ยุทธเวทผลาญปีศาจ - เล่มที่ 2 บทที่ 52 เหตุนองเลือด (4)
นาทีนี้เอง ความเจ็บปวดรวดร้าวอันรุนแรงก็ปะทุขึ้นภายในทรวงอกเขาอย่างฉับพลัน! ราวกับถูกสว่านนับหมื่นเจาะเข้าไปที่หัวใจ ความเจ็บปวดอันรุนแรงนี้ทำเอาเขาต้องใช้มือกุมจุดตันเถียนของตัวเองไว้ แม้แต่คนที่อดทนอย่างเขา ก็ยังรู้สึกทรมานจนได้ยินเสียงกัดฟันแน่น
“เอือก…”
ทันใดนั้น เขาก้มหน้าลงอย่างไม่ลังเล และพบว่า…
ตราประทับรูปดอกบัวสีดำบริเวณหน้าอกเขาเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว!
หลังจากกล่องจิ๋วหายไป เขาก็นึกว่าดอกบัวสีดำนี้เป็นแค่รอยสักธรรมดา แต่นาที มันกลับเคลื่อนไหวราวกับมีชีวิต ในขณะที่เขาไม่ได้ขยับกล้ามเนื้อแม้แต่น้อย
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้านนอกตอนนี้ ลำแสงลำหนึ่งถูกยิงเข้าใส่ฉู่เทียนอีอย่างรวดเร็ว เพียงเสี้ยววินาทีหลังจากนั้น เสียงคำรามอันเสียดแหลมของจิ้งจอกก็ดังขึ้น และลำแสงนั้นก็สลายไปทันที
ฉู่เทียนอีแสยะยิ้มเยือกเย็นออกมา ในมือถือปุ่มกดสีดำขลิบ เขาจ้องมองเข้าไปในดวงตาของจูหงเสวี่ยที่หวาดกลัวคู่นั้น
“ไหนบอกมาซิว่า ฉันกล้าดีหรือพอไม่?” ร่างชราของฉู่เทียนอีค่อยๆ เดินไปข้างหน้าทีละก้าว เขาพูดซ้ำอีกรอบ “ฉันกล้าดีพอหรือยัง?”
จูหงเสวี่ยนิ่งเงียบครู่หนึ่ง ก่อนตะโกนขึ้นเสียงแหลม “ไอ้แก่เจ้าเล่ห์!”
จากนั้น กรงเล็บขนาดใหญ่ก็เงื้อขึ้นหมายจะตะปบเข้าไปที่ฉู่เทียนอี
ครั้นเมื่อกรงเล็บจวนจะถึงตัวฉู่เทียนอีที่ยืนอยู่ไม่ขยับ มันก็หยุดชะงักลง แถมยังสั่นงั่ก
“หยุดซะ… แล้วฉันจะปล่อยพวกแกไป!”
ฉู่เทียนอีคลี่ยิ้มเหลือบมองไปยังผู้ฝึกตนคนอื่นๆ “พวกนายต้านทานมันได้หรือไม่?”
“ไม่ครับ” หั่วหยุนเอ่ยตอบพร้อมสำลักเลือดออกมา “ตบะห่างกันเกินไป แม้จะห่างแค่นิดหน่อย แต่พลังก็ต่างกันราวฟ้ากับเหว… อย่างมากสุด ผมสามารถต้านทานมันได้แค่ครึ่งชั่วโมง”
ฉู่เทียนอีพยักหน้า จากนั้นก็คลี่ยิ้มพลางกดปุ่มนั่นในมือ “ถ้างั้นรบกวนทุกท่านร่วมทางไปกับฉันหน่อยแล้วกัน”
“เกิดมาใช่ว่าเป็นสุข ตายจากใช่ว่าเป็นทุกข์” อิ่งซาหัวเราะดังลั่น “ได้ลากปีศาจโบราณอันดับเก้าที่เกือบจะถึงขั้นจินตันลงไปสู่ยมโลกด้วย ฉันยังต้องกลัวอะไรอีก!”
