ยุทธเวทผลาญปีศาจ - เล่มที่ 2 บทที่ 55 อาวุธราชันย์ (3)
จูหงเสวี่ยไม่มีเวลาตอบสนองแม้แต่น้อย
เพราะว่าต่อมาอีกฝ่ายก็หายไปแล้ว!
“หายไปไหนแล้ว!” ไอสีดำระเหยออกจากทั่วทั้งร่างของจูหงเสวี่ย เธอแผดเสียงเสียดแหลม “ออกมาสิ! โผล่หัวออกมา!”
แสงสีทองส่องสว่างไปทั่วทุกซอกทุกมุมในสนามประลองหนึ่งในใต้หล้า นาทีนี้ทั้งเขาและเธอเปรียบเหมือนผู้กล้าที่แข็งแกร่งแห่งยุคสมัยประจันหน้ากัน เตรียมตัวเผด็จศึก
“เตรียมตัวตายซะ!” จูหงเสวี่ยตะเบ็งเสียงตะโกนพลางพุ่งมือซ้ายออกไป ขณะที่ยื่นมือออกไป ขนาดมือก็เริ่มใหญ่ขึ้น และกลายเป็นกรงเล็บจิ้งจอกยาวหลายสิบเมตรในที่สุด!
ขณะที่กวาดกรงเล็บออกไป ปลายเล็บก็ขูดไปตามผนังอัฒจันทร์จนเป็นร่องลึก
“ไปตายซะ!” เสียงของเธอดุดันเหนือสิ่งอื่นใด เธอกวาดกรงเล็บออกไปอย่างสุดแรง
“ไอ้เด็กเส็งเคร็ง!” ขณะเดียวกัน ลูกบอลพลังปราณสีดำก็ควบแน่นอยู่บนมือขวา จากนั้นเธอก็ขว้างมันออกไป!
“โครมๆๆ!” สนามประลองหนึ่งในใต้หล้าพังทลายไปแล้วครึ่งหนึ่ง! เศษกระเบื้องนับไม่ถ้วนถล่มลงมาอย่างไม่ขาดสาย
ช่างเป็นความบ้าคลั่งที่น่ากลัวเหลือเกิน แต่หารู้ไม่ว่าเธอใช้ความบ้าคลั่งนี้กลบเกลื่อนความหวาดกลัวสุดขีดภายในใจ
และแล้ว หางตาเธอก็เหลือบไปเห็นเงาร่างสีทองแฉลบผ่านไปอย่างรวดเร็ว
“ฟุบ!”
แม้จะมองเห็นแล้ว แต่ในตอนนี้เธอก็ยังทำอะไรไม่ได้
ทันใดนั้น สวีหยางอี้กระโดดออกมาจากทางด้านหลังของเธอพร้อมกับงอเข่าพุ่งเข้ากระแทกเข้ากลางหลังเธออย่างจัง หินรอบข้างเกิดรอยแตกร้าวขึ้นเนื่องจากแรงกระแทกที่แผ่ซ่านออกมา เลือดสดที่พุ่งออกจากปากจูหงเสวี่ยสาดกระเซ็นเต็มพื้น
เสียงกระดูกหักดังลอยมาจากกระดูกสันหลังของจูหงเสวี่ย สวีหยางอี้ได้ยินมันอย่างชัดเจน แต่ก็ไม่รู้สึกชะล่าใจแต่อย่างใด
“ครั้งนี้ สำหรับชีวิตผู้คนหลายพันชีวิต”
ไม่พอ…
นี่ยังไม่สาสม!
เลือดที่ไหลเวียนอยู่ภายในห้องหัวใจเดือดพล่าน เหมือนกำลังส่งเสียงคำราม แค่ไม่กี่หมัดแค่นี้มันยังไม่พอ!
ศักดิ์ศรี หน้าที่ และความรับผิดชอบของผู้ฝึกตน
เพียงแค่วันเดียว เขาได้ตระหนักและเรียนรู้ใจความที่แท้จริงของคำพวกนี้ แต่ก็ต้องแลกด้วยชีวิตของคนหลายพันคน
ตอนนี้ถึงเวลาที่ปีศาจต้องชำระหนี้แล้ว
พลังทั้งหมดในตอนนี้มาจากไหนล้วนไม่สำคัญ ที่สำคัญก็คือ เขาในตอนนี้จะทำตามคำมั่นที่ให้ไว้กับหั่วหยุน คือปลิดชีพปีศาจตัวนี้ด้วยมือตัวเอง!
