ยุทธเวทผลาญปีศาจ - เล่มที่ 2 บทที่ 53 อาวุธราชันย์ (1)
“ฮ่าๆๆ!” จูหงเสวี่ยหัวเราะเสียงดังลั่นจนอากาศสั่นกระเพื่อม “น้ำหน้าอย่างแกเนี่ยนะ?!”
“อย่างแกเนี่ยนะ!?”
“ขั้นเลี่ยนชี่ที่ต้อยต่ำอย่างแกเนี่ยนะ?”
“ตอนที่ฉันบำเพ็ญเพียรฝึกตนอยู่ที่หุบเขาชิงฉิว บรรพบุรุษแกยังไม่เกิดด้วยซ้ำ!”
หั่วหยุนก็ยิ้มออกมาเช่นกัน แต่ไม่ได้เป็นเพราะตลก แต่รู้สึกโล่งใจต่างหาก
ผู้ฝึกตนที่มีพลังดุจปีศาจ ผนวกกับคัมภีร์แห่งจินตัน สำหรับเขา นี่ไม่ใช่เรื่องตลก
แต่น่าเสียดาย… เขาไม่มีโอกาสได้เห็นหลังจากนี้แล้ว
“หนีไปซะ!” ในช่วงวินาทีนั้น เขาตะโกนขึ้นเสียงดังลั่น จูหงเสวี่ยรีบผละกรงเล็บออกจากเขาทันที!
“ระเบิดทะเลของตัวเองงั้นเหรอ?!” จูหงเสวี่ยมองหั่วหยุนอย่างตกใจ ไม่นึกว่าเขาจะทำถึงขนาดนี้
เมื่อครู่นี้ อยู่ๆ เธอก็รู้สึกถึงพลังปราณที่กำลังพลุ่งพล่านอยู่ในตัวของอีกฝ่าย มันเป็นสัญญาณของการระเบิดทะเลลมปราณของตัวเอง!
สวีหยางอี้ขบฟันแน่น ไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบกระโจนไปที่ประตูใหญ่ที่อยู่ด้านหลังจูหงเสวี่ยทันที ทั้งๆ ที่หางของมันยังปิดกั้นอยู่!
เพิ่งจะก้าวเท้าได้แค่ก้าวเดียว ก็เจ็บร้าวไปทั่วร่างกาย รู้สึกเจ็บอย่างสุดขั้วหัวใจ มันเป็นผลจากการต่อสู้กับฉู่เจาหนาน ราวกับคลื่นสมุทรโถมซัดใส่ร่างกายเขาอย่างจัง!
เขากัดฟันแน่น ดวงตาแดงก่ำ ก้าวเท้าถอยหลังไปหนึ่งก้าว โน้มตัวมาด้านหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็พุ่งตัวไปที่ประตูอย่างสุดแรง
โอกาส มีเพียงเสี้ยววินาทีนี้เท่านั้น!
หั่วหยุนสละชีวิตตัวเองเพื่อแลกกับเวลาเพียงเสี้ยวนาทีนี้มา ตอนนี้ไม่ใช่เวลาแห่งการแก้แค้น! แต่เอาไว้รอหลังจากนี้ รอเวลาที่เขาบรรลุขั้นจู้จี และย่างเข้าสู่ขั้นจินตัน ค่อยกลับมาแก้แค้น
“ตู้ม!” ไม่ถึงสองวินาที กลุ่มควันคล้ายดอกเห็ดระเบิดปะทุขึ้นด้านหน้าจูหงเสวี่ย เสียงแผดร้องดังขึ้น สวีหยางอี้ไม่หันกลับไปดูแม้แต่น้อย เขาพยายามพุ่งตัวไปที่ประตูอย่างสุดแรง
คลื่นแรงระเบิดอันรุนแรงสั่นกระเพื่อมเป็นวงกว้าง สวีหยางอี้ถูกแรงกระแทกราวกับถูกค้อนทุบเข้าทางด้านหลัง เลือดทะลักออกจากปากอย่างไม่อาจต้านทาน
หั่วหยุนตายแล้ว
บัดนี้ รุ่นพี่ขั้นจู้จีทั้งแปดคนดับสลายตายสิ้น พวกเขาต้านทานจูหงเสวี่ยอย่างไม่ท้อถอย เพื่อเปิดเส้นทางหนีให้ผู้คน
เร็วกว่านี้!
ต้องเร็วกว่านี้!
