ยุทธเวทผลาญปีศาจ - เล่มที่ 2 บทที่ 50 เหตุนองเลือด (2)
พลังปราณท่วมท้นเหมือนดั่งคลื่นสมุทร หนักหน่วงเหมือนเทือกเขา เอาทำผู้ฝึกตนขั้นเลี่ยนชี่ระดับต้นและระดับกลางอึ้งจนพูดไม่ออก พลางเหงื่อแตกพลั่กไปตามๆ กัน มีเพียงระกับปลายเท่านั้นที่ยังพอกล้าหันไปมองตรงที่นั่งทรงคุณวุฒิ
“เกิดอะไรขึ้น? นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่เมื่อกี้มีคนตะโกนว่าศัตรูบุก”
“เป็นไปไม่ได้! ที่มันชั้นใต้ดินของเทียนเต้าสาขาย่อยเชียวนะ! จะมีศัตรูหน้าไหนกล้าบุก!”
“พวกมันไม่กลัวกองทัพผู้ฝึกตนตามล่าเลยเหรอ?”
“มีศัตรูบุกจริงๆ เหรอ? ใครกัน? ช่างกล้านัก ที่นี่มีขั้นจู้จีถึงแปดคนเลยนะ!”
“ไม่น่าใช่ศัตรูธรรมดาๆ น่าจะเป็นศัตรูตัวฉกาจแน่ๆ ไม่งั้นรุ่นพี่ขั้นจู้จีทั้งแปดคนคงไม่ระเบิดพลังปราณทั้งหมดออกมาแบบนี้หรอก!”
สายตานับหมื่นคู่ต่างจ้องมองไปที่ที่นั่งทรงคุณวุฒิ หลังเสียงตะโกนดังขึ้น วินาทีต่อมา ทั้งหมัด ฝ่ามือ กระบี่ ระฆัง และพัดก็โจมตีเข้าใส่ศัตรูพร้อมกัน
หั่วหยุนหรี่ตามอง เขาคลับคล้ายคลับคลาเหมือนมองเห็นบางสิ่งที่น่ากลัวยิ่งนัก จากนั้นก็โบกพัดตะโกนขึ้น “ทุกคน! ถอยก่อน!”
ไม่ต้องรอให้เขาตะโกนจบ เพียงชั่วพริบตา ทุกคนก็กระโดดถอยห่างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว! พวกเขารักษาระยะห่างอยู่รอบๆ สาวน้อย แม้จะมีกำลังคนมากกว่า แต่แววตาพวกเขากับสะท้อนความหวาดกลัวออกมาอย่างเหลือล้น!
กระบี่แทงเข้าเนื้อเกินครึ่งเล่ม เปลวเพลิงจากพัดลุกไหม้ร่างกายของสาวน้อยครึ่งตัว หมัดและฝ่ามือซัดเข้าไปที่ลำตัวของเธอจนเกิดเป็นรอยยุบ
แต่ว่า… สีหน้าแววตาของอีกฝ่ายกลับไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย! เพียงแค่ก้มมองอาวุธที่เสียบแทงร่างกายตัวเองอย่างนิ่งเฉย
“นี่เธอ…” ลูกกระเดือกอิ่งซากระเพื่อมขึ้นลงอยู่สักพัก จากนั้นพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ใกล้จะบรรลุขั้นจินตัน…”
“ซวบ…” สาวน้อยชักกระบี่ที่แทงตัวเองออกอย่างนิ่งเฉย ก่อนวางมันลงข้างหน้า เธอเปะปากเล็กน้อย “รู้อะไรไหม”
“ถ้าไม่อยู่ในระดับจินตัน ก็ไม่มีทางรู้ว่าพลังที่แข็งแกร่งที่สุดมันเป็นอย่างไร”
“ไม่เหมือนพวกที่ฝันลมๆ แล้งๆ ไปวันๆ พวกนั้นไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองเป็นแค่มดปลวกที่พร้อมถูกบดขยี้ได้ทุกเมื่อ…”
