ยุทธเวทผลาญปีศาจ - เล่มที่ 2 บทที่ 48 ผู้ใดได้ไปครอง (5)
แหกหน้ากันอย่างดุเดือดถึงที่สุด โชคดีที่ไม่มีนักข่าวในโลกผู้ฝึกตน ไม่งั้นพิธีจบการศึกษาของเทียนเต้าครั้งนี้จะต้องแปดเปื้อนมลทินแบบนี้ไปตลอดเป็นแน่ ซึ่งบรรยากาศในตอนนี้ทำเอาผู้คนทั่วทั้งสนามหายใจติดขัดไปตามๆ กัน
นาทีนี้ ทุกคนได้เข้าใจอย่างท่องแท้ว่าสามองค์กรใหญ่คืออะไร พวกเขาสามารถเกลี่ยกล่อมคนโดยไม่ใช้เงินได้ เพราะพวกเขายังมีทรัพยากร ข้อมูล ช่องทาง เส้นสาย ที่สามารถนำมาใช้เป็นข้อต่อรองได้!
ซึ่งเป็นข้อต่อรองที่ตระกูลฝึกตนอื่นๆ ไม่มี!
และในที่สุดคนดูทุกคนต่างก็เข้าใจสาเหตุที่สวีหยางอี้เอ่ยปากถามอวี้หลินเว่ยแล้ว การที่เขาเอ่ยปากถาม ไม่ใช่เพราะอวี้หลินเว่ยพิเศษ แต่เป็นเพราะอวี้หลินเว่ยเอ่ยปากบอกว่าจะช่วยสวีหยางอี้ตามหาศัตรูต่างหาก
แล้วใครจะไปลืมข้อมูลแบบนี้ลง… คนที่ตายเป็นถึงพ่อแม่ของเขา แล้วเขาจะมาสนใจเรื่องความสุขสบายของตัวเองทำไมกัน? ตอนนี้ ในที่สุดแววตาอันลุ้นระทึกของคนจำนวนไม่น้อยก็เริ่มสงบลง และค่อยๆ เผยความรู้สึกเห็นใจขึ้นมา!
ในมือของสวีหยางอี้ถือคัมภีร์วิชาเวทระดับจินตัน ศักยภาพก็เหนือมนุษย์มนา ข้อเสนอที่ทำให้เขาหวั่นไหวไม่ใช่ตำแหน่งเงินทองในอนาคต แต่เป็นการล้างแค้นให้พ่อแม่
“แต่ว่า อุปกรณ์ระบุตัวปีศาจของพวกเราตู้มหาสมบัติ สามารถระบุตำแหน่งปีศาจที่อยู่ในพื้นที่ได้ทุกตัว ขอแค่พวกมันอยู่ในประเทศหวาซย่า! เหอะๆ ติงเซียง เธอก็น่าจะรู้ดีว่าเหนือชั้นบรรยากาศขึ้นไปมีดาวเทียม ‘ตาทิพย์ NO.1’ ของพวกเราอยู่ แม้มันไม่อาจตรวจจับได้ครอบคลุมทั่วประเทศหวาซย่า แต่ขอเพียงศัตรูคู่แค้นของสหายสวีโผล่มาแค่เพียงแวบเดียว ทางเราสามารถล็อกตำแหน่งให้สหายสวีได้ทันที!” ทู้จิ้วแสยะยิ้ม
“ต่อให้ทางตู้มหาสมบัติไม่พูดเรื่องนี้ พวกเราอวี้หลินเว่ยก็สามารถออกคำสั่งให้กับภาคีของพวกเราเพื่อแจ้งไปยังผู้ฝึกตนสี่แสนคนที่ลงทะเบียนกับองค์กรอวี้หลินเว่ยให้รับทราบเรื่องนี้! และนี่จะเป็นเบาะแสที่ได้จากคนเป็นๆ อย่างแท้จริง! สหายสวี ขอแค่นายเซ็นสัญญากับพวกเรา พวกเราสามารถออกคำสั่งได้ทันที!” ฝู่หรงพูดต่อทันที
ติงเซียงโมโหจนตัวสั่นเทิ้ม!
ไอ้สองตัวนี้มันไปจับมือกันได้อย่างไร? !
