ยุทธเวทผลาญปีศาจ - เล่มที่ 2 บทที่ 54 อาวุธราชันย์ (2)
จูหงเสวี่ยไม่เผ่นหนี
เพราะมือของสวีหยางอี้คว้าจับมือเธอเอาไว้แน่น!
สวีหยางอี้ไม่ได้เอ่ยปากพูดคำใด ดวงตาแดงเรื่อได้แต่จ้องมองใบหน้าที่หวาดกลัวของจูหงเสวี่ย
เขาไม่รู้ว่าตัวเองทำแบบนี้ทำไม ทุกอย่างมันเป็นไปเองอย่างไร้การควบคุม
แสงสีทองส่องสว่างจากภายในร่างกาย พลังปราณอันแข็งแกร่งไร้เทียมทานอย่างไม่เคยมีมาก่อนไหลเวียนอยู่ในเลือดเนื้อ และอัดแน่นอยู่ในมวลกระดูก!
เขาแทบไม่อยากเชื่อว่านี่คือร่างกายของตัวเอง และก็รู้ว่านี่ไม่ใช่ตบะของตัวเองอย่างแน่นอน!
แต่ว่า… แล้วมันอย่างไรกัน?
เขารู้แค่ว่าตัวเขาแข็งแกร่งมาก
ตัวเขาในตอนนี้แข็งแกร่งที่สุด!
แข็งแกร่ง… จนสามารถต่อกรกับจูหงเสวี่ยได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ!
“ไม่นะ… เจ้าหนู ปล่อยมือเดี๋ยวนี้!!!” ไม่รู้ว่าจูหงเสวี่ยนึกอะไรออก เธอตะโกนเสียงแหลม ท่าทีที่ดูสบายใจก่อนหน้านี้หายไปอย่างสิ้นเชิง แผงขนสีขาวเริ่มปกคลุมขึ้นที่มือของเธอ และค่อยๆ ลามขึ้นขาไปเรื่อยๆ
เธอกำลังเปลี่ยนเป็นร่างปีศาจอีกครั้ง!
อณูแสงสีขาวจากพลังปราณส่องประกายระยิบระยับ ทั่วทั้งร่างของสวีหยางอี้ส่องแสงสีทองราวกับเทพเจ้าลงมาจุติที่โลกมนุษย์ก็ไม่ปาน มือของเขาจับนิ้วของจูหงเสวี่ยไว้
“พรึบ!” ขนสีขาวเหลือบเงินปกคลุมทั่วทั้งร่างจูหงเสวี่ยภายในพริบตา ร่างจิ้งจอกขนาดใหญ่พลันปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้หาได้มีท่าทีสง่างามน่าเกรงขามไม่ เธอไร้ซึ่งท่าทีสบายอารมณ์ หากแต่มีเพียงเสียงตะโกนกรีดร้องอย่างลนลาน
“ไปตายซะ!!!”
หางจิ้งจอกสีขาวเงินตั้งชู กรงเล็บจากอุ้งเท้าด้านขวามือพุ่งออกไป แต่กลับถูกอีกฝ่ายคว้าจับเอาไว้
เธอสลัดออกจากอีกฝ่ายไม่พ้น
ทั้งที่พลังของเธอบรรลุขั้นจินตันแล้ว แต่กลับสลัดออกจากผู้ฝึกตนขั้นเลี่ยนชี่ระดับต้นไม่พ้น!
“ไปตายซะ!” จิตสังหารของจูหงเสวี่ยปะทุขึ้นท่วมท้น หางทั้งเก้าแผ่ออก ปากอ้ากว้าง จากนั้น ผลึกแก่นพลังสีม่วงม่วงคล้ายประกายสายฟ้าก็ลอยออกมา!
ขนาดของมันเท่าลูกบอลธรรมดา เมื่อเทียบกับขนาดร่างของจูหงเสวี่ยแล้วมันดูเล็กเสียยิ่งกว่าเล็กเสียอีก แต่ว่าภายนอกมีเยื่อบางๆ และแขนงเส้นเลือดปกคลุมอยู่ พร้อมกับริ้วพลังปราณสีม่วงห่อหุ้มอยู่รำไรดูคล้ายกับกระแสไฟฟ้า ภายในบรรจุพลังอันไร้เทียมทานอยู่อย่างอัดแน่น!