“อาวุธชีวภาพงั้นเหรอ…” ผู้เฒ่าสามเกลอยืนยิ้มเจื่อน “นึกไม่ถึงเลยว่า พวกเราทั้งสามที่ใช้ชีวิตกันอย่างระมัดระวังมาทั้งชีวิต จะต้องมาจบชีวิตลงที่นี่…”
ไม่มีใครยอมถอยแม้แต่คนเดียว!
ร่างแปดร่างที่แลดูเปล่าเปลี่ยว เหมือนกระบี่แหลมคมที่พร้อมเผชิญหน้ากับร่างปีศาจขนาดใหญ่สองเมตรยืนอยู่เบื้องหน้า ไม่มีใครก้าวถอยหลังแม้แต่ก้าวเดียว!
สีหน้าของจูหงเสวี่ยเคร่งเครียดขึ้นเป็นครั้งแรก
ถ้ามวลมนุษย์ครองโลกใบนี้ด้วยความสัมพันธ์ทางการทูตเพียงอย่างเดียวก็คงเป็นเรื่องที่ไม่น่ากลัว แต่ที่น่ากลัวก็คือพวกเขาใช้วิทยาศาสตร์พัฒนาเทคโนโลยีอยู่เรื่อยมา จนคิดค้นบางสิ่งที่สามารถคุกคามผู้ฝึกตนขั้นจู้จีได้เลยทีเดียว!
ตัวอย่างเช่น ปุ่มกดที่อยู่ในมือฉู่เทียนอี
หลังจากกดไปสามวินาที สถานการณ์จะเปลี่ยนไป!
“นายกลัวตายงั้นเหรอ…” จูหงเสวี่ยพ่นลมหายใจอย่างโล่งอก “ถ้างั้น ต่อจากนั้น… ฉันจะทำให้พวกนายรู้สึกว่า ความตายมันเป็นแค่เรื่องเพ้อฝัน”
“คิดจะแกล้งฉันงั้นเหรอ? นี่แก… นั่น… นั่นมัน! ?”
ยังไม่ทันสิ้นสุดเสียง ร่างจิ้งจอกขนาดใหญ่ของมันก็เริ่มบิดงอ น้ำเสียงเจือแววหวาดกลัว “เหล้า แห่ง เซียน?!”
“คุณเอาของแบบนี้มาที่นี่ได้ไง?!”
“วิ่ง!” อิ่งซาตะโกนขึ้นอย่างสุดเสียง “ทุกคน รีบออกห่างจากที่นี่เดี๋ยวนี้!”
ตกใจยังไม่ถึงหนึ่งวินาที ผู้ฝึกตนและคนธรรมดาทุกคนต่างวิ่งตะบึงไปที่ประตูใหญ่อย่างอลหม่าน!
ฝูงชนมากมายเคลื่อนตัว เพราะไม่มีใครกล้าอยู่ตรงนี้ต่อแม้แต่วินาทีเดียว แถวคนยาวเหยียดระคนเสียงร้องไห้ดังระงม ผู้ฝึกตนพกอาวุธ บ้างก็เอายันต์อาคมแปะตัว บัดนี้ต่างพุ่งจู่โจมเข้าไปที่จูหงเสวี่ยที่ยืนซวนเซอยู่บริเวณประตูใหญ่
“ไอ้แก่เจ้าเล่ห์!” จูหงเสวี่ยตะโกนขึ้นเสียงแหลม พลางจ้องมองผู้ฝึกตนที่ดูร่อยหรอบางตา น่าจะมีตระกูลผู้ฝึกตนประมาณสี่ห้าพันตระกูลกำลังหนีออกไปทางประตูด้านหลังจูหงเสวี่ยเห็นจะได้ แต่ตัวเธอกลับขยับไม่ได้!
