ยุทธเวทผลาญปีศาจ - เล่มที่ 2 บทที่ 51 เหตุนองเลือด (3)
“ผู้ฝึกตนทุกท่าน โปรดฟังทางนี้!” เสียงอิ่งซา หั่วหยุน และหวางปู้สือดังขึ้นแทบจะพร้อมกัน “นอกจากขั้นเลี่ยนชี่ระดับต้น ตั้งแต่ระดับกลางขึ้นไป จงลุกขึ้นต่อสู้พร้อมพวกเรา!”
“ครับ/ค่ะ!” “รับทราบ!” “การกำจัดปีศาจ เป็นหน้าที่ของพวกเราผู้ฝึกตน!”
ผู้ฝึกตนจำนวนมาก ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจ ตอนนี้ต่างพาปลุกความกล้าในตัวเองขึ้นมา
เพราะไม่มีทางให้ถอยหลังแล้ว ปีศาจที่ใกล้จะบรรลุขั้นจินตันอยู่ที่พื้นที่ปิดเช่นนี้ หากถอยหลังหนี ก็มีแต่ต้องตายสถานเดียว!
ต่อให้พวกเขาจะรู้สึกหวาดกลัวคู่ต่อสู้ที่ใกล้จะบรรลุขั้นจินตันมากแค่ไหนก็ตาม ต่อให้พวกเขามีความกล้าเพียงน้อยนิดก็ตาม แต่ถึงกระนั้นก็ต้องยืนหยัดต่อสู้ในศึกครั้งนี้!
“สังหารปีศาจเพื่อผดุงธรรม” หวางปู้สือประสานมือ ดาบสีแดงฉานพลันปรากฏขึ้นในมือ จากนั้นก็ตะเบ็งเสียงตะโกนออกมา “ฆ่ามัน!”
“ฆ่ามัน!!”
เสียงตะโกนดังกึกก้องกัมปนาท! นาทีนี้ ผู้ฝึกตนหลายพันคนต่างร่วมแรงร่วมใจเป็นน้ำหนึ่งเดียวกัน!
คลื่นเสียงตะโกนของผู้ฝึกตนหลายพันคนทำเอาดินทรายบนพื้นสั่นสะเทือน!
ยันต์อาคมมากมาย อาวุธวิเศษครบมือ เสียงดังจากการต่อสู้ดังขึ้น กลุ่มควันพวยพุ่ง ท่ามกลางสนามประลองหนึ่งในใต้หล้าตอนนี้ เต็มไปด้วยฝุ่นควันโขมงระคนประกายแสงวิบวับจากการโจมตี ประกายแสงมากมายต่างระดมโจมตีไปยังจูหงเสวี่ย!
ประกายแสงวิบไหวในกลุ่มควันเหมือนดั่งโคมไฟในเทศกาลโคมไฟ!
คลื่นพลังปราณหลายพันระลอกจากผู้ฝึกตนทำเอาผิวหน้าของจูหงเสวี่ยสั่นกระเพื่อม
ภายใต้ประกายแสงแพรวตา จูหงเสวี่ยไร้ซึ่งทีท่าถอยหลัง ริมฝีปากอมชมพูของเธอยกกระดก “ความสวยงามล้วนไม่ยั่งยืน แสงสีเสียงย่อมเลือนสลายโดยง่าย… ฉันไม่ใช่พวกที่ไร้อารมณ์สุนทรี แน่นอน ว่าฉันจะมอบความตายอันงดงามให้พวกแกเอง”
อีกฝ่ายเคลื่อนไหวโจมตี อีกฝ่ายนิ่งเฉยตั้งรับ ปรากฏเป็นภาพฉากอันแสนระทึกแต่งดงาม
“ตู้ม!” วินาทีต่อมา ลำแสงสีดำมัวนับพันได้ส่องออกมาจากรูขุมขนจูหงเสวี่ย! ราวกับกำลังส่องออกมาจากในร่างกาย!
ครั้นลำแสงสีดำส่องสว่างออกจากประตูทวารทั้งเจ็ด ก็ได้บังเกิดแรงกดดันวิญญาณขึ้นอย่างรุนแรงยิ่งกว่าตอนแรงระเบิดพลังปราณก่อนหน้านี้เสียอีก!