นี่คือเน่ยตัน หรือผลึกแก่นพลัง
เป็นผลึกแก่นพลังที่เกือบจะเทียบเท่าระดับจินตัน เมื่อมันบรรลุขั้นจินตัน แขนงเส้นเลือดภายนอกจะหายไป และกลายเป็นแก่นปีศาจอย่างแท้จริง
อีกก้าวเดียวเท่านั้น เธอก็จะบรรลุขั้นจินตันแล้ว
ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่กล้าบุกรุกเข้ามาก่อเหตุนองเลือดในเทียนเต้าสาขาย่อยแบบนี้หรอก
สวีหยางอี้ในตอนนี้ทำให้เธอเธอรู้สึกถึงอันตราย ดังนั้น เมื่อเธอเจอ “สิ่งมีชีวิต” แบบนี้ สัญชาตญาณแรกคือตอบโต้!
และการตอบโต้นี้ เป็นการเปิดทางสู่ทางหนี!
นั่นคืออาวุธราชันย์… อาวุธราชันย์เชียวนะ! จูหงเสวี่ยตะโกนแผดร้องขึ้นภายในใจ ทำไมวัตถุที่หายสาบสูญไปหลายปีถึงมาอยู่ในมือของเขาได้?!
หนี… สิ่งแรกที่ต้องทำคือต้องหนี! ต่อให้ผ่านมาแล้วหนึ่งร้อยกว่าปี แต่เธอก็จำสภาพตัวเองได้ขึ้นใจว่าตอนที่มีระดับตบะอยู่แค่ขั้นจู้จี ตัวเองหนีตายจากน้ำมือของเจ้าขันทีคนนั้นมาได้อย่างไร!
และตอนนี้ดูเหมือนเจ้าสวีหยางอี้คนนี้จะแข็งแกร่งกว่าเจ้าขันทีคนนั้นอีก!
“ทรงพลังมาก…” สวีหยางอี้ไม่สนใจผลึกแก่นพลังที่ลอยออกมาแม้แต่น้อย เขาได้แต่มองสำรวจร่างกายตัวเอง
แสงสีทองเจิดจ้าส่องสว่างออกจากทุกอณูรูขุมขนและประตูทวารทั้งเจ็ดบนร่างกายเขา กล่องขนาดเท่าฝ่ามือใบนั้นลอยหมุนอยู่ด้านหน้าจุดทะเลลมปราณ ตัวเขาเองแทบไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้น และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตบะของตัวเองอยู่ในระดับอะไร
เพียงแค่เขากำหมัด กระแสลมรอบๆ ก็ถึงกลับเกิดแรงบีบอัดดัง “ฟุบ”
“เจ้ามีเวลาเพียงแค่สามห้วงลมหายใจ”
“เสียงใครกัน?” แว่วเสียงของใครบางคนแล่นเข้ามาในห้วงสมองเขา เขาจึงถามกลับขึ้นทันที
ไร้เสียงตอบรับ และตัวสวีหยางอี้ในเวลานี้เองก็ไม่มีอารมณ์มาฟังอีกฝ่าย
สามห้วงลมหายใจ… หมายถึงสามวินาทีงั้นเหรอ?
ความกระหายการต่อสู้ปะทุขึ้นในใจดุจภูเขาไฟระเบิด!
ชีวิตของคนหลายพันคน…
ชีวิตของรุ่นพี่ขั้นจู้จีทั้งแปดคน…
“มาชำระบัญชีซะ… นางตัวดี…”
ไม่จำเป็นต้องพูดคุยด้วยเหตุผลแล้ว
ต้องฆ่าทิ้งเท่านั้น!
วินาทีที่หนึ่ง!
“กระบวนท่าที่เก้าสิบ… สังเวยชีพ!” “กระบวนท่าที่แปดสิบสาม… เพลิงดารา!” “กระบวนท่าที่เจ็ดสิบ… จันทร์วารีไร้ช่อง!”
“แจ้งเตือน! แจ้งเตือน!” ตอนนี้ ณ ชั้นหนึ่งที่เกลื่อนไปด้วยซากศพและเลือดเจิ่งนอง ไฟสปอตไลท์ทุกดวงในเทียนเต้าส่องสว่างขึ้น น้ำเสียงอันไร้ความเป็นมนุษย์ดังขึ้น “พบพลังเกินรองรับ… พบพลังเกินรองรับ… ทำการสแกนตรวจสอบ…”
“จินตันระดับต้น… ระดับกลาง… ระดับปลาย… ระดับสมบูรณ์… แจ้งเตือน! แจ้งเตือน! ไม่สามารถสแกนต่อได้! ระดับพลังเกินมาตรฐานของเทียนเต้า! ระดับพลังเกินรองรับ!”
