ยุทธเวทผลาญปีศาจ - เล่มที่ 2 บทที่ 56 ชีวิตล่องลอยเหมือนดั่งฝัน (1)
กลิ่นหอมหวนพัดโชยต้องปลายจมูก นั่นเป็นกลิ่นหอมของดอกไม้
สวีหยางอี้สูดจมูกเบาๆ แต่ก็แยกไม่ออกว่าเป็นกลิ่นหอมของอะไร มันเป็นกลิ่นหอมสดชื่นที่ยามได้สูดดมก็รู้สึกเหมือนหูตาและจิตใจผ่องแผ้วขึ้นมาในทันใด
ร่างกายเขาแข็งทื่อเหมือนท่อนไม้ที่กำลังล่องลอยอยู่ ความรู้สึกเย็นสดชื่นและเปียกชุ่มอันคุ้นเคยโอบล้อมอยู่ทั่วร่าง
มันคือน้ำนั่นเอง
ท่อนบนเปลือยเปล่าเกิดความรู้สึกจั๊กจี้แทะเล็ม โดยเฉพาะบริเวณบาดแผลที่รู้สึกเหมือนกับมีบางอย่างกำลังดูดตอดอยู่ไม่หยุด ซึ่งเขาคิดว่าน่าจะเป็นปลา
เปลือกตายกขึ้นเล็กน้อย ร่างกายพลันปราศจากความเจ็บปวดอย่างน่าเหลือเชื่อ
เขาลืมตามองท้องฟ้า ความรู้สึกหดหู่โจนจับขึ้นกลางใจทันที
พิธีจบการศึกษาครั้งนี้ เกิดเรื่องต่างๆ ขึ้นมากมาย… สุดท้าย จากบรรดาคนที่อยู่ที่นั่น เหลือเขาแค่เพียงคนเดียว
ไม่สิ… ยังมีฉู่เจาหนานอีกคน…
เมื่อไล่นึกถึงตรงนี้ เขาก็พบว่า กระสุนที่ค้างอยู่บริเวณอกได้หายไปแล้ว และเมื่อเขาลองโคจรพลังจิตเพื่อดูดซับพลังปราณก็พบว่า…
ที่แห่งนี้ไม่มีพลังปราณแม้แต่น้อย!
บนท้องฟ้าไม่มีนก ไร้ซึ่งเมฆ มีเพียงท้องฟ้าสีคราม และเมื่อเขากวาดสายตามองรอบๆ ก็ตกใจขึ้นมาทันที
เขาในตอนนี้ กำลังนอนแช่อยู่ในบึงบัวขนาดใหญ่!
ใหญ่เสียจนมองไม่เห็นขอบตลิ่ง กว้างสุดลูกลูกตา เป็นบึงบัวเขียวมรกตและใสสะอาด แต่ก็ลึกจนไม่เห็นก้นบ่อ
ก้านดอกบัวชูช่อขึ้นเหนือน้ำ มันส่ายโอนเอนตามแรงลม สีชมพูขาวเป็นแถบจรดขอบฟ้า บนผิวน้ำเต็มไปด้วยใบบัวที่มีหยดน้ำใสกลิ้งอยู่จนกลายเป็นพื้นใบบัวที่เรียงทับกันเป็นผืนผ้าใบสีเขียวอย่างไร้ที่สิ้นสุด ภาพเบื้องหน้าของเขาสะท้อนความงามอันน่าพิศวงของบึงบัวที่ปรากฏในบทกลอนโบราณออกมาได้อย่างน่าอัศจรรย์
ฉู่เจาหนานที่เขาลากมาด้วยหายตัวไปอย่างไม่เหลือแม้แต่เงา ท่ามกลางบึงบัวกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาแห่งนี้ ไร้ซึ่งเสียงกบเสียงนก ราวกับเป็นสถานที่ที่ถูกโลกทั้งใบทอดทิ้ง
ที่แห่งนี้มีเขาเพียงคนเดียว
ไม่เพียงเท่านี้ วินาทีต่อมา มือเขาก็พยายามควานหาอะไรบางอย่างพลันดวงตานิ่งค้างลง
กล่องหยกหายไปแล้ว!