ทางสายตางั้นเหรอ?!
อย่าบอกนะว่าแค่สบตากันเมื่อครู่ก็รู้กันแล้วงั้นเหรอ! ตู้มหาสมบัติกับอวี้หลินเว่ยเนี่ยนะ? คิดจะเขี่ยกันให้พ้นทางสินะ
แต่ว่าแผนการของพวกเธอไม่หมดอยู่เพียงเท่านี้! เพราะสถานการณ์ในตอนนี้บานปลายเกินกว่าจะควบคุม
ตั้งแต่จู๋เยว่หลุดปากพูดเรื่องรางวัลที่เป็นคัมภีร์ลับพรหมเทวสูตร ชนวนระเบิดก็ได้ถูกจุดขึ้นแล้ว ทำให้บรรยากาศในสนามก็พร้อมระเบิดอยูตลอดเวลา
“ฉันอาจไม่ใช่ผู้ที่มีความสามารถ” เมื่อน้ำเสียงของทั้งสองคนก่อนหน้าสิ้นสุดลง ท่ามกลางคนดู มีผู้ชายวัยกลางคนหน้าตาธรรมดาคนหนึ่งยืนขึ้น เพยงแค่ลุกขึ้นยืน พลังกดดันวิญญาณอันรุนแรงดั่งคลื่นสมุทรก็ปะทุขึ้นอย่างฉับพลัน!
ขั้นจู้จีระดับสมบูรณ์!
หั่วหยุน อิ่งซา จู๋เยว่ ถึงกับผงะ
“ฉันคือผู้นำเกาะเจียงซิน นามว่าหวางปู้สือ…”
ยังไม่ทันสิ้นสุดเสียง หั่วหยุนกับอิ่งซาก็พูดขึ้นอย่างโมโหพร้อมกัน “คนแก่อย่างแกยังกล้าโผล่หน้าออกมาอีกเหรอ?!”
สวีหยางอี้ที่อยู่ในกำแพงพลังปราณเหลือบตามองเล็กน้อย
ความหวั่นไหวที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ถูกสะกดไว้เร็วพลัน เพราะชื่อของคนคนนี้ค่อนข้างคุ้นหูเหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน
“ทำไมจะไม่กล้าออกมาล่ะ?” หวางปู้สือแสยะยิ้ม “เมื่อหนึ่งร้อยห้าปีก่อนหน้านี้ คนแก่อย่างฉันบังเอิญค้นพบตำราหลอมยาพุทธะโลกา หากขั้นจู้จีทุกคนไม่ลงมือแย่งชิงในวันนั้น ฉันคงไม่ต้องปกปิดชื่อตัวเองมาร้อยกว่าปีขนาดนี้”
สวีหยางอี้นึกออกแล้วว่าเขาเป็นใคร!
ยาที่ว่า ตอนนี้กลายเป็นยาเหลวไปแล้ว และเนื่องจากศาสตร์ด้านนี้ตกต่ำไปมาก ทำให้ตำราหลอมยาโบราณหนึ่งเล่มกลายเป็นสมบัติที่ประเมินค่าไม่ได้ ภายในหนึ่งร้อยปีมานี้ เคล็ดวิชาที่มีชื่อเสียงที่สุดของตำราหลอมผลึกพุทธะโลกาคือ ‘การหลอมผลึกจินตัน’ ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ผู้ฝึกตนขั้นจู้จีระดับต้นอย่างหวางปู้สือ อวี้หลินเว่ยและสมาชิกคนอื่นๆ ค้นพบตอนไปสำรวจซากโบราณสถาน แต่ว่าหลังจากนั้น ได้เกิดเหตุการณ์ฆาตรกรรมต่อเนื่องมาเรื่อยๆ ทำให้มีผู้ฝึกตนขั้นจู้จีร่วมสามร้อยคนต้องสังเวยชีวิตไปกับเหตุการณ์นี้