“โปรดยืนยัน ต้องการเปิดระบบทำลายล้างหรือไม่? โปรดยืนยัน ต้องการเปิดระบบทำลายล้างหรือไม่?”
“ไม่…” ในเวลาเดียวกัน น้ำเสียงหลายเสียงจากปากคนหลายคนก็ดังขึ้นพร้อมกันราวกับอยู่ในทั้งเดียวกัน ทั้งทีอยู่คนละที่
“จงบันทึกภาพที่เกิดขึ้นทั้งหมด” เสียงของคนๆ หนึ่งดังขึ้น “บันทึกเรื่องนี้ลงในข้อมูลระดับ S และห้ามปล่อยให้ข้อมูลเกี่ยวกับอาวุธราชันย์เล็ดรอดออกไปแม้แต่นิดเดียว!”
“ปิดช่องทางเข้าออกทั้งหมด อีกสิบนาทีฉันจะไปถึงที่นั่น”
ณ สนามประลองหนึ่งในใต้หล้า เงาร่างหนึ่งกำลังเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนสายตามองตามไม่ทัน เพียงเสี้ยววินาที เงาร่างนั้นก็โผล่ไปอยู่เหนือหัวจิ้งจอก
กระบวนท่าสังเวยชีพ เป็นกระบวนท่าที่ใช้เสริมพลังกระบวนท่าอื่น กระบวนท่าเพลิงดารา เป็นกระบวนท่าวิชาตัวเบาที่เร็วที่สุดเท่าที่เขาจำได้ตอนนี้ กระบวนท่าจันทร์วารีไร้ช่อง เป็นกระบวนท่าวรยุทธระดับกลางที่เขาอยากใช้มาตลอดแต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้ใช้!
ทุกคนต่างรู้ดีว่าวรยุทธ์ร้อยกระบวนท่าเป็นพลังยุทธเวทระดับต่ำ ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีใครสนใจร่ำเรียนฝึกฝนอย่างจริงจัง แม้แต่สวีหยางอี้เองก็จำได้แค่ยี่สิบสามสิบกระบวนท่าเท่านั้น และมีเพียงกระบวนท่าสังเวยชีพที่มีพลังมากสุด และผลข้างเคียงก็สูงสุดเช่นกัน
นาทีนี้ ราวกับเขาไม่ได้โคจรพลังปราณเพื่อใช้กระบวนท่าสังเวยชีพแม้แต่น้อย อีกทั้งความเร็วชั่วพริบตาก็ทำให้เขาประหลาดใจอยู่ไม่น้อย แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงเคลื่อนไหวอยู่อย่างต่อเนื่อง
บรรยากาศ ณ ที่แห่งนี้เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนเต็มไปด้วยความคึกคักสนุกสนาน
แต่ตอนนี้กลับมีซากศพ ชิ้นเนื้อ และคราบเลือดกระจายอยู่เต็มไปหมด!
แบบนี้เหมือนกับศึกของอาชูร่าชัดๆ ชีวิตผู้คนหลายพันชีวิตและรุ่นพี่ขั้นจู้จีอีกแปดคนถูกสังเวยไปต่อหน้าต่อตาเขา ดังนั้นเขาจึงทุ่มเทพลังทั้งหมดที่มีอัดลงไปในหมัดนี้!
“อั่ก!” เสียงกระแทกดังขึ้นอุดอู้ กะโหลกของจูหงเสวี่ยถูกซัดจนบุบลงไปเป็นร่องขนาดใหญ่!
แต่ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น!
กระบวนท่าจันทร์วารีไร้ช่องเป็นกระบวนท่าโจมตีต่อเนื่อง หลังจากหมัดแรกซัดเข้าไป กำปั้นของสวีหยางอี้ก็เงื้อขึ้นกลางอากาศ จากนั้นก็ระดมซัดหมัดระรัวอย่างไม่มีช่องว่าง!
ตามจุดสำคัญของกะโหลกจูหงเสวี่ยถูกโจมตีใส่อย่างหนักหน่วง ทำเอาเธอแผดส่งร้องครวญคราง เป็นครั้งแรกที่เห็นเลือดของเธอ อีกทั้งยังเป็นเลือดที่ไหลออกมาจากจุดสำคัญๆ ของร่างกาย!