ผู้ที่โดนเหล้าแห่งเซียนเล่นงาน ร่างกายจะไร้ซึ่งพลังปราณ แขนขาอ่อนปวกเปียกไร้เรี่ยวแรง ขนาดระดับตบะอย่างเธอ ก็ยังโดนเล่นไปหลายนาที!
ร่างปีศาจของเธอ ทำให้เธอไม่ตายก็จริง แต่ว่า…
ผู้ฝึกตนขั้นจู้จีที่อยู่ด้านหน้าทุกคน รวมถึงฉู่เทียนอี กลับไม่ขยับแม้แต่น้อย!
“ยามมีชีวิตเป็นวีรบุรุษ ยามตายจากเป็นวิญญาณวีรชน…” หั่วหยุนที่ปกติดูไม่เอาไหน บัดนี้กลับกำดาบไว้ในมืออย่างเหนียวแน่น ใบดาบบิ่นๆ ชี้ไปทางจูหงเสวี่ย “ฉันหั่วหยุนมีชีวิตมาแล้วหนึ่งร้อยแปดสิบปี จวนใกล้ลงโรงอยู่เต็มทน… หวาซย่าให้ชีวิตและหล่อเลี้ยงฉันมา จนฉันได้อยู่ในตำแหน่งที่เหนือกว่าคนนับหมื่น เช่นนั้นฉันก็ไม่ควรหนีเอาตัวรอดไปคนเดียวใช่หรือไม่?”
คำพูดฟังดูเหมือนสบายๆ และกลับแฝงด้วยความเด็ดเดี่ยวไม่กลัวตาย
เขารู้ดี หากตอนนี้พวกเขาหนีออกไป พวกผู้ฝึกตนระดับล่างพวกนั้นจะต้องตายอย่างแน่นอน!
จูหงเสวี่ยที่บ้าระห่ำที่ไม่ทางปล่อยพวกเขาไปแม้แต่คนเดียวแน่นอน! ดูจากสิ่งที่มันเคยทำเมื่อก่อนหรือฉายาของมันก็รู้แล้ว!
ความเย้ายวนของขั้นจินตันอยู่เบื้องหน้าทั้งที! แล้วมันจะปล่อยให้รอดไปได้อย่างไร
หั่วหยุนอย่างเขาไม่มีทางถอยอย่างแน่นอน! ไม่มีทาง!
“ฉันคงเป็นวิญญาณวีรชนกับเขาไม่ได้หรอก แต่ถ้าเป็นวิญญาณเร่ร่อน ฉันก็พร้อมจะไปเป็นเพื่อนสหายหั่วหยุน” ผู้เฒ่าสามเกลอหัวเราะเสียงดัง ก่อนหันไปหาฉู่เทียนอี “คุณไปเถอะ”
แววตาของฉู่เทียนอีดูลุ่มลึกลง สุดท้ายก็พยักหน้า “งั้นฉันไปแล้ว ขอทุกคนโปรดวางใจ ฉันจะเป็นคนดูแลคนรุ่นหลังและตระกูลอื่นๆ แทนเอง”
“ในเมื่อมีวันของตระกูลฉู่ ก็ต้องมีวันของตระกูลพวกคุณเหมือนกัน”
“แน่นอน หากรองผู้ว่าการอย่างคุณไม่รับผิดชอบ แล้วใครจะรับผิดชอบล่ะ?” หั่วหยุนแหงนหน้าหัวเราะ “ไปซะ! คุณคนเดียว มีค่าเท่ากับพวกเราสิบคน!”
ฉู่เทียนอีนิ่งเงียบ หลังจากค้อมตัวคำนับ ก็จากไปทันที
ดวงตาของจูหงเสวี่ยแดงก่ำ!
ตอนนี้มันขยับหางไม่ได้แม้แต่น้อย ลำพังแค่ยืนก็ยืนไม่อยู่แล้ว!