หั่วหยุนอุตส่าห์ทำเพื่อตัวเขาถึงขนาดนี้ เขาจะต้องหนีไปให้ได้!
ใกล้แล้ว… ใกล้หนีพ้นแล้ว เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทั้งที่ตัวเองไม่มีพลังปราณเหลืออยู่ แต่กลับวิ่งได้เร็วถึงขนาดนี้ อีกยี่สิบเมตร ก็จะถึงประตูบานใหญ่หลายสิบเมตรนั่นแล้ว!
หลุดออกไปได้ ก็มีหวังมีชีวิตรอดต่อไป!
“ฟุบ…” นาทีนี้ เงาร่างเล็กๆ พลันปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขาทันที
“กึก…” เขาหยุดฝีเท้าลงในบัดดล รีบถอยหลังไปเร็วพลัน เขารู้ทันทีว่านี่คือจูหงเสวี่ยในร่างมนุษย์
เพราะว่ากลิ่วคาวเลือดและแรงกดดันอันน่ากลัวจากเธอเหมือนก่อนหน้านี้ไม่มีเปลี่ยน
“รีบร้อนอะไรกัน?” มือเล็กๆ ฟาดเข้ามาพร้อมกับเสียงหัวเราะเสียงเล็กเสียงน้อย “เขาแค่หลอกนายเล่นเฉยๆ แค่การระเบิดตัวเองของขั้นจู้จีระดับกลาง จะทำให้ฉันได้รับบาดเจ็บได้งั้นเหรอ? ช่างน่าตลกสิ้นดี”
“อั่ก!” มือเล็กๆ ที่ดูไร้เรี่ยวแรง แต่กลับหนักหน่วงราวกับพลังที่เคลื่อนภูเขาทั้งลูกได้! สวีหยางอี้ตั้งแขนไขว้กันขึ้นด้านหน้าหมายป้องกันตัว ทว่ากลับถูกซักจนกระเด็นลอยไปหลายสิบเมตร
“กึก!” เหมือนกับกระดูกทั่วร่างกายถูกหัก เขาเจ็บปวดจนต้องเอามือกุมหน้าอก บาดแผลที่หั่วหยุนรักษาให้ก่อนหน้านี้ฉีกขาดอีกครั้ง ซ้ำยังสาหัสกว่าเดิม
“แคก…” เขาไอออกมาเป็นเลือด เหมือนว่าการโจมตีนี้จะหักกระดูกเขาไปแล้วครึ่งตัว เขาพูดไม่ได้เลยสักนิด เพราะเลือดกรอกอยู่เต็มปาก
เขาพยายามประคองตัวยืน แต่พอยันตัวเองขึ้นได้ ก็ถูกเท้าเล็กๆ ข้างหนึ่งเหยียบลงมากลางแผ่นหลัง
“ตุบ!” หนักหน่วงราวกับถูกค้อนหลาร้อยกิโลกรัมทุบใส่ เขาถูกเหยียบจมคาฝ่าเท้าของอีกฝ่าย ขยับไม่ได้แม้แต่น้อย
จูหงเสวี่ยไม่ทันสังเกต ขณะที่สวีหยางอี้ถูกการโจมตีนี้เล่นงาน ประตูทวารทั้งเจ็ดทั่วร่างกายเขาเกิดส่องแสงสีทองวูบวาบขึ้นมา ก่อนหายไปอย่างรวดเร็ว
ประหนึ่งภายในร่างกายเขา… ซ่อนบางสิ่งที่กำลังส่องแสงสีทองอยู่
“ถ้าให้ฉันเดา นายคงเป็นผู้ชนะของปีนี้สินะ” จูหงเสวี่ยไม่สนใจคราบเลือดที่ปนเปื้อนกับดินตมตามร่างกายเขาแม้แต่น้อย เธอยิ้มกริ่ม “นายดูสิ ตอนนี้ไม่เหลือใครแล้ว พวกที่ขัดขวางก็ตายหมดแล้ว ครั้งนี้ฉันฆ่าคนได้แค่ไม่กี่พันคนเอง ฉันควรจะคิดดอกเบี้ยกับนายไหมนะ?”