จนกระทั่งศาลนักฝึกตนแห่งมณฑลหนานทงต้องส่งทีมออกจัดการเรื่องนี้ให้สิ้นสุดลงในที่สุด แต่ว่าเคล็ดวิชาที่เสริมประสิทธิภาพให้การหลอมผลึกจินตันได้ 10% ฉบับนี้กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยพร้อมหวางปู้สือ แต่ได้มีการขึ้นทะเบียนรายชื่อไว้ในประมวลกฎหมายคุ้มครองทรัพย์สินของผู้ฝึกตน โดยใช้ชื่อว่า “ตำราหลอมผลึกพุทธะโลกา”
หั่วหยุนกับอิ่งซาคือคนที่ร่วมสำรวจโบราณสถานในตอนนั้นด้วยเช่นกัน
“เดิมทีผมไม่คิดจะรับลูกศิษย์หรอก ร้อยปีมานี้ ผมได้เห็นพวกมนุษย์ที่กระทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง โดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกผู้อื่น…” หวางปู้สือมองหั่วหยุนกับอิ่งซาด้วยแววตาเหน็บแนม “แต่ว่าการที่เจ้าหนูอนาคตไกลคนนี้เลือกที่จะแก้แค้นให้พ่อแม่ตัวเองก่อนผลประโยชน์แบบนี้ ผมคิดว่ารับเขาเข้าเป็นศิษย์จะต้องดีกว่าพวกหมาลอบกัดบางพวกแน่ๆ”
“เจ้าหนู หากมาเป็นลูกศิษย์ฉัน หวางปู้สือคนนี้จะช่วยนายหลอมผลึกจินตันเอง! หากนายไปถึงขั้นนั้น ฉันก็จะกลายเป็นผู้ที่ครอบครองตำราหลอมผลึกจินตันหนึ่งเดียวในโลก!”
“เหอะๆ ทำเป็นพูดจาสวยหรู เรื่องในตอนนั้นยังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่ชัดเลย แต่ที่แน่ๆ มีคนขโมยสิ่งนั้นและทิ้งพวกเราไป สหายสวี คำพูดปลิ้นปล้อนของเจ้าจิ้งจอกแก่คนนี้เชื่อถือไม่ได้ แล้วก็อีกอย่าง…” หั่วหยุนมองหวางปู้สือด้วยสายตาดูถูก “หึ นายเองยังอยู่ขั้นจู้จีระดับสมบูรณ์ไม่ใช่เหรอ นายยังไม่มีผลึกจินตันในตัวสักหน่อย”
“หากสหายสวีเข้าร่วมกับทางหุบเขาหยุนเฟิง ฉันรับประกันว่าจะช่วยสหายสวีตามหาศัตรูอย่างสุดความสามารถ!”
“ถึงแม้ตระกูลจ้าวของข้าจะไม่ใช่ตระกูลที่สูงส่งที่สุด แต่ก็มีคนในตระกูลหลายร้อยคนที่สามารถช่วยกันหาเบาะแสได้ ขอแค่สหายสวีตอบตกลง ศัตรูของสหายสวี ก็ถือเป็นศัตรูของพวกเราตระกูลจ้าวเช่นกัน!”
“สหายสวี ตระกูลอู๋ของพวกเรามีอุปกรณ์ลับที่สามารถติดตามหาร่องรอยและระบุตำแหน่งได้ในระยะหลายพันไมล์…”
ตอนนี้ บรรยากาศดุเดือดขึ้นอีกรอบ พวกเขารู้ดีว่าตัวเองมีโอกาสไม่สูงนัก แต่ยังถือว่าพอมีโอกาสอยู่
ขอแค่สวีหยางอี้ยังไม่ได้ตอบตกลงใครไป ตกดึกวันนี้พวกเขาก็พร้อมจะวิ่งแจ้นไปหา! ถึงตอนนั้น หากได้พูดคุยกันต่อหน้า แสดงความจริงใจออกไป อาศัยเวลา ผลลัพธ์อาจจะได้ “ว่าที่” จินตันเจินเหรินมาครองก็เป็นได้
บางครั้ง ประตูบานใหญ่ที่ถูกปิดอย่างแน่นหนามิดชิด ขอแค่มีรอยแตกร้าวเพียงเล็กน้อย ผู้คนก็พร้อมจะพุ่งเข้าไปอย่างสุดชีวิตแล้ว!