ไม่มีใครเอ่ยปากพูด ตอนนี้ ผู้ฝึกตนที่สูงส่งทั้งแปดคนในสายตาของผู้ฝึกตนขั้นเลี่ยนชี่ไม่มีใครมีอารมณ์พูดคุยแม้แต่คนเดียว
“เกิดอะไรขึ้น?” เด็กหญิงคนหนึ่งเอ่ยถามอย่างสงสัย “ผู้หญิงคนนี้เป็นปีศาจเหรอคะ? ผู้ฝึกตนขั้นจู้จีทั้งแปดคนฆ่าเธอไม่ได้เหรอคะ?”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง คุณปู่ที่อยู่ข้างๆ ก็เอามือปิดปากเธอทันที เธอจึงเหลือบตาขึ้นไปมองคุณปู่ตัวเองที่มักจะยิ้มแย้มอยู่เสมอ แต่บัดนี้กลับตัวสั่นระริกเพราะความกลัว หน้าผากมีเหงื่อแตกพลั่ง
“ไม่ตายงั้นเหรอ?!” อีกด้านหนึ่ง วัยรุ่นคนหนึ่งกำลังจ้องมองไปที่สาวน้อยคนนั้นอย่างตกใจ “นี่ นี่มันเป็นไปได้อย่างไร! นี่มันรุ่นพี่ขั้นจู้จีเชียวนะ! อีกทั้งสี่คนในนั้นยังมีระดับสมบูรณ์อีก!”
“หุบปาก…” พ่อของเขาที่อยู่ข้างๆ สีหน้าซีดเผือดเป็นสีขี้เถ้า ทำเอาวัยรุ่นตกใจจนแทบสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นสีหน้าพ่อตัวเอง!
อาวุธคุ้มครองตระกูลหลัวของพวกเขา กงจักรวงแหวนสีเงินปรากฏขึ้นมาในมือพ่อเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
ตอนนี้ บรรดาลุงๆ น้าๆ รอบๆ คุณพ่อที่ปกติไม่เคยเคร่งเครียดต่างถือยันต์อาคมอยู่ในมือ บางคนก็ถืออาวุธอยู่เงียบๆ พร้อมกับเพ่งสมาธิจ้องมองไปยังที่นั่งทรงคุณวุฒิ ยิ่งไปกว่านั้น…
ไม่รู้ว่าเขาตาฝาดไปหรือไม่ เขาเหมือนมองเห็นแววกลัวตายปรากฏขึ้นบนใบหน้าญาติๆ เขา
“หงเอ๋อ… ลูกจงจำไว้… อีกเดี๋ยว ถ้าลูกมีโอกาส จงรีบหนีไปซะ และไม่ต้องห่วงพวกเรา! ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าเป็นห่วงพวกเราเด็ดขาด!”
“พรึบ…” คนกลุ่มหนึ่งลุกขึ้นอย่างเงียบๆ ท่ามกลางหญิงสาววัยกลางคน หญิงสูงวัยที่เป็นหัวหน้าคนหนึ่งได้กางผ้าใบออก เพียงพริบตา ดาบแหลมคมก็พุ่งทะยานขึ้นกลางอากาศพร้อมเสียงคำรามกึกก้องคล้ายมังกรเหิน
ยังมีคนอีกกลุ่มกำลังจ้องมองบริเวณที่นั่งทรงคุณวุฒิอย่างจดจ่อ ในมือของพวกเขาถือดาบกันครบมือ
“พรึบ… พรึบ… พรึบ…” ราวกับมีสัญญาณไร้เสียง ผู้ฝึกตนนับหมื่นคนทั่วทั้งสนามต่างพากันลุกขึ้นยืน
“เจ้าปีศาจ… แกจงรีบไสหัวไปจากเทียนเต้าสาขาย่อยตอนนี้ซะ และฉันจะถือว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น!” จู๋เยว่กัดฟันพูดขึ้น ร่างกายเขาเกร็งเขม็งไปทั่วทั้งตัว สายตาเขาจับจ้องอีกฝ่ายอย่างไม่ขยับ “ตอนนี้มีผู้ฝึกตนอยู่เป็นจำนวนมาก ต่อให้แกใกล้จะบรรลุขั้นจินตัน ก็คงสู้ไม่ไหวอยู่ดี!”