ลำแสงสีดำที่กระจายอยู่กลางอากาศราวกับดวงวิญญาณหลายแสนดวงที่ไม่ได้ผุดได้เกิด ในเวลาเดียวกันก็ส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนชวนสยอง! ก่อนจะแสงสีดำเหล่านี้จะจับตัวเป็นกลุ่มก้อนหมอกควัน!
“มันกำลังจะกลายร่างปีศาจ!” หวงปู้สือตะโกนขึ้น “ฆ่ามันซะ!”
ด้านในกำแพงพลังปราณ ใจของสวีหยางอี้เอาแต่จดจ่ออยู่กับสถานการณ์ด้านนอก เขาใช้พลังจิตหยั่งสัมผัสรับรู้ทุกสิ่งด้านนอก
ผู้ฝึกตนหลายพันคนลุกขึ้นต่อสู้พร้อมกัน ประกายแสงและอณูปราณจากอาวุธและของวิเศษกระจายอยู่เต็มอากาศ! บรรยากาศการต่อสู้อวลตลบทั่วพื้นที่!
ทุกๆ การลงดาบอัดแน่นด้วยจิตใจที่หมายเอาชนะราวกับเกลียวคลื่นที่ซัดเข้าฝั่ง
นี่คือการต่อสู้ของผู้ฝึกตน!
นี่คือการต่อสู้ของมวลมนุษย์!
ไม่มีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัย แต่แสงยานุภาพก็ไม่น้อยหน้าสิ่งทันสมัยเหล่านั้นเลย!
ดูเพลิดเพลินแพรวตาเสียยิ่งกว่าประกายแสงของดอกไม้ไฟ ช่างเป็นบรรยากาศแห่งความตายที่ห้าวหาญและน่าลุ่มหลง!
“ซูด…” สวีหยางอี้ซูดลมหายใจเข้าลึกๆ
นี่น่ะหรือ… โลกของผู้ฝึกตน หากเขามีชีวิตรอดออกไปได้ และได้เป็นส่วนหนึ่งในโลกใบนี้ มันจะต้องบรรเจิดกว่าเดิมเป็นแน่
บรรยากาศด้านนอกชวนให้นึกถึงบทพรรณนาในวรรณกรรมจีน
ปุยหลิวขาวพิสุทธิ์ร่วงหล่นกราดเกลื่อนสะอาดตา กลีบดอกท้อชมพูเรื่อร่วงหล่นเกลื่อนกล่นนวลใจ สิ้นแล้วชีวิตอันไร้เดียงสาและสดใส!
ครั้นแสงสีดำบนร่างจูหงเสวี่ยจางหายไป เสียงคำรามของจิ้งจอกก็ดังขึ้น เสียงนั่นพัดหมอกควันสีดำสลายหายไปในทันที! พลันปรากฏร่างสีขาวหิมะพร้อมหางสีเงินยาวสองร้อยเมตรทั้งเก้าหางยืนยืดตัวอย่างทะนงตน!
ขนาดร่างมนุษย์กับร่างปีศาจของมันต่างกันราวมดกับช้าง อุ้งเท้าแตะพื้น หัวจรดเพดาน พลังปราณรุนแรงบ้าคลั่งประหนึ่งเทพปีศาจมาจุติ! ครั้นหางสีขาวโพลนทั้งเก้าโบกสะบัดก็บังเกิดเป็นคลื่นพลังปราณอันรุนแรง!
บนหน้าผากของมัน ปรากฏตราเวทสีดำพิลึกอย่างสะดุดตา
เรียวหางทั้งเก้าของมันโบกสะบัดคล้ายมังกรเก้าตัวเริงระบำ ทุกครั้งที่หางของมันโฉบผ่านที่ใด พื้นตรงที่แห่งนั้นจะเกิดร่องเฉือนขนาดใหญ่ทันที!
ปีศาจขนานแท้… ปีศาจที่ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทาน! พลังล้นหลามเสียยิ่งกว่างูยักษ์ที่สวีหยางอี้เคยฆ่าเป็นหลายเท่า!