“หึ คนรุ่นหลังงั้นเหรอ!!!” เสียงตะหวาดดังกึกก้องทั่วสนามประลองหนึ่งในใต้หล้า “เหลือพวกสวะพวกนั้นไว้ทำไม… ฉันจะใช้วิญญาณของพวกมันเป็นดวงไฟประทีปส่องนำทางไปยังจุดสูงสุด! ชดเชยเวลาหนึ่งร้อยปีที่เหี่ยวเฉาของฉัน!”
“พวกที่ขัดขวางวิถีแห่งจินตันของฉัน ฉันจะตามจองล้างจองผลาญตลอดไป!”
“ฉันไม่คิดจะมีชีวิตต่อไปแล้ว!” อิ่งซาง้างกระบี่ขึ้นพลางหัวเราะดังลั่น “เจ้าปีศาจ รับไปซะ!”
“ตู้ม!” พลังที่ ถูกปล่อยออกจากกระบี่ถูกป้องกันด้วยใบไผ่ขนาดใหญ่ เป็นใบไม้ที่ใหญ่เท่าตัวคน มีเส้นใยสีเลือดแตกแขนงอยู่ทั่วใบ จูหงเสวี่ยกัดฟันพูดขึ้น “พวกเด็กน้อย… ฉันแค่ต้องอดทนอีกหนึ่งนาที ถ้าฉันจับพวกแกมาถลกหนังไม่ได้ เวลาหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมาของฉันก็คงไร้ประโยชน์!”
“ฮ่าๆ ! คิดว่าฉันกลัวเหรอ!” หั่วหยุนยิ้มร่าพลางตวัดดาบออกไป บังเกิดเป็นแสงเพลิงอัคคีขึ้น จนได้กลิ่นไหม้อวลตลบ
“เจ้าปีศาจ! แกฆ่าคนราวกับมดปลวก ชาติหน้าไม่ตายดีแน่!” ผู้เฒ่าสามเกลอเปล่งแสงออกมาทั่วทั้งร่าง “พวกเราสามพี่น้องพร้อมตกนรกสู่ยมโลกไปพร้อมกับแกแล้ว!
“ฆ่าหนึ่งคนคือการฆาตรกรรม สังหารหมู่คือวีรกรรม! ฉันฆ่ามาแล้วหลายแสนคน แล้วจะต้องกลัวตายด้วยเหรอ” จูหงเสวี่ยแผดเสียงดังลั่นชวนให้หวาดหวั่น
ไม่มีใครทันสังเกตด้านในกำแพงพลังปราณ ตอนนี้มีเสียงทุ่มต่ำของผู้ชายกำลังร้องครวญครางในลำคออยู่ นั้นเป็นน้ำเสียงที่เจ็บปวดถึงขีดสุด และไม่สามารถอดกลั้นเอาไว้ได้
“อ้าก! !” สวีหยางอี้เอากุมหน้าอกพลางแหงนหน้าคำราม
นี่ไม่ใช่ความเจ็บปวดจากภายนอกเหมือนกับถูกดาบฟัน แต่มันเป็นความเจ็บปวดจากภายในที่ทรมานเหมือนจะจับร่างของเขาฉีกเป็นสองชิ้น!
หมัดทั้งสองข้างกำแน่น กล้ามเนื้อท่อนบนทุกมัดพองขึ้น เส้นเลือดเขียวคล้ำผุดขึ้นเหนือผิว ทั่วทั้งร่างกายอาบโชนไปด้วยเหงื่อกาฬ สิ้นแล้วหนทางการสลัดความเจ็บปวด
เนื่องจากเมื่อครู่ เขาเกิดตระหนักและรู้แจ้งถึงคำว่า “ผู้ฝึกตน” ด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก เป็นความเข้าใจที่ไม่ได้บัญญัติไว้ในหนังสือ จากนั้น ความเจ็บปวดนี้ก็ตามติดตัวเขาเสมือนเป็นเงา! เจ็บปวดเหมือนถูกมีดนับหมื่นกำลังเฉือนเนื้ออยู่ตลอดเวลา!