สาวน้อยเหลือบมองเขาหนึ่งปราด จากนั้นก็หัวเราะขึ้นมาก “นายไม่อยากรู้เหรอว่าฉันมาที่นี่ทำไม?”
“เดาง่ายมาก…” สาวน้อยหัวเราะในลำคอ เธอชิงพูดขึ้นโดยไม่รอให้อีกฝ่ายตอบกลับ “เพราะว่าด้านบนไม่มีคนรอดชีวิตแล้วยังไงล่ะ พวกนายติดต่อข้างบนไม่ได้ใช่ไหมล่ะ?”
“จูหงเสวี่ย!” เมื่อข้าราชการชั้นสูงในสาขาย่อยของเทียนเต้าได้ยินเช่นนั้นก็โมโหจนตาแทบถลน “ถ้าท่านจินตันเจินเหรินไม่เมตตาแก แกคงไม่มีชีวิตรอดอยู่แบบนี้หรอก!”
“สังหารหมู่ทั้งสี่เมืองในช่วงปลายราชวงศ์ชิง! บาปของแกมันหนานัก! ตายไปจะต้องตกนรกหมกไหม้แน่ๆ ! และคงไม่มีทางได้ผุดได้เกิดอีก! แล้วแกยังกล้าลงมือกับเทียนเต้าอีกเหรอ!?”
พวกเขาไม่ทันได้เอะใจว่าทำไมถึงติดต่อด้านบนไม่ได้ เพราะเดิมทีที่แห่งนี้ก็สัญญาณไม่ค่อยดีอยู่แล้ว ก็ห้าปีเปิดใช้งานแค่ครั้งเดียว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าขณะที่ด้านล่างกำลังประลองอยู่นั้น ด้านบนกลับเกิดเหตุการณ์นองเลือดขึ้นอย่างน่าอนาถ!
สาวน้อยนิ่งเงียบ เธอได้แต่จ้องมองตัวหนังสือคำว่าหนึ่งในใต้หล้าที่อยู่เหนือศีรษะขึ้นไป จ้องมองอยู่พักใหญ่ก็เอ่ยปากพูดขึ้นเสียงเรียบนิ่ง “เขียนได้ขี้เหร่จริงๆ”
ผู้ฝึกตนขั้นจู้จีต่างพากันนิ่งเงียบ พลังของตบะที่อยู่ระหว่างขั้นจินตันแบบนี้แตกต่างจากพวกเขาอย่างสิ้นเชิง! ต่อให้ตระกูลผู้ฝึกตนสามพันตระกูล ณ ที่แห่งนี้จะหยุดการเคลื่อนไหวอีกฝ่ายได้ แต่จำนวนคนตายคงมีมากจนนับไม่ไหว
ไหนจะมนุษย์ธรรมดา และลูกหลานที่พวกเขาพามาด้วยอีก จะต้องตายไปอีกเท่าไหร่?
เกรงว่าที่แห่งนี้จะต้องหลั่งเลือดจนเป็นสายธารโลหิตเป็นแน่!
“แกคิดจะทำอะไร” หวางปู้สือกัดฟันพูดขึ้น “ต่อให้แกอยู่ระหว่างขั้นจินตัน แต่ก็ไม่ใช่จินตันเจินเหรินอยู่ดี! อย่างแกก็ถือว่าแข็งแกร่งจนจัดอยู่อันดับต้นๆ ของหวาซย่าแล้ว แล้วยังต้องการอะไรอีก!”
“หยาบคาย” จูหงเสวี่ยหันไปมองเขาอย่างไร้อารมณ์ “ฉันจะทำอะไร มันใช่เรื่องที่คนอย่างแกมีสิทธิ์ถามงั้นเหรอ?”
