนเดียว พวกเขาก็จ้องอยากได้จนตาแทบถลน และตอนนี้… คนๆ นี้ยังมาพร้อมกับคัมภีร์ยุทธเวทขั้นจินตันอีก?!
บ้าบอสิ้นดี!
หากไม่แย่งคนแบบนี้มาตอนนี้ แล้วจะรอแย่งมาตอนไหน?!
บางทีฝู่หยุนเจินเหรินเองอาจคิดไม่ถึงว่าผู้ชนะที่ได้ครอบครองคัมภีร์ยุทธเวทเล่มนี้จะเก่งกาจขนาดนี้
แต่ไม่ว่าผู้ใดได้เป็นผู้ชนะ ผู้นั้นก็ต้องไปอยู่เรียนรู้กับฝู่หยุนเจินเหรินอยู่ดี เท่ากับว่าผู้ชนะได้ตกเป็นของเขาตั้งแต่แรกแล้ว
ทว่า จู๋เยว่กลับปากสว่างพูดเรื่องที่ไม่ควรออกไป ทำให้ทุกคนล่วงรู้ว่ารางวัลครั้งนี้คืออะไร เผยให้เห็นช่องโหว่ในการต่อรองขึ้นมา
หั่วหยุนรู้สึกโมโหจนปากเขียว
เดิมทีคิดว่าตัวเองทำตัวหน้าไม่อายแล้วแท้ๆ แต่นึกไม่ถึงเลยว่า บทที่จินตันเจินเหรินจะทำตัวหน้าไม่อายขึ้นบ้าง จะร้ายกาจจนเทียบไม่ติดแบบนี้!
หากไม่ส่งเสียงคัดค้านก็เท่ากับพ่ายแพ้อยู่ตรงนี้… เขากัดฟันอย่างเจ็บใจ หันกลับหมายจะพูดอะไรบางอย่าง แต่อยู่ๆ บังเกิดเสียงดังแหลมสูงราวกับลูกศรพุ่งทะลุเมฆขึ้น สลัดบรรยากาศอันเงียบงันที่ปกคลุมทิ้งทันที!
“ฉันคือ C-ติงเซียง! เจ้าหน้าที่พิเศษจาก CSIB! เมื่อครู่ได้ติดต่อไปยังหัวหน้าสาขา ได้ความว่า CSIB พร้อมให้ค่าลงนามห้าพันล้านดอลลาร์! หินวิญญาณระดับสูงห้าก้อน อาวุธเวทมนตร์ระดับสูงสำหรับโจมตีหนึ่งชิ้น อาวุธเวทมนตร์ระดับสูงสำหรับป้องกันหนึ่งชิ้น อาวุธเวทมนตร์ระดับสูงสำหรับหลบหนีหนึ่งชิ้น อาวุธเวทมนตร์ระดับสูงด้านคาถาอาคมหนึ่งชิ้น และให้กรรมสิทธิ์ถือครองเหมืองหินวิญญาณขนาดกลางแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งมีแร่ธาตุยากระดับ B สามชนิดอย่างทองคำจันทร์เสี้ยว ผลึกเปลวเพลิงมรกต และศิลาแสงนำโชค ไม่เพียงเท่านี้ คุณจะได้ครอบครองสถานที่ที่มีค่ายกลหลอมปราณระดับสูงหนึ่งแห่งเป็นของตัวเอง ได้สิทธิพิเศษในการขุดโบราณสถาน ได้สิทธิพิเศษจากเก้าองค์อุตสาหกรรมก่อสร้างแห่งชาติ โดยทาง CSIB จะไม่เก็บส่วนแบ่งแม้แต่นิดเดียว!”
“โอ้โห!” ในที่สุดฝูงชนก็แตกตื่น!
สินทรัพย์มูลค่ามหาศาลของ CSIB ทำเอาทั่วทั้งสนามตื่นตะลึง ช่วงนาทีนี้ แม้แต่ผู้ฝึกตนขั้นจู้จีทั้งสี่คนยังหันไปมองอย่างอึ้งตะลึง
“เธอ… เธอเอาจริงเหรอ!” ในที่สุดจู๋เยว่ก็เข้าใจว่าตัวเองทำเรื่องโง่เง่าลงไป ตอน CSIB ยังไม่ลงมือก็งั้นๆ แต่พอลงมือที มูลค่าก็มหาศาลจนน่ากลัว!
“แร่ธาตุระดับ B ทั้งสามชนิดนี้มาพร้อมกับเหมืองหินวิญญาณ… แบบนี้กะจะให้อีกฝ่ายติดอาวุธไปทั้งตัวเลยหรือไง! อาวุธเวทมนตร์ระดับสูงสี่ชิ้น ไหนจะค่ายกหลอมปราณระดับสูงอีก…” หั่วหยุนอดพูดขึ้นไม่ได้ ราคาข้อต่อรองครั้งนี้สูงเกินไป สูงเสียจนเขาไปต่อไม่ถูก!