“เจ้าหนู!!!” เสียงร้องเสียดแหลมของเธอรุนแรงจนเกิดเป็นคลื่นเสียงที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า คลื่นเสียงแผดไปกระทบวัตถุรอบข้างจนเกิดแรงระเบิดดังโครม เพดานหนึ่งในใต้หล้าเกิดรอยแตกร้าวราวกับจวนจะพังทลายลงมาอยู่เต็มทน!
แต่ครั้นเมื่อเธอเงยหน้ามองสวีหยางอี้ รูม่านตาของเธอหดเล็กลงฉับพลัน!
เพดานหนึ่งในใต้หล้า ณ ตอนนี้ ถูกบดบังด้วยแสงสีทองสุกสว่าง และมีเงาร่างบางอย่างอยู่ด้านหลัง!
นั่นเป็นร่างของมนุษย์ประหลาดที่มีหัวเป็นเสือดาว ร่างเป็นมนุษย์กำลังขี่อยู่บนหลังสัตว์ประหลาดหัวหมูร่างม้า
มองเห็นหน้าตาไม่ชัดเจน ทำให้ทำได้เพียงแต่จับสัมผัส ปราดตามองไปก็เห็นเพียงแสงเลือนรางพร่ามัว
มือข้างหนึ่งม้วนคัมภีร์ไม้ไผ่ อีกข้างกำหมัด และกำลังค่อยๆ พุ่งลงมาหาเธออีกครั้ง!
“ซู่!” วินาทีนี้ แผงขนทั่วทั้งร่างของเธอตั้งชูฟูฟ่องราวกับถูกใบพัดของเฮลิคอปเตอร์พัดเป่าจนลู่ไปด้านหลัง ดวงตาต้องแรงลมจนปรี่ปรือ!
กรงเล็บของเธอจิกลงบนพื้นอย่างฉับพลันจนเกิดเป็นรอยร้าวคล้ายใยแมงมุม!
หมัดที่พุ่งลงมาถือว่าไม่เร็ว แต่เธอก็ขยับตัวไม่ได้
“เป็นไป… ได้อย่างไร!” เธอเงยหน้าตะโกนเสียงแหลม “ฉันหนีไปไหนไม่ได้แล้ว! นี่มันสัตว์ประหลาดอะไรกันแน่!”
“ตู้ม!”
น้ำเสียงยังไม่ทันสิ้นสุด หมัดเปล่งแสงสีทองนั้นก็ซัดเข้าที่หัวของเธออย่างจัง!
เนื่องจากเกิดแรงกระแทกอย่างมหาศาล หัวของเธอกับขากรรไกรจึงกระทบกันอย่างรุนแรงจนไรฟันแตกกระจายไปเป็นแถบ!
เลือดสดพุ่งกระเซ็น! กะโหลกยุบลงไปจนเห็นได้ชัด!
หมัดนี้ซัดเธอจนตาเบลอหัวหมุน เท้ายืนไม่อยู่กับที่! ไม่นาน ร่างขนาดใหญ่ก็ล้มฟุบลงบนพื้นจนฝุ่นควันตลบ!
วินาทีที่สอง!
สวีหยางอี้ไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้พักหายใจแม้แต่น้อย การโจมตีครั้งที่สองนั้นรวดเร็วดุจสายฟ้า!
เป็นการโจมตีแสนธรรมดาที่พุ่งเข้ามาจากทางด้านหลัง ซึ่งมาพร้อมกับเงาร่างที่รายล้อมด้วยแสงสว่างสีทอง!
“เป็นมันนั่นเอง…” วินาทีนี้ จูหงเสวี่ยผุดนึกถึงตำนานเรื่องเล่าเรื่องหนึ่ง
ร่างมนุษย์หัวเสือดาว ขี่หลังอาชาหัวหมู…
แต่ก็สายไปแล้ว หมัดเปล่งแสงสีทองซัดเข้าไปที่ผลึกแก่นพลังอย่างไม่ลังเล!
การโจมตีนี้เล็งไปที่ผลึกแก่นพลังโดยเฉพาะ
คิดจะหลอมแก่นปีศาจขึ้นมางั้นเหรอ?
งั้นฉันจะทำลายผลึกแก่นพลังแกทิ้งไปก่อนแล้วกัน!
“แว้ก!!!” เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นอย่างน่าเวทนา ร่างขนาดใหญ่ราวสองเมตรกว่าของจูหงเสวี่ยล้มหงายลงบนพื้น เลือดสดกระอักออกจากปากสาดเป็นสาย!