ทุกคนต่างรู้ดีว่าเส้นทางในโลกภายนอกของผู้ฝึกตนนั้นยากลำบาก การเรียนอยู่ในโรงเรียนของเทียนเต้า อย่างน้อยก็ไม่มีอันตรายถึงชีวิต แต่สำหรับการฝึกตนจริงๆ พลาดแค่ก้าวเดียว สิ่งที่เสียได้อาจหมายถึงชีวิตตัวเองก็เป็นได้!
ในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมา ประเทศหวาซย่าเกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
โลกโลกาภิวัตน์เช่นนี้
ไม่ว่าคุณจะเป็นสุดยอดอัจฉริยะหรืออัจฉริยะธรรมดา
ไม่ว่าในมือของคุณจะถืออาวุธอะไรก็ตาม
ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือปีศาจ
มีเพียงผู้ที่ระมัดระวังทุกย่างก้าวประหนึ่งย่ำเหยียบอยู่บนพื้นน้ำแข็งบางเปราะ และผู้อดทนกล้าหาญเท่านั้นที่จะอยู่รอด
แต่ว่าตอนนี้ พวกเขากลับเที่ยวรับปากนั่นนี่อย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง รับปากในเรื่องที่ตัวเองไม่รับปากในรอบหลายร้อยปีที่ผ่านมา เพียงเพื่อ “ความเป็นไปได้” นี้
“ผมมีเงื่อนไขอยู่สองข้อ หวังว่าทุกท่านจะนำไปพิจารณาดู”
ทันใดนั้น เสียงของสวีหยางอี้ก็ดังขึ้นอีกครั้ง หั่วหยุนเบะปาก เพราะอันที่จริงเขาสามารถปล่อยสวีหยางอี้ออกมาได้ทุกเมื่อ แต่ในเมื่อลั่นคำพูดเอาไว้แล้วว่าหนึ่งชั่วโมง หากปล่อยออกมาก่อนหน้านี้ก็เท่ากับตบหน้าตัวเอง
ทุกคนต่างเก็บปากเงียบ พวกเขารู้อยู่แก่ใจว่าสวีหยางอี้กำลังพูดกับสามองค์กรใหญ่อยู่ แต่ถึงกระนั้น ก็ยังมีเสียงจากปากคนจำนวนมากตะโกนขึ้นทำนองว่า “สหายสวีพูดออกมาเลย!”
“ข้อแรก ภายในสิบปี จะต้องได้ข้อสรุปว่าศัตรูของผมเป็นใคร”
“ไม่มีปัญหา!” เจ้าหน้าที่พิเศษของสามองค์กรใหญ่รับปากอย่างไม่ลังเล แม้เงื่อนไขนี้จะไม่ง่ายก็ตาม มันไม่ง่ายเลยสักนิด!
เทียนเต้าเป็นเครือข่ายที่ครอบคลุมไปทั่วหวาซย่า มีข้อมูลหลากหลาย แต่กลับไม่สามารถตามหาศัตรูที่สังหารพ่อแม่ของสวีหยางอี้ได้ ดังนั้น นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย!
“สำหรับเงื่อนไขข้อที่สอง…” สวีหยางอี้ที่อยู่ด้านในกำแพงพลังปราณหยุดชะงักลง ริมฝีปากสั่นระริกเล็กน้อย แต่ก็ไม่ยอมพูดออกมาสักที
เงื่อนไขข้อที่สองของเขาก็คือ เขาต้องการรู้ว่าใครเป็นคนขัดขวางการเลื่อนขั้นบรรลุตบะของเขา และตัวเขาเองก็ต้องการแก้แค้นเรื่องนี้ด้วย
แต่เขาจะพูดจุดประสงค์ออกมาแบบนี้ไม่ได้ อย่างน้อยก็พูดออกมาตรงๆ ในสถานการณ์แบบนี้ไม่ได้
เหตุผลที่เขายังพูดออกมาไม่ได้ เพราะเขาในตอนนี้ยังแข็งแกร่งไม่มากพอ อีกทั้งพลังยังเทียบกับผู้ฝึกตนขั้นจู้จีและผู้คนที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งทรงคุณวุฒิไม่ได้
เขาลอบกวาดสายตามองอยู่เงียบๆ หากพูดออกไป นั่นหมายถึงชะตาของตัวเอง บาดหมางกับรุ่นพี่ขั้นจู้จีคงไม่ค่อยเท่าไร แต่บาดหมางกับสามองค์กรใหญ่คงไม่ใช่เรื่องดี เพราะเขายังไม่รู้ว่าคนพวกนี้ทรงอิทธิพลมากแค่ไหน นอกเหนือจากนี้ ยังมีพวกคนที่นั่งเงียบพวกนั้น อีกทั้งยังเป็นคนธรรมดา แต่กลับได้นั่งอยู่บริเวณที่นั่งทรงคุณวุฒิ ซึ่งนั่นหมายความว่าสถานะของคนพวกนั้นจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน!