เมื่อพูดจบ เธอก็ยิ้มร่าออกมา “แต่ว่าวันนี้ฉันอารมณ์ดี งั้นเปิดโอกาสให้นายทายหน่อยแล้วกัน”
จากนั้นก็ชูนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้ว “ถ้าทายผิดหนึ่งครั้ง ฉันจะฆ่าผู้ฝึกตนขั้นจู้จีหนึ่งคนเป็นไง?”
ยังไม่มีใครกล้าลงมือ เพราะการลงมือกับศัตรูระดับนี้ ผลลัพธ์ไม่คุ้มเป็นแน่ ทว่าในช่วงเวลานี้เอง อยู่ๆ บริเวณหน้าอกจู๋เยว่ปรากฏรูโหว่ขนาดใหญ่ ดวงตาของเขาทั้งสองข้างพลันเบิกกว้าง สำลักเลือดสดเต็มปาก เขามองจูหงเสวี่ยด้วยสายตาแทบไม่อยากเชื่อจนกระทั่งสิ้นลมหายใจ
“คิดจะติดต่อหาฝู่หยุนเจินเหรินงั้นเหรอ?” จูหงเสวี่ยกระดิกนิ้วเล็กน้อย จากนั้นนกกระเรียนกระดาษที่อยู่ข้างๆ ศพจู๋เยว่ก็ลอยมาก่อนจะถูกไฟเผาไหม้อย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง “ช่างเถอะ คืนนี้ยังอีกยาวใกล้ เกมบางเกมคงไม่ต้องใช้เวลาเล่นมากขนาดนั้น…”
“ฉันบอกคำตอบพวกนายเลยแล้วกัน ถึงแม้จะน่าเบื่อก็ตาม”
“ยังจำบันทึกที่เทียนเต้าบันทึกข้อมูลของฉันได้หรือไม่?” เธอยืดตัวขึ้น “เป็นบันทึกเกี่ยวกับเหตุการณ์สังหารหมู่ติดต่อกันสี่เมืองที่มณฑลเหอกู่ เพื่อให้ได้มาซึ่งขั้นจู้จี”
คำพูดประโยคนี้ทำให้ผู้ฝึกตนขั้นจู้จีด้านหน้าสีหน้าเปลี่ยนไปทันที!
“เพื่อวิชาเวท… และการบรรลุตบะของเธอ จำเป็นต้องสังเวยชีวิตคนมากมายขนาดนั้นเลยเหรอ?” หั่วหยุนเอ่ยถามเสียงสั่นเครือ
“เก่งมาก หรืออีกทางเลือกหนึ่งก็คือ พวกนายเต็มใจจะมอบยาวัฏสงสารในตำนานให้ฉันได้ไหมล่ะ? ได้ของแล้วฉันก็จะไปทันที แล้วอย่าเอายาชนิดอื่นมาหลอกฉันล่ะ” เส้นผมของจูหงเสวี่ยพลิ้วไหวแม้ในยามไม่มีลมโบก “น่าเสียดาย… ทั้งๆ ที่พวกนายจำเหตุการณ์นั้นได้ แต่ทำไมไม่ลองคิดดูสักนิดว่าทำไมฉันต้องฆ่าคนด้วย”
“ฉันไม่ได้กระหายการฆ่าขนาดนั้นสักหน่อย…”
“อีกหนึ่งแสนคน” น้ำเสียงเธอเจือแววเหี้ยมโหดบ้าคลั่ง “สังเวยชีวิตอีกหนึ่งแสนคน ฉันก็จะได้บรรลุขั้นจินตันเป็นคนที่สิบเอ็ด”
“ดังนั้น พวกนายทุกคนต้องตายอยู่ดี” เธอเงยหน้าหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง และวินาทีต่อมา พลังกดดันวิญญาณอันมหาศาลก็ระเบิดออกมาจากตัวเธอ!
แรงสั่นสะเทือนเหมือนแผ่นดินไหวระดับสิบสองริกเตอร์! ประหนึ่งลมพายุบ้าคลั่งผสมกับคลื่นสมุทรเกรี้ยวกราด! แต่ผู้ฝึกตนขั้นเลี่ยนระดับปลายก็ยังประคองตัวให้ยืนได้อยู่!