เส้นขนสีขาวหิมะของมันกระเพื่อมตามแรงโจมตีที่พุ่งเข้ามาคล้ายคลื่นทะเล
“วิญญาณปีศาจสามภพ!” จูหงเสวี่ยเงยหน้าขึ้นฟ้าพลางส่งเสียงคำรามอย่างท้าทาย เพียงชั่วพริบตา กระแสอณูปราณสีดำนับหมื่นเส้นก็ปรากฎขึ้น พร้อมกับหมุนเป็นเกลียวดั่งพายุใต้ฝุ่น โดยมีจูหงเสวี่ยเป็นจุดศูนย์กลาง!
“ป้องกันซะ!” อิ่งซายกแขนตั้งการ์ดขึ้นกำบังกระแสลมนั่น แต่ยังคงรู้สึกเหมือนถูกค้อนหนักหลายกิโลกรัมทุบเข้ามาอย่างหนักหน่วง! กระแสพัดที่ดูเหมือนไม่มีพลังอะไร แต่เมื่อปะทะเข้ากับมันแค่เสี้ยววินาทีกลับพัดเขากระเด็นจนเลือดกรอกปาก!
“หมอบลง!” หลังจากตะโกนขึ้น ร่างของเขาก็ถูกกระแสลมดูดเข้าไปในใจกลางพายุจนเสียงของเขาเริ่มเลือนหาย
สวีหยางอี้เบิกตากว้างจ้องมองกำแพงพลังปราณอย่างเงียบๆ
เพียงเสี้ยววินาที กระแสคลื่นพลังปราณอันน่ากลัวเมื่อครู่ก็ส่งผ่านเข้ามาถึงตัวเขา แม้จะอยู่ในกำแพงพลังปราณก็ตาม
แรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นกับกำแพงพลังปราณประหนึ่งถูกโจมตีอย่างหนักหน่วงจนเกิดเป็นริ้วอณูปราณสีขาวนวลกระเพื่อมไม่หยุด ราวกับใกล้จะพังทลายเต็มทน!
เหงื่อกาฬเริ่มผุดซึมขึ้นที่หน้าผากของเขา มือพลันกำหมัดแน่นขึ้นมาไม่รู้ตัว
หากทุกคนยังร่วมมือร่วมใจกันต้านทานศัตรูแบบนี้ ไม่แน่อาจจะมีทางรอด…
แต่เนื่องจากตัวเองถูกขัดขวางการเลื่อนตบะ เขาจึงไม่คิดว่าคนที่อยู่ด้านนอกจะยอมต่อสู้อย่างสุดชีวิตเพื่อเขา
จิตใจมนุษย์ล้วนยากแท้หยั่งถึง
เป็นตายเป็นของคู่กัน
คำพูดก่อนหน้านี้ ในตอนนี้กลับไร้ความหมาย จะอยู่รอดหรือตายจาก คงขึ้นอยู่กับว่าด้านนอกจะพร้อมใจกันต้านทานศัตรูกันมากแค่ไหน
ดวงตาของเขาจ้องมองกำแพงพลังปราณสีขุ่นมัวอย่างจดจ่อ
สถาปัตยกรรมอันสวยงามที่สถิตอยู่ท่ามกลางแสงทองผ่องอำไพของโลกด้านนอก
บัดนี้ถูกอณูปราณดำทมิฬที่ราวกับพายุคลั่งพัดกระเจิง ประหนึ่งหอบใบไม้ร่วงที่ถูกสายลมเย็นซ่านแห่งสาทรฤดูพัดกระจายปลิวว่อน
“กรุ้งๆๆ …” “กริ้ง…” หลังจากนั้นราวกับสิบวินที อาวุธและของวิเศษน้อยใหญ่ต่างร่วงหล่นจากกลางอากาศตกกระทบลงบนพื้นดั่งเม็ดฝน มันคืออาวุธของวิเศษของผู้ฝึกตนที่ใช้เมื่อครู่ บัดนี้ถูกพัดกระจายเกลื่อนพื้นเต็มไปหมด
ระดับตบะห่างกันเกินไป
“จงคุกเข่าลง และนั่งรอความตายอย่างสงบ ฉันจะมอบความตายที่ไร้ความเจ็บปวดให้ทุกคนเอง!” จูหงเสวี่ยยืนตระหง่านอยูที่เดิม พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไร้ความรู้สึก
“เอือก!” เสียงสำลักเลือดดังขึ้นจากปากผู้ฝึกตน
ผู้ฝึกตนขั้นจู้จี้ที่เหลือทั้งเจ็ดคนถูกพายุทมิฬเล่นงานจนเลือดกรอกปากนอนหมอบอยู่บนพื้น
“ก็แค่ใกล้จะบรรลุขั้นจินตันเองไม่ใช่เหรอ?” หั่วหยุนชักดาบยาวออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เขาใช้มันยันพื้นพยุงตัวเองพลางใช้มือกุมหน้าอกยืนขึ้น ดวงตาแดงก่ำของเขาจ้องมองปีศาจจิ้งจอกเก้าหางขนาดใหญ่เบื้องหน้า “แต่กลับจัดการขั้นจู้จีทั้งเจ็ดคนได้ภายในการโจมตีเดียว?”