คัมภีร์วิชาเวทที่จะช่วยให้เขาบรรลุขั้นจินตัน ซ้ำยังแลกมาด้วยชีวิต… บัดนี้หายไปจากมือเขาแล้ว!
เขาไม่ฉุกคิดแม้แต่น้อย ครั้นแล้วก็สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด และดำดิ่งลงไปในน้ำทันที
จะทำหายไม่ได้!
นี่เป็นจุดเริ่มต้นของเขา ฉะนั้นจะทำหายในที่แห่งนี้ไม่ได้!
ผู้ฝึกตนจำนวนไม่น้อยต่างไขว่คว้าอยากได้มา และยังมีผู้ฝึกตนอีกตั้งเท่าไรในรอบแย่งชิงตัวผู้ชนะที่เสนอทรัพย์สมบัติมหาศาลเพียงเพื่อต้องการจะได้คัมภีร์วิชาเวทเล่มนี้มา
แม้ตัวเขาเองจะปฏิเสธการเป็นศิษย์ของฝู่หยุนเจินเหริน แต่ถึงกระนั้นสิ่งนี้ก็เป็นของเขา และเป็นหนึ่งในตัวแปรที่จะกำหนดชีวิตเขาหลังจากนี้ จะปล่อยให้หายไปแบบนี้ได้อย่างไร!
ขณะดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ ใจเขาก็ยิ่งจมดิ่งไปตามๆ กัน
เพราะราวกับบึงนี้ลึกเสียจนไม่มีที่สิ้นสุด…
บึงบัวแห่งนี้เหมือนถ้ำน้ำลึกใต้สมุทรก็ไม่ปาน เขาพยายามกลั้นหายใจอย่างเต็มที่จนเส้นเอ็นเริ่มเกร็งขึ้นตามลำคอ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังมองไม่เห็นก้นบึงสักที
ผิวน้ำของบึงบัวเขียวมรกตกระเพื่อมตามแรงลม เมื่อมองลงไป นอกจากสีเขียวและสีเขียวแล้ว ก็ไร้ซึ่งร่องรอยของก้นบึงแม้แต่น้อย
“ให้ตายเถอะ!” สวีหยางอี้โผล่หัวขึ้นมาเหนือผิวน้ำ พักหายใจประมาณสิบวินาที เขากัดฟันอย่างเจ็บใจก่อนจะแหวกว่ายไปยังกอบัวใกล้ๆ
ตอนนี้ความเจ็บปวดเริ่มคืบคลานเข้ามาอีกครั้ง แต่ว่าความเจ็บปวดทางร่างกายนี้ไม่อาจเทียบเท่าความเจ็บปวดทางใจได้แม้แต่น้อย
เขาไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน พยายามทบทวนความจำของตัวเองแล้วแต่ก็ไม่มีที่แห่งนี้ผุดขึ้นมาในความทรงจำแม้แต่น้อย บึงบัวที่กว้างใหญ่เหมือนดั่งมหาสมุทรนี้เป็นบึงน้ำจืดอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ว่ามีทะเลสาบที่ไหนบ้างที่มีบึงบัวกว้างใหญ่ขนาดนี้
ท้องฟ้าแจ่มใสไร้เมฆ เขาทอดสายตาไกลออกไปก็มองไม่เห็นภูเขาสักลูก ไร้ซึ่งผืนแผ่นดิน จะบอกว่าที่นี่เป็นมหาสมุทรดอกบัวก็ยังได้
ในประเทศที่เขาอยู่คงไม่มีบึงบัวขนาดใหญ่แบบนี้เป็นแน่
เขาต้องการหาฝั่ง
หาฝั่งเจอก็เท่ากับมีคนอยู่ มีคนอยู่ เขาก็จะได้รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน และที่สำคัญกว่านั้นก็คือ…
เขาสามารถดำลงก้นบึงไปตามพื้นได้
ต่อให้ต้องพลิกบึงบัวแห่งนี้ เขาก็จะต้องหาคัมภีร์พลิกชีวิตของเขาเล่มนี้ให้เจอให้ได้!