มูลค่าทรัพย์สินทั้งตัวและตระกูลเขารวมกัน ยังมีค่าไม่สูงขนาดนนี้เลย!
ใช้ทรัพย์สินทั้งตัวของผู้ฝึกตนขั้นจู้จีหนึ่งคนเพื่อแลกมาซึ่งคนคนเดียวเนี่ยนะ!
เดิมที ตัวสวีหยางอี้เองไม่ได้มีค่าตัวที่สูงขนาดนี้ แต่สวีหยางอี้ในตอนนี้ก็เหมือนไปเรียนต่างประเทศกลับมา จึงได้อยู่ในจุดที่เหนือกว่าคนอื่น แต่ถึงกระนั้นในโลกของความเป็นจริง คนที่จบมาจากประเทศก็ไม่ได้ขึ้นเป็นประธานบริษัทเสมอไป เพราะสุดท้ายแล้ว ตำแหน่งนี้ก็ต้องตกไปยังผู้ที่บากบั่นทำงานมาเป็นเวลาหลายสิบปีอยู่ดี
ทว่า… สวีหยางอี้ในตอนนี้ มีคัมภีร์ยุทธเวทขั้นจินตันแถมมาด้วย!
และด้วยคุณสมบัติที่ราวกับปีศาจของเขา ผนวกกับคัมภีร์ยุทธเวทที่สามารถทำให้บรรลุวิถีของจินตันได้!
หากหลังจากนี้ ท่านฝู่หยุนยังไม่คิดลงมือลงแรงสอนสวีหยางอี้ด้วยตัวเองอีก
ไม่เป็นไร! พวกเรา CSIB ก็มีจินตันเจินเหรินประจำอยู่เหมือนกัน! ต่อให้เข้าใจคัมภีร์ลับพรหมเทวสูตรไม่แตกฉานเท่าฝู่หยุนเจินเหรินก็ตาม แต่พวกเขาก็พร้อมจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้สวีหยางอี้บรรลุขั้นจินตัน
คนที่สามารถทำให้ศิลาหินของเมี่ยรื่อสั่นคลอนจนเกิดรอยแตกร้าว คนที่มีแรงระเบิดพลังมากกว่าผู้ฝึกตนขั้นเลี่ยนชี่ระดับกลางทั่วไป ไหนจะคัมภีร์ขั้นจินตันนี่อีก…
อย่าบอกว่าเขาเปรียบดั่งโชคลาภอันหอมหวานเลย! นี่มันโชคลาภอันประเลิศชัดๆ!
“ในนามของตระกูลหวางแห่งเมืองเฟิงอี้! ขอแค่สหายสวีเอ่ยปากแค่คำเดียว นายจะได้เป็นว่าที่ผู้นำตระกูลคนต่อไป! นายสามารถใช้สอยทุกอย่างและสั่งใช้ผู้ฝึกตนขั้นเลี่ยนชี่ระดับต้นทุกคนในตระกูลหวางได้ทั้งหมด!” เมื่อเสียงของติงเซียงสิ้นสุดลง ผู้เฒ่าตาแดงเรื่อคนหนึ่งก็ลุกขึ้นพรวดอย่างไม่ยอมทันที ก่อนขึ้นดังลั่นจนฝุ่นทรายที่พื้นสั่นกระเพื่อม “เจ้าหนู นายลองคิดดูดีๆ จริงอยู่ที่เข้าไปอยู่ในองค์กรใหญ่นั้นเป็นเรื่องดี แต่มีเงื่อนไข กฎระเบียบมากมายรอนายอยู่! นายไม่อยากใช้ชีวิตอย่างอิสระและเป็นตัวของตัวเองงั้นเหรอ?”