จากนั้น เด็ดหัวมันวางไว้กลางสังเวียนหนึ่งในใต้หล้า เพื่อเป็นเครื่องเซ่นบูชาให้เหล่าผู้ฝึกตนที่แท้จริง
“เหอะๆ … หึๆๆ …” เสียงหัวเราะดังอันขมขื่นดังออกมาจากปากจูหงเสวี่ยที่ถูกสวีหยางอี้กดหัวอยู่ ตอนนี้ผมเผ้าของเธอกระเซอะกระเซิงยุ่งเหยิง มือของเธอที่ปูดโปนด้วยเส้นเอ็นออกแรงยันพื้นจนแตกระแหง! เธอเค้นแรงดีตัวขึ้นทันที “เจ้าหนู วันนี้ ไม่ฉันก็แกต้องตายกันไปข้าง!”
สภาพของเธอในตอนนี้เหมือนดั่งปีศาจร้าย ผมสีดำขลิบยุ่งเหยิงชโลมไปด้วยคราบเลือดจนดูสกปรก ใบหน้าอันงดงามเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลนและเลือดสด ซ้ำยังเบี้ยวบูดดูไม่เท่ากัน โดยรวมดูไม่หลงเหลือควาเป็นมนุษย์อยู่แม้แต่น้อย
“สำหรับครั้งนี้…” ขณะที่สวีหยางอี้กำลังจะซัดหมัดออกอีกหนึ่งครั้ง เขาเพิ่งรู้สึกตัวว่ารอบตัวเขาเกิดรอยแยกขนาดใหญ่ขึ้น
รอยแยกมิติ!
รอยแยกสีดำสนิทชวนให้รู้สึกพิศวง หากจะให้เปรียบเทียบ น่าจะประมาณว่าบรรยากาศรอบๆ เป็นเหมือนกระดาษ แล้วกระดาษแผ่นนี้ถูกฉีกออก
ประหนึ่งอากาศรอบๆ มีมวลความหนาเพิ่มเข้ามาก็ไม่ปาน และชั้นความหนานี้ก็ปรากฏรอยแยกสีดำพิลึกขึ้นมา ซึ่งตัวสวีหยางอี้เองก็ตกอยู่ระหว่างกลางรอยแยกสีดำนี้ และกำลังถูกแรงดูดประหลาดค่อยๆ ดูดเข้าไปข้างใน
โดยที่เขาไม่รู้ว่ามันเชื่อมต่อไปยังแห่งหนใด ไม่รู้ว่าข้างในมีอะไรอยู่บ้าง
ในเวลาเดียวกัน พลังปราณที่ท่วมท้นของเขาก่อนหน้านี้ ก็ค่อยๆ ลดลงประหนึ่งเกลียวคลื่นม้วนตัวกลับ
ความรู้สึกกดดันที่กดทับจูหงเสวี่ยอยู่เริ่มค่อยๆ ทุเลาลง เดิมทีเธอไม่คิดจะทุ่มเทต่อสู้อย่างสุดชีวิตอยู่ เมื่อเธอพยุงตัวเองลุกขึ้น ก็พบภาพที่น่าประหลาดใจ!
“เหอะ… เหอะๆๆ! ฮ่าๆๆๆ” เธอเงยหน้าหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “แกฆ่าฉันไม่ได้แล้วสินะ!”
“ไอ้สวะ! นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของแกแล้วแท้ๆ! เจอกันใหม่ครั้งหน้า ฉันนี่แหละ จะเป็นถลกหนังแกเอง!”
ในตอนนี้ สภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง เลือดไหลอาบทั่วร่างของเธอเหมือนกับพวกปีศาจบ้าคลั่งก็ไม่ปาน
ในขณะเดียวกัน ร่างของสวีหยางอี้ก็ค่อยๆ ถูกดูดเข้าไปในรอยแยกมิตินั่น
ทัใดนั้น บาดแผลก่อนหน้าก็ย้อนกลับมาเป็นเหมือนเดิมราวกับเวลาถูกย้อนกลับไป ความเจ็บปวดเกิดกว่าจะทนทำเอาเขากระอักเลือดออกมาอีกครั้ง
นี่มันอะไรกันแน่
เครื่องย้อนเวลาเหรอ?
หรือเป็นเครื่องเติมพลังปราณ?