ไม่ว่าจะเป็นจูหงเสวี่ยที่สังหารผู้คนเพื่อบรรลุตบะ จนถึงขั้นบุกรุกเทียนเต้าอย่างบ้าระห่ำ หรือว่าจะเป็นบรรดารุ่นพี่ขั้นจู้จีที่ยอมสละชีวิตตัวเองเพื่อปกป้องหลายร้อยตระกูลจากมณฑลหนานทง… ทั้งหมดล้วนสมกับเป็นผู้ฝึกตนที่แท้จริง!
ผู้ที่กระทำในสิ่งที่พึงกระทำ และละวางในสิ่งที่พึงละวาง ถึงจะเป็นผู้ฝึกตนที่แท้จริง!
ตอนนี้ สวีหยางอี้ล้มหมอบลงบนพื้น ตัวของเขาโค้งโก่งดุจคันธนู มือขวายืนพื้น มือซ้ายกุมหน้าอก เหงื่อเย็นกลั่นออกมาจากความเจ็บปวดไหลผ่านคางเขาก่อนร่วงลงบนพื้นทีละหยด ต่อให้เขาพยายามข่มกลั้นความเจ็บปวดแล้วก็ตาม เสียงครวญครางก็ยังเล็ดลอดผ่านไรฟันที่ขบกันแน่นออกมาอยู่ดี
ปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้!
ก่อนที่ความเจ็บปวดจะพรากการรับรู้ของเขาไป เขารู้แล้วว่าผู้ฝึกตนทั้งเจ็ดคนด้านนอกกำลังจะสละตัวเองเป็นเหยื่อล่อ เพื่อให้ตัวเขาได้อยู่รอด!
ปีศาจร้ายลำดับที่เก้าที่ฆ่าชีวิตผู้คนหลายแสนคนตลอดหลายปีที่ผ่านมา! ปีศาจที่อยู่มาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิงมาจนถึงยุคปัจจุบัน!
หากตอนนี้เขาไม่พยายามประคองสติตัวเองเอาไว้ อีกประเดี๋ยวคงจบเห่แน่!
จะต้องออกไปจากที่นี่ให้ได้ เขาส่ายหัวที่เจ็บปวดจวนใกล้หมดสติของตัวเอง กัดฟันแน่น มือข้างหนึ่งกุมหน้าอก อีกข้างก็พยายามตะเกียกตะกายอยู่บนพื้น
ในที่สุด เขาก็เจอก้อนหินมีเหลี่ยมก้อนหนึ่ง จากนั้นก็คว้ามันมาแทงเข้าที่แขนซ้ายของตนอย่างไม่ลังเล!
“อ้าก…” เสียงร้องดังขึ้น ลูกกระสุนเฮงซวยของฉู่เจาหนานยังคงติดอยู่ที่หน้าอกเขา เขาไม่สามารถแทงขาของตัวเองได้ เพราะยังต้องใช้หอบสารร่างตัวเองหนี
ความเจ็บปวดของแขนซ้ายแผ่ซ่านไปถึงสมอง แบบนี้เรียกว่าใช้พิษถอนพิษหรือเปล่า เพราะตอนนี้ความเจ็บปวดภายในร่างกายทุเลาลงบ้างแล้ว
เขาไม่ทันสังเกตว่าเห็นเลือดที่กระเซ็นเปื้อนหน้าอกเขาตอนนี้ถูกตราประทับรูปดอกบัวสีดำบนแผงอกเขาดูดกลืนเข้าไป และ…
หลังจากดอกบัวดูดกลืนเลือดเข้าไป มันก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีขาว!