“ฮ่าๆๆ … ตาเฒ่าแซ่หวางจอมเจ้าเล่ห์ทำเป็นพูดสวยหรู นั่นเป็นผู้ครอบครองคัมภีร์ลับพรหมเทวสูตรเชียวนะ มังกรทองอย่างสหายสวีเนี่ยนะ จะต้องไปอาศัยอยู่ในถ้ำโกโรโกโส? ผู้ที่เกิดมายิ่งใหญ่ มักสามารถเลือกทางเดินของตัวเองได้” น้ำเสียงของผู้เฒ่าก่อนหน้ายังไม่ทันสิ้นสุดลง หญิงชราหงำเหงือกที่แทบจะเดินไม่ไหวคนหนึ่งก็ยันไม้เท้ยืนขึ้น มือที่แห้งเหี่ยวเหมือนกับตีนไก่สั่นงั่ก “ในที่แห่งนี้ มีตระกูลในมณฑณหนานทงรวมตัวกันอยู่เป็นร้อยตระกูล แต่ละตระกูลมีสมาชิกอยู่อย่างน้อยห้าสิบหกสิบคน มากสุดก็สองร้อยคน ทำให้ผู้คน ณ ที่แห่งนี้มีมากมายนับหมื่น แต่อยู่ๆ นายก็โผล่ขึ้นมา เดิมพันด้วยทรัพย์ในตระกูลทั้งหมด แบบนี้มันจะไม่ข้ามหน้าข้ามตาตระกูลเฉินของฉันไปหน่อยเหรอ”
“สหายสวี ตระกูลเฉินของพวกเราไม่มีอะไรมาก แต่พวกเราเป็นตระกูลหลอมยาที่ใหญ่ที่สุดในมณฑล ถึงแม้ประเภทยาเหลวของตู้มหาสมบัติจะมีหลากหลายกว่า และช่องทางการขายเยอะกว่า แต่นายรู้ไหมว่า ยาเหลวคุณภาพสูงที่แท้จริงเขาไม่ประมูลขายกันตามเว็บไซต์หรอก!”
“ตระกูลเฉินเป็นตระกูลชั้นนำด้านยาแห่งมณฑณล! ขอแค่เซ็นสัญญากับพวกเรา อาจไม่ต้องตลอดชีวิต ขอเพียงแค่หนึ่งร้อยปี นายจะสามารถเลิกยาและสารสกัดทั้งหมดของตระกูลเฉินมาใช้ได้!”
น้ำเสียงของเธอในช่วงท้ายๆ เริ่มพร่าแหบลง “ไม่ว่าจะเป็นยาอะไรที่มีขายอยู่ตามท้องตลาด ตระกูลเฉินของพวกเราก็สามารถปรุงขึ้นมาใหม่ได้! นายถามทุกๆ คนในที่แห่งนี้ดูก็ได้ว่า ยาคุณภาพสูงที่เปิดประมูลประจำมณฑลแต่ละครั้ง มีตัวไหนบ้างที่ไม่ได้ผลิตจากตระกูลเฉิน?”
“ในเมื่อแม่เฒ่าเฉินพูดแบบนี้ งั้นพวกเราตระกูลหวางจากเมืองเฟิงอี้ก็อยากยื่นข้อเสนอบ้าง” คลื่นระลอกแรกยังไม่ทันสงบ อีกระลอกก็ผุดขึ้นแล้ว วัยรุ่นในชุดสูทเรียบหรูคนหนึ่งยืนขึ้น ดวงตาคุวาว ดูท่าทางเผินๆ เหมือนเรียบนิ่งแต่กลับเหงื่อแตกพลั่กเต็มฝ่ามือ “สหายสวี พวกเราตระกูลหวาง ลองถามดูได้ว่าในภูมิภาคตะวันตกที่ครอบคลุมถึงสามมณฑณอย่างมลฑณหนานทง หยุนฉี และกุ้ยฟาง มีที่ไหนบ้างที่ไม่ใช้ค่ายกลหลอมปราณระดับสูงที่ผลิตจากตระกูลเฉิน? ตระกูลเฉินนั้นร่ำรวยก็จริง แต่ฐานะของตระกูลหวางของพวกเราก็ไม่แพ้กัน!”
“สหายสวี หากนายได้เข้าร่วมกับองค์กรใหญ่ พวกเราก็ยินดีด้วย แต่กฎระเบียบมากมาย แถมยังพิธีรีตอง ไม่เหมือนกับอยู่กับพวกเรา นายจะมีอนาคตก้าวไกล และเป็นอิสรสุข ฉันหวางฉาวเฟิ้งขอรับประกันในฐานะคุณชายประจำตระกูลหวาง หากสหายสวีอยู่กับตระกูลหวาง พวกเราจะเซ็นสัญญากันแค่หนึ่งร้อยปี หลังจากนั้น สหายสวีจะทำอะไรก็ได้ ฉันไม่เพียงแต่ให้สหายสวีใช้ค่ายกลหลอมปราณระดับสูง แต่ยังสามารถใช้สมบัติเก่าแก่ทั้งสามชิ้นของตระกูลหวางได้ ไม่ว่าจะเป็นเกราะสุริยคติ ปรัชญาเซียนและยันต์มังกรกลืนสุริยัน สหายสวีสามารถเอาออกมาใช้ได้ทั้งหมด”
——————————————————————————–
[1] ดอกคาเลนดูล่า หรือดอกดาวเรืองฝรั่ง