ดูเหมือนจะเป็นไปได้ทั้งนั้น
บาดแผลเริ่มขยายใหญ่ขึ้นและสาหัสขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเขาเริ่มรู้สึกเหมือนกระดูกทั่วทั้งร่างถูกบดจนแหลกละเอียด จึงส่งเสียงร้องอิดโอยออกมาในที่สุด
“จำใส่กะลาหัวเอาไว้…” จูหงเสวี่ยตะโกนขึ้นเสียงพร่าแหบ “ไอ้สวะ… ทางที่ดีแกจงภาวนาอย่าให้ได้เจอฉันอีกครั้งจะดีกว่า”
สวีหยางอี้พยายามข่มความเจ็บปวดอันรุนแรงทั่วร่างกายลง ตอนนี้ร่างกายของเขายังพอหลงเหลือพลังปราณอยู่บ้าง เขาชี้นิ้วไปทางจูหงเสวี่ย และเค้นพลังปราณยิงเป็นลำแสงเล็กๆ ออกไป
จูหงเสวี่ยหยุดขำพลางตั้งการ์ดขึ้นมาป้องกัน
เมื่อลดการ์ดลง ทุกอย่างก็กลับคืนสู่สภาวะเงียบสงบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ไม่นะ… เธอกวาดสายตามองดูอย่างละเอียด รอยแยกมิตินั่นใกล้จะปิดสนิทแล้ว อีกทั้ง…
กล่องหยกที่บรรจุคัมภีร์วิชาเวทที่เธอได้ไปก่อนหน้านี้หายไปแล้ว!
นอกเหนือจากนี้… ผู้ชายที่หลับหมดสติคนนั้นก็หายไปเช่นกัน!
“กระบวนท่าที่แปดสิบเอ็ด… ปล้นนภาเปลี่ยนสุริยันต์…” ภายในรอยแยกมิติ สวีหยางอี้กับฉู่เจาหนานนั่งหลังประกบกัน ในมือของสวีหยางอี้ถือกล่องหยกอยู่
เขาคลี่ยิ้มขึ้นก่อนเป็นลมหมดสติไป
บาดแผลย้อนกลับไปเป็นเหมือนเดิม เหมือนตอนที่จูหงเสวี่ยตะปบเขาในยามที่ไร้พลังปราณจนไถลพื้นไปไกลหลายสิบเมตร
ตอนนี้เขาไม่อาจทนพิษบาดแผลได้ต่อแล้ว
หากตอนนี้เขาหมดกะจิตกะใจคิดต่อสู้ เขาคงตายไปตั้งนานแล้ว
ในมือเขาตอนนี้ยังคงถือกล่องหยกไว้ไม่ยอมปล่อย สิ่งนี้ถือเป็นเงินทุนตั้งต้นสำหรับเส้นทางผู้ฝึกตนของเขาหลังจากนี้
จูหงเสวี่ยยังคงยืนอึ้งงันอยู่ที่เดิม ขณะที่เธอกำลังจ้องมองรอยแยกมิติที่ค่อยๆ หายไป อยู่ๆ มุมปากก็ผุดรอยยิ้มชวนขนลุกขึ้น
“หึๆๆ …” เสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้น จากนั้นเธอก็เงยหน้าอ้าปากหัวเราะดังลั่น “ไปแล้วงั้นเหรอ… หนีไปได้ไม่เลวจริงๆ! ฮ่าๆๆๆ!”
ในที่สุด เธอก็รู้สึกโล่งอกลงเสียที แววตาของเธอกลับมาฉายแววเยือกเย็นขึ้นอีกครั้ง
“ไอ้สวะ… รอก่อนแล้วกัน…” เธอแสยะยิ้มอย่างเย็นชา “ไม่นึกว่าในตัวแกจะมีของพรรค์นี้อยู่… ต่อให้แกไม่ตามมาคิดบัญชีกับฉัน ฉันนี่แหละ จะตามไปคิดบัญชีกับแกเอง…”
จูหงเสวี่ยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก ก่อนกัดฟันอย่างเจ็บใจ ครั้งนี้พลาดท่าไป เสียเลือดไปอย่างไม่คุ้ม พลังของเจ้าหนูนั่นที่ระเบิดออกมาเฮือกสุดท้ายเล่นงานตัวเธอจนยืนไม่ไหว แต่แค่นี้ บ่มเพาะพลังสักสิบกว่าปีก็ค่อยๆ ฟื้นฟูสภาพร่างกายเธอได้อยู่
นึกไม่ถึงเลยว่าพวกมวลมนุษย์โสโครกและผู้ฝึกตนขั้นจู้จีจะไม่กลัวตายขนาดนี้…
นึกไม่ถึงเลยว่าฉู่เทียนอีจะมีเหล้าแห่งเซียน…
และที่พลาดท่าสุดก็คือ เธอไม่เฉลียวใจว่ายังเหลือคนอยู่ด้านในกำแพงพลังปราณอยู่สองคน! มิหนำซ้ำ หนึ่งในนั้นยังทำให้เธอผู้ซึ่งใกล้จะบรรลุขั้นจินตันบาดเจ็บสาหัสปานนี้!