ในชีวิตผู้ฝึกตนสามารถมีคัมภีร์วิชาเวทได้แค่เล่มเดียวเท่านั้น และประสิทธิภาพของวิชาเวทนี้จะเป็นตัวตัดสินความก้าวไกลของผู้ฝึกตนคนนั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ฝึกตนคนนั้นจะไม่มีโอกาสเปลี่ยนไปฝึกวิชาเวทสายอื่น แต่ว่าการเปลี่ยนสายฝึกวิชาเวทกลางคัน ไม่เพียงแต่ต้องปรับสภาพร่างกายใหม่แล้ว ยังต้องใช้ค่าใช้จ่ายมหาศาล นอกจากนั้นยังต้องพักฟื้นร่างกายหลังจากการปรับสภาพไปอีกยี่สิบปี
อย่าพูดถึงผู้ฝึกตนขั้นเลี่ยนชี่เลย ลำพังผู้ฝึกตนขั้นจู้จีก็ทนไม่ไหวถึงยี่สิบปี!
เขาว่ายมายังกอบัวกอหนึ่ง และพบว่าดอกบัวกอนี้มีดอกที่ใหญ่เป็นพิเศษ กลีบดอกน่าจะใหญ่ประมาณหนึ่งเมตรเห็นจะได้ ส่วนใบของมันก็ใหญ่เกือบสองเมตร บางใบก็ใหญ่ถึงสามสี่เมตร
หลังจากหยุดพักอยู่ตรงกอดอกบัวนี้สักพัก เขาก็มุดน้ำลงไปอีกครั้ง
เป็นเหมือนเมื่อกี้ไม่มีผิด เบื้องล่างยังคงมีแต่ใต้น้ำสีเขียวอันไร้ที่สิ้นสุด และมีรากบัวเต็มไปหมด
แต่ว่าในตอนนี้เอง ไม่รู้ว่าเขาตาฝาดไปหรืออย่างไร เขาเหมือนเห็นแรงสั่นกระเพื่อมมาจากน้ำ
เขากวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วอยู่ๆ เขาก็นึกสงสัยว่าตัวเองลงมาใกล้จะถึงก้นบึงแล้วเหรอ!
แต่เมื่อเพ่งสายตามองอย่างละเอียด หัวใจเขาก็สั่นระรัวไม่เป็นจังหวะ เขารีบกลั้นลมหายใจทันที เพื่อไม่ให้เกิดฟองอากาศ จากนั้นก็ว่ายขึ้นสู่ผิวน้ำอย่างระวังตัวที่สุด
เขาโผล่หน้าขึ้นมาเหนือผิวน้ำเหมือนกบ เกิดเป็นวงกระเพื่อมเหนือผิวน้ำนิดหน่อย จากนั้นก็ว่ายมาที่ใบบัวใกล้ๆ ก่อนกระโดดขึ้นไปใช้หูแนบใบบัว คอยฟังทุกการเคลื่อนไหวใต้ผิวน้ำ
นั่นไม่ใช่ก้นบึง
บึงบัวกว้างใหญ่ราวกับมหาสมุทรแห่งนี้มีบางอย่างอยู่…
เพราะเมื่อครู่… เขามองเห็นมันอย่างชัดเจน เงาสีเขียวเลื่อมนั้นคือ…
เกล็ดปลา!
เกล็ดปลายาวไร้ที่สิ้นสุด เป็นปลาสีเขียวเลื่อม เป็นแถบยาวจนไม่รู้ว่าไปจรดที่ตรงไหน!