ขาเรียวยาวขาวนวลปรากฏขึ้นสู่สายสวีหยางอี้ จูหงเสวี่ยพลันนั่งยองๆ ใช้มือเชิดคางเขาขึ้นมา และลูบไล้เส้นผมเขาอย่างอ่อนโยน “ขอถามนายคำถามหนึ่ง”
สวีหยางอี้เงยหน้าสบตาเธอ จูหงเสวี่ยใช้มือซ้ายเท้าคางตัวเอง ส่วนมือขวา มีกล่องหยกใบหนึ่งกำลังหมุนอยู่
พอเห็นสายตาเขา จูหงเสวี่ยก็เอ่ยถามทันที “อยากได้สิ่งนี้งั้นเหรอ? ไม่ได้นะ เพราะเจ้าหั่วหยุน มันหวงสิ่งนี้จะเป็นจะตาย… จะต้องเป็นของดีแน่ๆ”
นั่นมันของฉัน… สวีหยางอี้หลับตาลง
เป็นครั้งแรกที่เขาอยากฆ่าคนขนาดนี้
เขาอยากตัดหัวเจ้าปีศาจตัวนี้ แล้วเอามันไปวางกลางสนามประลองหนึ่งในใต้หล้า ใช้เลือดของมันเป็นเครื่องบูชาสักการะให้แก่เหล่าดวงวิญญาณวีรชนทุกคนที่จากไปในวันนี้
“ทำตัวดีๆ อย่าได้เป็นคนโลภมากเลย” สายตาของเธอจ้องมองกล้ามหน้าอกของอีกฝ่าย และค่อยๆ ต่ำลงมาจนถึงกล้ามหน้าท้อง พร้อมกับยื่นเท้าออกไปสะกิด “นายคิดว่า พวกเขาเป็นพวกหน้าโง่ไหม? ทั้งที่รู้ว่าตัวเองต้องตาย แต่ก็ยังเข้ามาขวางฉันอีก”
ลูกกระเดือกสวีหยางอี้กระเพื่อมขึ้นลง เปลือกตาปิดสนิท และไม่ยอมปริปากพูด
ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากตอบ แต่กลับแปลกใจกับร่างกายที่ไร้ความเจ็บปวดใดๆ แล้ว!
ซ้ำยังรู้สึกร้อนลุ่มดั่งไฟสุ่มจนน่าตกใจ
จูหงเสวี่ยไม่รู้ว่าตอนนี้ร่างกายของเขาไร้ซึ่งพลังปราณ แต่ตัวเขาเองรู้ดี
“เช็ดแม่ง…” ในที่สุด ก็มีพลังเสี้ยวหนึ่งผุดขึ้นมา เขาสบถคำด่าอันคุ้นเคยออกมาอย่างอดไม่ได้
“กึก” ยังไม่ทันสิ้นสุดเสียง จูหงเสวี่ยก็จับมือเขาขึ้นมาและหักนิ้วเขาไปหนึ่งนิ้ว “ไหนลองพูดอีกทีซิ”
“พวกเขาเป็นพวกหน้าโง่ใช่ไหม?”
ความเจ็บปวดจากปลายนิ้วแล่นเข้ามาในห้วงสมองสวีหยางอี้ แต่เขากลับไม่ร้องออกมา เขาจ้องมองดวงตาอันไร้อารมณ์ของจูหงเสวี่ย กล้ามเนื้อบริเวณแก้มของเขาเคลื่อนไหวเป็นคำพูดชัดถ้อยชัดคำ “แกได้ยินชัดเจนแล้ว”
“เช็ดแม่ง” เขายิ้มขึ้นอย่างดุร้าย มุมปากแต่งเติมไปด้วยเส้นโค้งที่เปี่ยมด้วยความสุข “F-u-c-k y-o-u”
“สะใจไหม อีตัว”
หากต้องตาย สวีหยางอี้ไม่มีทางนั่งเข่ารอความตายอย่างแน่นอน!