ผลึกแก่นพลังมีความสำคัญต่อการฝึกตนของปีศาจ วินาทีนี้จูหงเสวี่ยรู้สึกเหมือนร่างของตัวเองเป็นเหมือนแผ่นเหล็กที่รองรับแรงทุบจากค้อนขนาดใหญ่อย่างบ้าระห่ำ!
เธอไร้ซึ่งกะจิตกะใจจะสู้รบ ตั้งแต่เธอนึกออกว่าเงาร่างมายาที่อยู่ด้านหลังสวีหยางอี้เป็นใคร ความกระหายการต่อสู้ก็เหือดหายไปทันที!
ล้อเล่นกันรึไง… นั่นมันเป็นแค่… ตำนานเรื่องเล่า!
ทุกคนในหวาซย่าต่างรู้ดีว่าเป็นแค่เรื่องเล่าเท่านั้น!
“แว้ก!” เสียงร้องโหยหวนของจิ้งจอกเพศเมียดังขึ้น ถูกเล่นงานอ่วมขนาดนี้ เธอไม่คิดจะตอบโต้กลับแม้แต่น้อย มีแต่ต้องหนีเท่านั้น
น่ากลัว มันน่ากลัวเกินไปแล้ว!
ไม่นึกว่าตำนานเรื่องเล่านั้นจะเป็นเรื่องจริง!
มีชีวิตมาร่วมสองร้อยกว่าปี เธอเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก!
หนี! มีแต่ต้องหนีเท่านั้น อยู่ต่อมีแต่ต้องตายสถานเดียว!
ขณะที่หันหลังหมายหลบหนี ร่างของเธอก็หดเล็กลงกลายเป็นร่างสายน้อยในชุดกี่เพ้าที่กำลังตะเกียกตะกายหนี มือเท้าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเขม่าควัน มีไอดำๆ ล้อมรอบ
วินาทีที่สาม!
เงาประหลาดท่ามกลางดวงแสงสีทองปราก ฏขึ้นกลางอากาศอีกครั้ง!
โดยมีร่างของสวีหยางอี้ยืนอยู่เบื้องหน้า ใบหน้าของเขากำลังจ้องมองใบหน้าอันหวาดกลัวของสาวน้อยอยู่
“ตู้ม!”
“ครั้งนี้ สำหรับการที่แกอยากฆ่าฉัน” สวีหยางอี้รับรู้ถึงสัมผัสของหมัดตัวเองที่ทะลวงเข้าไปในช่องท้องอันนิ่มหยุ่นของอีกฝ่าย เขาไม่เปิดโอกาสให้เธอวิงวอนขอร้องแม้แต่น้อย ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวอีกฝ่ายก้มคอพับลงบนไหล่ของสวีหยางอี้ บัดนี้ใบหน้าของสวีหยางอี้มีแต่ความเย็นชา ไม่มีความหวั่นไหวต่อใบหน้าอันงดงามของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
จูหงเสวี่ยถูกซัดเข้ากลางลำตัวจนหลังโค้งโก่ง ปากอ้าค้าง ดวงตาถลึงออกนอกเบ้า
เป็นแค่ขั้นเลี่ยนชี่…
เป็นแค่พวกขั้นเลี่ยนชี่ชั้นต่ำ…
เป็นแค่ขยะที่เธอสามารถขย้ำให้ตายได้ตลอดเวลา!
แต่ไม่นึกเลยว่า… ตัวเธอเองจะถูกอีกฝ่ายเล่นงานปางตายภายในเวลาสามวินาทีแบบนี้!
นาทีนี้ ใบหน้าของเธอเริ่มเบี้ยวบูด ดวงหน้าหน้าสลับไปมาระหว่างปีศาจกับมนุษย์ ประเดี๋ยวเป็นหูจิ้งจอก ประเดี๋ยวเป็นหูมนุษย์ ประเดี๋ยวเป็นรูม่านตาเส้นขีด ประเดี๋ยวเป็นรูม่านตาทรงกลม
ผิวหนังตามร่างกายสับเปลี่ยนเป็นแผงขนและผิวหนังมนุษย์ไปมาอย่างรวดเร็ว เส้นผมเปลี่ยนสีไปมาระหว่างขาวกับดำ ประเดี๋ยวเล็บงอกเล็บหด
ครั้นเมื่อผลึกแก่นพลังได้รับความเสียหาย… วิญญาณของเธอก็ตกอยู่ในอันตรายอย่างใหญ่หลวง!
เพียงหมัดเดียว ทำเอาเธอแทบกลายร่างกลับเป็นร่างเดิม!