ผู้ฝึกตนทุกคนต่างพากันตกตะลึงกันถ้วนหน้า
เมื่อครู่พวกเขาต่างโจมตีด้วยพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเอง แต่กลับถูกอีกฝ่ายหักล้างไปอย่างง่ายดาย
อีกทั้งการป้องกันของขั้นจู้จีก็ไม่ได้ผล
“นี่มัน…” ผู้เฒ่าคนหนึ่งยืนตัวสั่นเทิ้ม เขาก้าวขาไม่ออก เพราะจูหงเสวี่ยยืนขวางอยู่ตรงประตูใหญ่!
“หรือพวกเราต้องมาตายอยู่ที่นี่จริงๆ?!”
“เป็นแบบนี้ได้อย่างไร!”
“ขั้นจู้จีต้านทานมันไม่อยู่งั้นเหรอ? !”
“ทำไมเจ้าปีศาจตัวนี้ถึงแข็งแกร่งขนาดนี้!”
ทุกคนค่อยๆ กระถดตัวถอยห่างออกจากประตูใหญ่เรื่อยๆ
ลั่นกลองหนึ่งครั้งเพื่อปลุกใจให้ฮึกเหิม ลั่นครั้งสองกำลังใจเริ่มถดถอย ลั่นครั้งสามความกล้าแห้งสลาย หากทำการใดเกินสามครั้งย่อมล้มเหลว พวกเขาเข้าใจความหมายนี้ดี ดังนั้นพวกเขาจึงโจมตีปีศาจด้วยพลังทั้งหมดที่ตัวเองมี ต่อให้ระดับจะห่างเหินกันราวฟ้ากับดินก็ตาม ถึงแม้พวกเขาจะดูเต็มที่กับการต่อสู้ แต่มีสักกี่คนที่เต็มใจจะต่อสู้อยู่จริงๆ
ความหวังที่ฝากไว้กับการโจมตีเฮือกสุดท้ายของพวกเขาสลายหายไปพร้อมกับกำลังใจและความกล้าทันที
มิหนำซ้ำ การโจมตีเมื่อครู่กลับถูกลบล้างไปอย่างง่ายดาย ตอนนี้ผู้ฝึกตนจำนวนไม่น้อยเริ่มรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจริงๆ เสียแล้ว
บรรยากาศเงียบสงัดดั่งความตายใกล้มาเยือน มีเพียงพายุดำทมิฬหมุนเริงระบำอยู่ในอากาศและปีศาจร่างใหญ่ที่อยู่ท่ามกลางฝูงคนนอนเกลื่อนกลาดตามพื้น
เปลือกตาที่หลับประกบเข้าหากันของอิ่งซาลืมขึ้นมาอีกครั้ง แววตาเด็ดเดี่ยวเยือกเย็นพลันส่องประกาย
เขาโคจรพลังปราณขึ้นที่จุดตันเถียน ก่อนตะโกนดังลั่น “ฉันขออุทิศตัวเพื่อผดุงธรรม! กระบี่จงมา!”