เรื่องขัดขวางการบรรลุตบะก่อนหน้านี้ ไม่ใช่ฝีมือของสมาชิกนักเรียนด้วยกันเองแน่ๆ เพราะเขาเป็นคนเค้นถามแต่ละคนด้วยมือของตัวเองมาแล้ว ดังนั้น มีความเป็นไปได้ว่านี่อาจจะเป็นฝีมือของคนบนที่นั่งทรงคุณวุฒพวกนั้น เพราะคนอื่นๆ ไม่มีสิทธิ์กดปุ่มปิดกั้นช่องทางของอณูปราณธรรมชาติในสนามประลองหนึ่งในใต้หล้านี้
เขามีลางสังหรณ์ว่าถามไปก็ไม่ได้คำตอบ
แต่ว่า!
หมัดทั้งสองข้างของเขากำแน่น เนื่องจากเจ็บใจเรื่องที่มีคนขัดขวางการบรรลุตบะของเขา แต่กลับทำอะไรไม่ได้
ไม่! ขืนปล่อยเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาคงไม่สงบแน่! ในแต่ละวัน ความจริงที่แสนเจ็บปวดนี้จะต้องตามหลอกหลอนเขาในแต่ละวันร่ำไป การบรรลุตบะที่ถูกทำลายย่อยยับไปต่อหน้าต่อตา!
เรื่องสกปรกขนาดนี้ คิดว่าจะปิดมิดงั้นเหรอ?
ตราบใดที่มีเขาอยู่ เรื่องแบบนี้ไม่มีวันปกปิดต่อไปได้หรอก!
เขาไตร่ตรองอยู่เป็นเวลานาน จนบรรยากาศด้านนอกเงียบลงไปได้สักพักแล้ว และในที่สุด เสียงของสวีหยางอี้ก็ดังขึ้น “ก่อนหน้านี้หนึ่งวัน ผมเลื่อนตบะล้มเหลว ทั้งๆ ใกล้จะบรรลุขั้นเลี่ยนชี่ระดับกลางแล้ว แต่กลับมีคนปิดกั้นช่องทางของอณูปราณธรรมชาติในช่วงเวลาสำคัญ”
“เคร้ง!” ในเวลาเดียว เสียงตกกระทบก็ดังขึ้น!
“เคร้งๆๆ …” ฝาครอบแก้วชากลิ้งไปตามพื้น แต่ไม่มีผู้ได้ก้มเก็บ
ฉู่เทียนอีไม่คิดจะอธิบาย เขายังคงจิบชาด้วยสีหน้านิ่งเฉย
แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าเหงื่อเขาแตกพลั่งแค่ไหน!
เขาจะกล้าอธิบายได้อย่างไร!
จะกล้าอธิบายขึ้นตอนนี้ได้อย่างไร!
ตอนนี้สวีหยางอี้พูดขึ้นเมื่อครู่ ทำเอาเขาตกใจแทบขวัญกระเจิง!
จากสถานการณ์ในตอนนี้ เขารู้ดีว่าจะต้องมีผู้ฝึกต้นขั้นจู้จีอย่างน้อยห้าคน หรือมากกว่านั้น ไม่แน่อาจจะเป็นมีผู้ฝึกตนขั้นเลี่ยนชี่นับหมื่นที่รู้สึกเดือดดาลแทนสวีหยางอี้อยู่ก็ได้!
จะให้พูดออกไปได้อย่างไร
เพราะเท่ากับต้องอธิบายต่อหน้ามนุษย์ธรรมดาทั่วไปที่เป็นหน่วยประกอบเล็กๆ ของโลก
และต้องอธิบายต่อหน้าผู้ฝึกตน!