“ในเมื่ออดีตที่ผ่านมา ฉันฆ่าคนไปอย่างป่าเถื่อนขนาดนั้นแล้ว แล้วทำไมฉันต้องมาสนใจชีวิตพวกนายอีก! ต่อให้ฉันตกนรกไปเจอยมบาลในนรกเป็นสิบขุม พวกเขาก็ยังไม่กล้ารับฉันไว้เลย!” ขณะพูดร่างของเธอก็ค่อยๆ ลอยขึ้นจากพื้น เส้นผมยาวประเอวปลิวสยาย รูม่านตากลายเป็นแนวตั้งเหมือนดวงตาจิ้งจอก
“ฉันก็แค่อยากบรรลุขั้นจินตัน หลังจากตายไป ใครจะไปสนใจว่าถูกวิจารณ์ว่าอะไร!”
อยู่ๆ สวีหยางอี้ที่อยู่ในกำแพงพลังปราณก็ลุกขึ้น!
ตอนที่พลังกดดันวิญญาณระเบิดออกมา สัมผัสแห่งความตายได้ทำลายความสงบของเขาลงทันที
คุ้นเคย ช่างคุ้นเคยยิ่งนัก
จูหงเสวี่ย!
จูหงเสวี่ยมาเยือนด้วยตัวเอง!
ระบบความจำของเขาทำงานขึ้นทันที เขานึกถึงเรื่องทั้งหมดที่จั่วหลุนเล่าให้พวกเขาเขาฟังในตอนนั้นทันที
เหตุการณ์สังหารหมู่อันป่าเถื่อนทั้งสี่เมืองในมณฑลเหอกู่ ผู้คนหลายแสนต้องสังเวยชีวิตไปเพียงแค่เธอต้องการบรรลุขั้นจู้จี… ที่แท้ความจริงที่จูหงเสวี่ยทำเช่นนั้น ถูกกลบซ่อนไว้ในบันทึกมาตลอด! เพียงแค่ไม่มีใครเฉลียวใจและถูกหักเหความสนใจไปด้วยภาพนองเลือดตอนนั้น!
ค่ำคืนแห่งการบรรลุขั้นจู้จีของจูหงเสวี่ย พื้นที่เป็นวงกว้างถูกย้อมไปด้วยเลือด และเธอก็ได้ฉายานามปีศาจแห่งยุคสมัยนั้นไปครอง การกระทำเช่นนี้ไม่ใช่ความบ้าคลั่ง ไม่ใช่การข่มขวัญ และมีเหตุผลที่ต้องทำเช่นนี้!
สำหรับอีกฝ่ายแล้ว หนึ่งร้อยปีมีค่าเท่ากับหนึ่งวัน เธออยู่ตรงข้ามเทียนเต้าสาขาย่อยเพื่อรอเวลาบรรลุขั้นจินตัน! เนื่องจากเธออยู่มานาน จึงเข้าใจช่วงจังหวะเป็นอย่างดี!
พิธีจบการศึกษาที่ห้าปีมีครั้ง… ในสายตาอีกฝ่ายคงเป็นแค่มื้ออาหารชุดใหญ่ที่ได้กินหนึ่งครั้งในทุกๆ ห้าปี!
นอกจากที่นี่แล้ว… มีที่ไหนบ้างที่มีผู้ฝึกตนรวมตัวกันมากมายขนาดนี้?
นอกจากที่นี่แล้ว… มีที่ไหนบ้างที่จะมีผู้ฝึกตนนับแสนรวมตัวกันทุกๆ ห้าปีแบบนี้?