ในยามปกติ ผู้ฝึกตนแค่ระดับนี้เธอสามารถฆ่าให้ตายได้เพียงแค่ลมหายใจเดียว!
แบบนี้ถือว่าเป็นความน่าอับอายของเธอเลยก็ว่าได้ ทั้งๆ ที่ใกล้จะบรรลุขั้นจินตันแล้ว แต่กลับถูกผู้ฝึกตนขั้นเลี่ยนชี่เล่นงานจนอ่วมขนาดนี้!
และที่สำคัญที่สุดก็คือ เธอบรรลุขั้นจินตันล้มเหลว และหลังจากนี้คำสั่งตามฆ่าจากกองกำลังทั่วหวาซย่าจะต้องตามมาแน่นอน! สร้างคดีใหญ่โตขนาดนี้ เธอคงต้องโทษประหารโดยการแล่เนื้อเป็นชิ้นๆ จนถึงแก่ความตายเป็นแน่! หากพวกยอดฝีมือตัวจริงของเผ่ามนุษย์ลงมือขึ้นมา ตัวเธอในสภาพเช่นนี้ก็หนีไม่พ้นอยู่ดี!
“พวกสวะ…”
เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อีกครั้ง จากนั้นร่างของเธอก็กลายเป็นหมอกสีดำ ก่อนสลายหายไปกลางสังเวียน
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านผ่านไปนานเพียงใด ท่ามกลางสังเวียนอันว่างเปล่าไร้ผู้คน อยู่ๆ พื้นหินบนสังเวียนก็สั่นคลอนขึ้นเบาๆ
“กึกๆๆ…” เสียงดังขึ้นราวกับทหารม้าจำนวนมากบุก จากนั้นเศษหินที่แตกกระจายเกลื่อนกลาดก่อนหน้านี้ก็ลอยกลับไปที่เดิมเหมือนกับวิญญาณที่หลุดออกจากร่างแล้วลอยย้อนกลับคืนร่างเดิม “กึกๆๆ” เหมือนตัวต่อไม้ที่ถูกมือไร้รูปร่างควบคุม หรือไม่ก็เหมือนกับเวลาที่กำลังย้อนกลับ เพราะไม่ถึงสามวินาที สนามประลองหนึ่งในใต้หล้าก็กลับมามีสภาพเหมือนเดิมอย่างกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ต่อมา เงาร่างมายาร่างหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้นมายังที่แห่งนี้ หากยังมีคนเหลืออยู่ที่นี่ เขาจะต้องตกตะลึงอย่างแน่นอน
เพราะว่า… ทั้งๆ ที่คนนี้ยืนอยู่เบื้องหน้า แต่กลับมองไม่เห็นรูปร่างหน้าตาเขาแม้แต่น้อย แม้แต่ส่วนสูงหรือรูปพรรณสัณฐาน
เขาเหมือนมนุษย์ต่างดาวที่อยู่คนละมิติ ไม่ดำรงอยู่บนโลกใบนี้ หรือไม่ก็มีพลังกล้าแกร่งเกินกว่าสรรพสัตว์ทั้งปวง
ท่ามกลางเศษเนื้อและเลือดเจิ่งนอง เขาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และได้แต่ใช้มือที่ดูเลือนรางของตัวเองคว้าจับลมในอากาศเบาๆ จากนั้น แว่วเสียงเจือแววสงสัยที่แยกไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชายก็ดังขึ้น “อาวุธราชันย์แห่งราชวงศ์หมิง?”
เงียบลงสักพัก เงาร่างก็ค่อยๆ เลือนรางลง “ใกล้จะบรรลุขั้นจินตันแล้วแท้ๆ… ถึงกับขนาดกางค่ายกลสกัดนภาเพื่อไม่ให้ฉันตรวจเจอเลยงั้นเหรอ ถือว่าตั้งใจไม่น้อย… แต่น่าเสียดาย เพื่อบรรลุขั้นจินตัน เธอถึงกับต้องเดินผิดทางเลยเหรอ…”