ตอนนี้ไม่มีใครทันสังเกต มือของฉู่เทียนอีที่ถือแก้วชาอยู่สั่นระริก
เขากลัวจนมือสั่น กลัวจนหวาดวิตก ตอนนี้เขากลัวจนรู้สึกเหมือนหัวใจโจนขึ้นกลางอก หากเจ้าคนแซ่สวีนี่เค้นถามขึ้นมาจะทำอย่างไร!
เจ้าหนูนี่ไม่กลัวอิทธิพลด้านมืดที่พร้อมจะเล่นงานตัวเองหลังจากนี้เหรอ?
เจ้าหนูนี่ไม่กลัวบาดหมางกับผู้ทรงอิทธิพลระดับใหญ่ๆ งั้นเหรอ? เพราะเขาก็น่าจะรู้ดีว่าคนที่ทำเรื่องแบบนี้ได้จะต้องไม่ธรรมดา!
“ท่านรองผู้ว่าการฉู่” ท่ามกลางบรรยากาศอันวังเวง หั่วหยุนได้เอ่ยปากขึ้น “ถือดีๆ สิ เดี๋ยวก็ลวกมือหรอก…”
ฉู่เทียนอีคลี่ยิ้มเล็กน้อย ก่อนตีสีหน้าเป็นปกติ แต่กลับรู้สึกเสียวสันหลังวาบ
ท่ามกลางความเงียบที่ชวนให้รู้สึกกระดากกระเดือก หลายคนพอจะเดาออกแล้วว่าคนที่ทำเรื่องพรรค์นี้จะต้องมีสถานะที่ไม่ธรรมดา ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ ในที่สุดทูจิ้วก็กัดฟันพูดขึ้น “ถึงแม้ทางตู้มหาสมบัติจะไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำให้สหายสวีเจ็บแค้นก็ตาม แต่ว่าทางตู้มหาสมบัติจะช่วยตรวจสอบอย่างเต็มที่ และเมื่อพบตัวการ ทางเราจะหยุดให้บริการคนๆ นั้นเป็นเวลาครึ่งปี!”
“เหอะๆ ไม่นึกว่าทางตู้มหาสมบัติช่างขี้ขลาดขนาดนี้” หวางปู้สือแสยะยิ้ม “การบรรลุตบะครั้งแรกของผู้ฝึกตน มีผลกระทบมากที่สุด การขัดขวางการเลื่อนขั้น นับว่าเป็นความแค้นที่ต้องชำระด้วยเลือดเลยก็ว่าได้ มันเป็นใครกัน? น่าไม่อายสิ้นดี”
“เจ้าหนู มาเป็นศิษย์ของฉันเถอะ ฉันรับประกันเลยว่าจะเอานิ้วมันมาให้นายให้ได้!”
สายตาของเขาเหลือบมองไปยังผู้อำนวยการฉี คนที่ทำเรื่องแบบนี้ได้ บางทีผู้ฝึกตนขั้นเลี่ยนชี่คงเดาไม่ถูก แต่สำหรับขั้นจู้จีอย่างพวกเขาแล้ว คงพอจะเดาออกจากการตัดตัวเลือก! คนในเทียนเต้าสาขาย่อยที่ทำเช่นนี้ได้ มันจะมีสักกี่คน แล้วตำแหน่งที่ทำเรื่องเช่นนี้ได้ มันจะเป็นใครกัน
“รองผู้อำนวยการฉีก็คิดแบบนี้ใช่ไหม?”
พลังกดดันวิญญาณขั้นจู้จีระดับสมบูรณ์ของเขาเหมือนดั่งเลือดเหนียวหนืดที่คืบคลานเข้าใกล้รองผู้อำนวยการฉี ที่ตอนนี้เหงื่อกาฬแตกพลั่กทั่วหน้าผาก “ชะ ใช่แล้ว…”
เสียงของสวีหยางอี้ดังขึ้นอีกครั้ง “ผมแค่พูดเปรยๆ ออกมาเฉยๆ ทุกท่านไม่ต้องจริงจังก็ได้”
ฉู่เทียนอีข่มตาลงอย่างขมขื่น ภายในใจแทบจะรุดออกไปตบหน้าสวีหยางอี้สักหนึ่งทีให้รู้แล้วรู้รอด!