บังเกิดเสียงฟ้าร้องลมโกรกขึ้นอย่างอากาศฉับพลัน ละอองแสงอณูปราณสีขาวจำนวนมหาศาลไหลรวมไปอยู่ที่จุดเดียว จากนั้นกระบี่หยกชิงเฟิง[1]เล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ
“ทำแบบนี้ให้มันได้อะไร” น้ำเสียงเจือแววหลอกล่อของจูหงเสวี่ยดังขึ้น “ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าต้องตาย นายอยู่เงียบๆ ยอมรับความตายอย่างสงบไม่ได้เลยเหรอ?”
เปลือกตาที่ผนึกเข้าหากันของอิ่งซากระตุกขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มพลันผุดขึ้นทันที
“ฉันเกิดที่มณฑลตงหลิ่ง ก้าวเท้าเข้าเส้นทางผู้ฝึกตนตอนอายุสิบขวบ ฝึกปรือเจ็ดปีสำหรับขั้นเลี่ยนชี่ ใช้เวลาหนึ่งร้อยห้าสิบปีกว่าจะบรรลุระดับกลาง ที่ผ่านมาฉันใกล้ชิดกับมนุษย์ธรรมดาอยู่ตลอด”
“มีทั้งคนที่สอนฉัน คนที่เอ็นดูฉัน แม้แต่กระทั่งหลอกใช้ฉันก็มี…”
“แต่ไม่มีใครหน้าไหนที่สอนฉันให้ยอมแพ้ต่อพวกปีศาจ!”
“เส้นทางของมนุษย์และปีศาจล้วนต่างกัน หากไม่ใช่คนในเผ่าพันธุ์ฉัน จิตใจก็ย่อมต่างกัน! หากคุกคามต่อเผ่าพันธุ์ฉัน จำเป็นต้องฆ่าทิ้ง!”
เขาพยายามประคองร่างของตัวเองที่มีพลังปราณทะลักออกมาอย่างมหาศาล เขาถ่มเลือดจากปากลงไปบนกระบี่ พลางใช้มันชี้หน้าจูหงเสวี่ย “เจ้าปีศาจ… จงตายซะ!”
ประหนึ่งได้ยินเสียงเรียกร้องของเขา เพียงชั่วพริบตา กระบี่ก็ส่องแสงสีแดงฉานออกมาเคล้าเสียงดังหวืด
“พูดได้ดี…” ณ ช่วงเวลานี้ มีเสียงๆ หนึ่งดังแผ่ว ผู้เฒ่าถือไม้เท้าคนหนึ่งยืนเอามือกุมอกอยู่กับคนอีกเจ็ดคน
“รองผู้ว่าการฉู่…” จูหงเสวี่ยเหลือบมองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา “นายยังไม่ตายอีกเหรอ? จงนั่งอยู่เงียบๆ สะเถอะ แล้วฉันจะมอบสถานที่เก็บกระดูกให้นายเอง”
“ตลก” รองผู้ว่าการฉู่เงยหน้าหัวเราะลั่น “มนุษย์ชาติวิวัฒนาการมาหลายพันปี ลำพังปีศาจของพวกแกก็เกิดมาจากพวกสัตว์ แล้วยังริอาจมาพูดจาข่มเหงฉัน!”
“แกรู้อะไรหรือไม่ ถ้าตอนนี้ฉันอยู่ที่เมืองจิงตู ป่านนี้จรวดนิวเคลียร์คงพร้อมยิงแกแล้ว!” ท่าทางของฉู่เทียนอีในตอนนี้ไม่เหลือคราบคนแก่แม้แต่น้อย เขามั่นใจดั่งพญาเสือโคร่งก็ไม่ปาน แถมยังรุดตัวออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว “แล้วแกรู้อะไรอีกหรือไม่ ถ้าวันนี้ฉันรอดออกไปได้ อีกไม่เกินหนึ่งเดือน ฉันจะเป็นคนตัดหัวสุนัขบนคอแกเอง!”
“หัวจิ้งจอก” จูหงเสวี่ยเอ่ยเสียงเรียบ “ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นฉันจะมอบความตายให้นายเอง”
เรียวหางทั้งเก้าตั้งชู ลูกบอลพลังปราณขนาดใหญ่ทั้งเก้าลูกควบแน่นขึ้นที่ปลายหางของมัน ก่อนส่องแสงสว่างเจิดจ้าไปทั่วพื้นที่
“คุณปู่!” “คุณพ่อ! ช่วยผมด้วย!” “เจ้าปีศาจ! ระหว่างฉันกับแกต้องตายกันไปข้าง!” “ฉันขอสาบาน! สักวัน ฉันจะฆ่าแกให้ตายคากระบี่ชิงเฟิงให้ได้!”