จูหงเสวี่ยถอนหายใจเสียงแผ่ว แหงนหน้าจ้องมองตัวหนังสือหนึ่งในใต้หล้าที่เต็มไปด้วยรอยแตกระแหง “ตอนที่ฉันเจอนายครั้งแรก ฉันรู้สึกว่านายมีกลิ่นบางอย่างที่ฉันคุ้นเคยยิ่งนัก มันเป็นกลิ่นที่ฉันขยะแขยง… ดังนั้น ฉันขอเตือนนายเอาไว้ก่อน…”
เธอจับคางของสวีหยางอี้บิดไปมาเหมือนคิดอะไรบางอย่าง ก่อนค่อยๆ พูดขึ้น “ผ่านมาหลายยุคแล้ว มันคืออะไรกันนะ… แต่ช่างเถอะ ฉันนึกไม่ออก”
เธอปล่อยมือออจากคางสวีหยางอี้ จากนั้นก็จับมือเขาขึ้นมาอีกครั้ง คลี่ยิ้ม และหักนิ้วเขาอีกหนึ่งนิ้วอย่างหน้าตาเฉย “ทำตัวดีๆ และตั้งใจฟัง ฉันจะให้โอกาสนายอีกหนึ่งครั้ง จงพูดว่านายเป็นทาสรับใช้ฉัน และก้มหน้าลงไปจูบเท้าฉัน แล้วฉันจะมอบความสุขให้นาย”
“เหอะๆ…” สวีหยางอี้แค่นเสียงหัวเราะในลำคอ พลางฟังเสียงนิ้วตัวเองที่โดนหักเหมือนตะเกียบไปทีละนิ้ว แม้จะเจ็บ แต่ก็ไม่ส่งเสียงครวญคราง
ไฟอันเร้าร้อนในร่างกาย… เริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ หากเขาไม่อยู่ในสภาพเลือดอาบตัวแบบนี้ ป่านนี้อีกฝ่ายคงจับความเปลี่ยนแปลงในร่างกายเขาได้แล้ว
เหมือนกับภายในร่างกายมีอะไรบางอย่างใกล้จะปริออกมา โดยที่ผิวหน้า กล้ามเนื้อ และกระดูกของเขาไม่อาจกักสิ่งนั้นเอาไว้ได้
ตอนนี้ เขาไม่มีเรี่ยวแรงพูดอะไรต่อแล้ว…
สีหน้าของจูหงเสวี่ยนิ่งลง
เธอถอนหายใจออกบางๆ “ถ้างั้น… ไปหลับฝันดีที่ยมโลกของนายแล้วกัน”
จากนั้น มือข้างหนึ่งก็ทะลวงเข้าไปที่หัวใจของสวีหยางอี้ทันที
รูม่านตาของสวีหยางอี้หดเกร็ง แต่เขากลับไม่รู้สึกอะไร รู้สึกแค่ว่าหัวใจตัวเองถูกบีบขยี้ เลือดหยุดไหลเวียน จากนั้นร่างกายก็เริ่มเย็นลง
ตัวเองกำลังจะตายงั้นเหรอ…
ดวงตาอันขุ่นมัวของเขาเจือแววไม่ย่อท้อ
จะตายแบบนี้จริงๆ เหรอ?
เพิ่งได้รับชัยชนะมา… ก็ถูกปีศาจพรรค์นี้ฆ่าตายที่นี่งั้นเหรอ?
“ฟึบ!” ทันใดนั้น แสงสว่างสีทองได้ระเบิดออกมาจากทั่วร่างกายเขา!
แสงสีทองอำพันส่องสว่างเจิดจ้าท่ามกลางสนามประลองหนึ่งในใต้หล้า! ราวกับเทพบุตรมาจุติบนโลกก็ไม่ปาน มันสว่างออกมาจากทะเลลมปราณของเขา!
ไม่เพียงแต่สวีหยางอี้ที่รู้สึกตกใจ แม้แต่จูหงเสวี่ยก็อึ้งชะงันไปเช่นกัน!
นี่มันอะไรกัน
สวีหยางอี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขารับรู้เพียงแต่ว่า…
ภายในเวลาเพียงไม่กี่วินาที ร่างกายของเขากำลังฟื้นฟูอย่างน่าเหลือเชื่อ
พลังการฟื้นฟูตัวเองในลักษณะที่อยู่เหนือกว่ายาทั้งปวงที่เขารู้จักเสียอีก! แทบจะภายในชั่วพริบตา เขาก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม!
“นี่มัน…” เขายกมือตัวเองขึ้นมาดูอย่างใจลอย มองดูสิ่งเหนือจินตนาการที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าอย่างตกใจ
จูหงเสวี่ยอ้างปากค้าง อยู่มาหลายร้อยปี เธอไม่เคยเห็นปรากฏการณ์มหัศจรรย์แบบนี้มาก่อน
เธอขยี้หัวใจดวงนั้นเองกับมือ แล้วเป็นแบบนี้ได้อย่างไร? !