เขาปาดเหงื่อบนหน้าผากตัวเอง และกะจะเรียกฉู่เจาหนานให้ตื่น ทว่าอยู่ๆ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปทันที
พลังชีวิตก้อนหนึ่งแตกสลายแล้ว… หัวใจของสวีหยางอี้คล้ายโจนขึ้นกลางอก ลำคอละล่ำละลัก
นี่มันพลังชีวิตของอิ่งซา…
เมื่อครู่นี้ มันแตกสลายไปแล้ว
อิ่งซา ตายแล้ว
เขาไม่มีเวลามาเสียใจ และยิ่งไม่มีเวลามาจินตนาการถึงสถานการณ์ด้านนอก เพราะว่าพลังชีวิตก้อนที่สองก็แตกสลายตามมาติดๆ
“รุ่นพี่หวาง…” ภายในใจเขารู้สึกหนักอึ้ง ตอนที่คนพวกนี้เปิดศึกแย่งชิงตัวเขา บางคนดูรังควานไม่ปล่อย บางคนดูไม่เอาไหน บางคนดูเยือกเย็นและร้ายกาจ แต่พอถึงช่วงเวลาสำคัญที่สุด พวกเขากลับลุกขึ้นต่อต่อสู้
พวกเขาใช้ชีวิตตัวเองเป็นบทเรียนให้กับสวีหยางอี้
ว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของผู้ฝึกตนคนหนึ่ง
วิถีของตัวเอง แก่นแท้ของตัวเอง รากเหง้าของตัวเอง
พลังชีวิตก้อนที่สอง… ก้อนที่สาม… จนถึงก้อนสุดท้าย เหลือเพียงก้อนสุดท้าย!
“เพร้ง…” ตอนนี้ กำแพงพลังปราณทั้งสี่ด้านพังทลายลงแล้ว
สายตาทุกคู่ ณ ที่แห่งนั้นพลันจ้องมองมาที่ตัวเขาทันที
เขากัดฟันกรอด มือพลางกุมหน้าอก ดวงตาแดงก่ำของเขามองเห็นคนสภาพใกล้ตายติดอยู่ที่กรงเล็บของจูหงเสวี่ย ซึ่งก็คือหั่วหยุน
เขามองไม่เห็นคนอื่นๆ พลังชีวิตที่หลงเหลืออยู่ในอากาศ เป็นที่ประจักษ์ว่าพวกเขาจากไปเรียบร้อยแล้ว
จูหงเสวี่ยตกใจ หั่วหยุนก็ตกใจเช่นกัน
จูหงเสวี่ยนึกไม่ถึงว่าที่นี่ยังมีคนเหลืออยู่
หั่วหยุนตะโกนกรีดร้องขึ้นในใจ!
ลืมไปเสียสนิท… เนื่องจากทุกอย่างเกิดขึ้นฉับพลัน เขาจึงลืมไปเลยว่าสวีหยางอี้ถูกตัวเองขังไว้อยู่
จะเสียคนๆ นี้ไปไม่ได้!
หั่วหยุนมีลางสังหรณ์ว่า ในอนาคต เขาคนเดียวมีค่าเท่ากับขั้นเลี่ยนชี่เป็นแสนคน!
“เจ้าหนู…” ดวงตาของหั่วหยุนค่อยๆ พร่ามัว ความรู้สึกที่ร่างกายของตนกำลังแตกสบายคืบคลานเข้ามา แต่ แววตาของเขากลับสะท้อนพลังออกมาอย่างไร้ขีดจำกัด “สักวันหนึ่ง… จง… แก้แค้น… ให้… พวกฉัน… ทั้ง… แปดคน…ด้วย!”
พลังเฮือกสุดท้ายถึงคราก่อกำเนิดขึ้น
สวีหยางอี้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ตอนนี้เลือดในทรวงอกของเขากำลังสูบฉีดอยู่อย่างพลุ่งพล่าน!
เขาไม่ครุ่นคิดแม้แต่น้อย น้ำเสียงของเขาสั่นเครืออย่างรุนแรง เขาพูดทุกถ้อยคำอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ “ฉัน ขอสาบานว่า…”
“ชีวิตหลังจากนี้ของสวีหยางอี้คนนี้ จะต้องฆ่าไอ้ปีศาจตัวนี้ให้ได้!”