เสียงร้องโหยหวยดังขึ้นทั่วสนามอย่างน่าเวทนา!
ลำแสงเก้าลำส่องสว่าง จากเก้าเป็นสิบแปด จากสิบแปดเป็นสามสิบหก… เพียงชั่วพริบตา ลำแสงก็ยิงไปทั่วสนาม!
กลิ่นคาวเลือดชวนคลื่นไส้คลุ้งตลบไปทั่วสนามประลองหนึ่งในใต้หล้า! ผู้คนนับพันตายลงด้วยลำแสงที่ไม่อาจต้านทานประหนึ่งหญ้าที่ถูกตัด!
เมื่อถูกลำแสงโจมตี ผู้คนก็ล้มตายลงไปส่วนหนึ่ง!
บนหน้าผากของคนที่ตายล้วนปรากฏอักขระสีแดง
สวีหยางอี้ได้แต่จ้องมองกำแพงพลังปราณขุ่นมัวที่ไม่เห็นด้านนอกแม้แต่น้อย!
ในช่วงวินาทีนั้น ราวกับมีอะไรบางอย่างที่อยู่ในจิตวิญญาณเขาถูกปลดออก
คล้ายกับคำพูดที่ไร้เสียง คล้ายกับคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่หยั่งรู้ มันเป็นบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ มันมีเพียงพลังวิญญาณอันมหาศาลและโศกนาฏกรรมเป็นแรงขับเคลื่อนให้กับมัน
ทันใดนั้น เขาก็รู้แจ้งขึ้นมาทันที ว่าเพราะเหตุใดมวลมนุษย์ถึงเป็นกำลังหลักอยู่เสมอ และเพราะเหตุใดเผ่าปีศาจที่แข็งแกร่งมากพอที่จะต่อสู้ได้ตัวคนเดียวถึงยอมสยบให้กับมนุษย์
มันคือบางสิ่งที่สืบทอดต่อกันมา บางสิ่งที่ไหลเวียนอยู่ในสายเลือดของผู้ฝึกตนทั่วหวาซย่าทุกคน นาทีนี้ หัวใจของเขาเต้นระทึกอย่างไร้เหตุผล อยู่ๆ ก็ตระหนักได้ว่า คำว่า “ผู้ฝึกตน” ที่ตัวเองได้ยินมาจนติดหจะทำให้เลือดลมเขาสูบฉีดได้พลุ่งพล่านเช่นนี้
บางคนหวาดกลัว บางคนกล้าหาญ บางคนวิ่งหนี บางคนยืนหยัด
วินาทีนี้ เงาคนที่ยืนหยัดอยู่พวกนั้น ทำเอาเขาประทับใจไปจนถึงเบื้องลึก
นอกจากจะยืนอยู่เหนือมนุษย์ธรรมดาแล้ว… ยังต้องแบกความรับผิดชอบปกป้องมวลมนุษย์
ความรับผิดชอบนั้น ถูกเรียกว่าผู้ฝึกตน
ท่ามกลางห้วงแห่งจิตวิญญาณ คล้ายกับมีบางอย่างถูกพรากจากไป ราวกับดักแด้ที่ลอกคราบออกจากรัง จนในที่สุดสยายปีกกลายเป็นผีเสื้อที่สวยงาม
ความรู้สึกแห่งการรู้แจ้ง รู้ตื่น รู้เบิกบาน
——————————————————————————–
[1] 青锋 ชิงเฟิง คือชื่อกระบี่ตามตำนานลิทธิข้างจีนฝ่ายมหายาน ซึ่งเป็นอาวุธประจำกายของท้าวจตุโลกบาลที่ชื่อว่า ฉือกั๋วเทียนหวาง หรือ ท้าววิรุฬหก หนึ่งในท้าวจตุโลกบาลที่ปกครองประจำตำแหน่งทิศใต้