“หวืด…” ตอนนี้ แสงสีทองเริ่มสว่างเจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ! ในที่สุด สวีหยางอี้ก็รู้ตัวว่าแสงสีทองนี้มาจากไหน
มาจากทะเลลมปราณเขานั้นเอง และในเวลาเดียวกัน ได้ปรากฏกล่องสีทองขนาดเท่าฝ่ามือขึ้นรอบตัวเขาจำนวนหนึ่ง ซึ่งกำลังสั่นอยู่อย่างบ้าคลั่ง
เสียงหวืดๆ ดังงึมงำคล้ายบทสวดดังมาจากกล่องพวกนั้น ฟังเหมือนมั่วซั่ว แต่กลับมีท่วงทำนอง ริ้วแสงแต่ละริ้วราวกับดวงตะวันทอแสง ณ ปลายขอบฟ้ายามสนธยา งดงามเกินคำบรรยาย ดูบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์จนต้องเหลียวมอง!
นั่นเป็นพลังแห่งธรรมชาติที่ยากจะพรรณนา ทั้งที่รู้ว่าแสงเหล่านี้ไร้ซึ่งพิษภัย แต่กลับไม่กล้าแตะต้องแม้แต่น้อย
กล่องหยกที่อยู่กับจูหงเสวี่ยสั่นเครืออย่างรุนแรง เธอรีบคว้ามันและถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว เธอสัมผัสได้ว่าภายในกล่องมีบางสิ่งที่น่ากลัวเป็นยิ่งนัก น่ากลัวถึงขนาดทำให้เธอเสียวสันหลัง! อีกทั้ง… ยังเป็นความรู้สึกที่เธอคุ้นเคยเป็นอย่างดี!
ใช่แล้ว… ไม่ผิดแน่! ตอนที่เจ้าหนูมาถึงสาขาย่อยที่นี่ เหตุผลที่ทำให้เธอจ้องมองเขา ก็เป็นเพราะความรู้สึกนี้นี่เอง!
เป็นความรู้สึก…ที่ชวนคลื่นไส้ แต่กลับรู้สึกเก่าแก่ แต่ก็ยังแฝงด้วยอันตรายอยู่!
เคยเห็นมาก่อนงั้นเหรอ?
เมื่อห้าสิบปีก่อนเหรอ? ไม่ใช่สิ… หรือร้อยปีก่อน?
ใช่แล้ว! เมื่อหนึ่งร้อยสิบสามปีก่อน เจ้าขันทีจากวังในเฮงซวยนั่นเอาบางสิ่งออกมาเพื่อจะฆ่าฉัน มันเป็นความรู้สึกเดียวกันเลย!
ความทรงจำในอดีตยังคงไหลเวียนอยู่ในร่างกาย และมันตื่นขึ้นมาในห้วงความคิดของเธอก็ตอนที่สัญชาตญาณตามธรรมชาติของเธอทำงาน
“อาวุธราชันย์!!!” ทันใดนั้น เธอตะโกนขึ้นเสียงแหลมทันที และรีบหันหลังกลับไปเพื่อวิ่งหนีอย่างไม่ลังเล
ในเวลาเดียวกัน บนชั้นหนึ่งของเทียนเต้าสาขาย่อยที่เกลื่อนไปด้วยศพ มีหุ่นยนต์หน้าคนขนาดใหญ่โผล่ออกมาอย่างเพดาน ดวงตาทั้งสองข้างของมันมีตัวเลข 01 หมุนกลิ้งกรอกอยู่
“แรงสั่นสะเทือนของพลังปราณ… ประเมินค่าไม่ได้… ระดับความแข็งแกร่งของพลังปราณ… ประเมินค่าไม่ได้… ระยะเวลาใช้งานของพลังปราณ… 3-5 วินาที…”
“เข้าสู่ขั้นตอนการค้นหา… ตรวจสอบสิ่งมีชีวิตในสนามประลองหนึ่งในใต้หล้า เริ่ม บันทึก…”
สิ้นสุดเสียงของหุ่นยนต์ มันก็อ้าปากกว้าง จากนั้นเครื่องร่อนใบไม้สีเขียวขนาดไม่ถึงครึ่งฝ่ามือก็ลอยออกมา
ใบไม้สีเขียวเหล่านั้นเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนสายตาจับไม่ทัน มองเผินๆ เหมือนสายฟ้าสีเขียวแฉลบผ่าน พวกมันเคลื่อนที่ไปยังสนามประลองหนึ่งในใต้หล้า!
ในเวลาเดียว ดวงตาที่กระจายอยู่ทั่วหวาซย่าทั้งสิบคู่ที่เหมือนหลับลึกมายาวนานก็ลืมขึ้นพร้อมกัน จากนั้น คำพูดคำหนึ่งก็ดังออกมาจากปากพวกเขาอย่างแทบจะพร้อมเพรียงกัน
“อาวุธราชันย์?!”