การที่เธอไม่เคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ เป็นเพราะยังไม่ถึงเวลา เธอยังไม่มั่นใจ และยังไม่มีจังหวะที่เหมาะสม
เธออาศัยอยู่ที่เมืองเฟิงอี้อย่างสงบเสงี่ยมก็เพื่อหลอกล่อให้เทียนเต้าตายใจ และลดระดับการเฝ้าระวังลง
ในที่สุด… เทพมรณะที่เฝ้ารอมาอย่างเงียบๆ ตลอดหนึ่งร้อยปี ก็ถึงเวลาง้างกรงเล็บอันแหลมคมออกมาแล้ว
ลมหายใจของสวีหยางอี้ค่อยๆ กระชั้นเร็วขึ้น ความคิดมากมายพลันผุดขึ้นในห้วงสมอง
ตอนนี้สิ่งเดียวที่เขาคาดหวังก็คือผู้ฝึกตนขั้นจู้จีจะสามารถตรึงเธอเอาไว้ได้! แต่ว่า…
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่มีโอกาสตายได้ตลอดเวลาเช่นนั้น ผู้ฝึกตนขั้นจู้จีคนไหนจะไปยอมตายเพื่อผู้ฝึกตนขั้นเลี่ยนชี่ที่ไม่รู้จักหน้าค่าตากัน?
ข้อเสนอที่พวกเขาหยิบยื่นให้ก่อนหน้านี้ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว เพราะสิ่งสำคัญเพียงอย่างเดียวในตอนนี้ก็คือ…
ต้องมีชีวิตรอดไปให้ได้
ต้องรอดจากความบ้าคลั่งของจูหงเสวี่ยที่ใกล้จะอาละวาดในสนามประลองหนึ่งในใต้หล้าของเต้าเทียน สถานที่ที่ไม่เคยนองเลือดมาก่อน!
แต่ว่า… ตัวเองยังถูกขังอยู่ในกำแพงพลังปราณนี้อยู่!
ซึ่งก็อาจเป็นข้อดีสำหรับเขา เพราะการต่อสู้ก็กำลังจะเกิดขึ้น จะต้องมีเลือดซาดกระเซ็นเป็นสายธารโลหิตเป็นแน่! และปีศาจอย่างจูหงเสวี่ยคงจะโจมตีอย่างสุดกำลังอย่างแน่นอน!
ผู้ฝึกตนขั้นเลี่ยนชี่คงแทบไม่มีโอกาสมีชีวิตรอดออกไป ส่วนมนุษย์ธรรมดายิ่งไม่ต้องพูดถึง!
แต่ว่า เขาสามารถรอดออกไปได้!
หั่วหยุนไม่ยอมปลดกำแพงพลังปราณออก เพียงเพราะต้องการพูดคุยอย่างใกล้ชิดกับเขา และเขาก็จำคำพูดก่อนหน้านี้ของหั่วหยุนได้ดีว่า นี่เป็นกำแพงพลังปราณที่สร้างจากวิชาเวทของฝู่หยุนเจินเหริน สามารถป้องกันการโจมตีระดับจินตันได้เป็นระยะเวลาหนึ่ง!
เขาจึงสามารถมีชีวิตรอดนานกว่าคนอื่นหน่อย ทว่า หลังจากนั้นล่ะ!
การที่จูหงเสวี่ยกล้าบุกเขามาหมายสังหารหมู่ ณ ที่แห่งนี้ แสดงว่าเธอจะต้องมีความมั่นใจที่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่!
ร่างขนาดใหญ่เป็นร้อยเมตรของมันร่างนั้น ลำพังแค่จิตสังหารก็ทำเอาเขาแทบต้านทานไม่ไหว! หากตัวเขาหุนหันผลันแล่นไม่คิดหน้าคิดหลัง แค่ลมหายใจของอีกฝ่ายก็ทำเอาชีวิตเขาจบเห่ได้
กำแพงพลังปราณนี้ เปรียบเสมือนเขตอาคมป้องกันเขา ในเวลาเดียวกันก็เหมือนคุกที่กักขังเขาเช่นกัน!
“จะทำอย่างไรดี!”
ไหนจะลูกกระสุนของฉู่เจาหนานที่ติดอยู่ตรงหน้าอกเขาอีก ไหนจะใช้พลังปราณไม่ได้อีก
ตอนนี้คือวินาทีแห่งความเป็นความตายที่แท้จริง!