ลึกใต้เท้าตัวเองลงไปร้อยเมตร มีสิ่งมีชีวิตน่ากลัวราวกับเทพมรณะตัวหนึ่งกำลังจำศีลอยู่ใต้น้ำอย่างเงียบๆ!
ตอนนี้เขาเหมือนอยู่บนหลังของสิ่งมีชีวิตตัวนี้!
“ครืด…” เสียงคลื่นน้ำดังลากยาวมาจากก้นบึงร่วมสิบนาที เนื่องจากอยู่ลึกมาก ก้านดอกบัวด้านบนจึงไม่พลิ้วไหวแม้แต่น้อย ต่อให้มันพลิ้วไหว ก็อาจจะมาจากแรงลม คงไม่มีใครทันสังเกตว่าสาเหตุมาจากแรงสั่นสะเทือนใต้น้ำหรอก!
สวีหยางอี้เขย่งตัวขึ้นบนใบบัวก่อนจะยืนขึ้น แม้บึงบัวแห่งนี้จะสวยงาม แต่ก็อาจมีอันตรายเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ทันใดนั้น เขาก็สัมผัสถึงจิตสังหารขึ้นวูบหนึ่ง
ปีศาจงั้นเหรอ? เขากระโดดจากใบบัวหนึ่งไปยังอีกใบหนึ่งราวกับเท้าติดสปริง นี่เป็นสัมผัสของปีศาจขั้นจู้จี จากสัมผัสเมื่อครู่… ขนาดของมันน่าจะอยู่ประมาณหนึ่งร้อยเมตร
หรือไม่ก็หนึ่งพันเมตรก็เป็นไปได้!
เขาพยายามสะกดความตระหนกพลางกระโดดไปยังใบบัวแต่ละใบอย่างเบาเท้า ในเวลาแบบนี้ ความใจร้อนใช้ไม่ได้ผล มีน้ำ มีปลา เขาไม่มีทางอดตายแน่นอน ถึงแม้จะไม่มีพลังปราณ แต่ก็ยังมีมือมีเท้า ในระหว่างนี้ ขอแค่ตัวเองระมัดระวังตัวดีๆ ก็คงไม่มีอันตรายใดๆ
ไม่รู้ว่าผ่านมานานแค่ไหน รอบๆ ยังคงเป็นทิวทัศน์ของใบบัวไร้ที่สิ้นสุด แต่เขาพบว่าขณะที่ตัวเองอยู่ ณ ที่แห่งนี้ เขาไม่รู้สึกหิวและเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย!
“น่าจะผ่านมาแล้วแปดชั่วโมง…” เขานั่งลงบนใบบัวพลางนึกสงสัยขึ้นในใจ
มีที่แห่งนี้อยู่บนโลกจริงๆ เหรอ?
แปดชั่วโมงผ่านไปแล้ว ท้องฟ้ายังคงไม่เปลี่ยนสี ตัวเองไม่รู้สึกเหนื่อย ไม่รู้สึกหิว ความรู้สึกแบบนี้เหมือนเป็นร่างพลังจิต ไม่ใช่ร่างกายหยาบของตัวเอง
“หลุดเข้ามาในมิติมายางั้นเหรอ?”
ก็อาจเป็นไปได้ เพราะเขาเคยได้ยินมาว่าค่ายกลอาคมที่พลังกล้าแกร่งทำให้เขาไม่รู้สึกตัว
แต่… เจ้าสิ่งมีชีวิตตัวใหญ่นั่นล่ะ?
เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นปีศาจหรือไม่ ถ้าหากว่าใช่ แล้วตบะของมันอยู่ในขั้นไหน
อาจารย์เคยบอกว่า ต่อให้ค่ายกลอาคมจะมีพลังแกร่งกล้าแค่ไหน มันก็ไม่เกินไปกว่าระดับพลังของตัวเอง ไม่งั้นขั้นจู้จีก็สามารถกักขังขั้นจินตันได้แล้วสิ
เขาไม่กล้าหยั่งสัมผัสพลังปราณของอีกฝ่าย แต่เขากล้ารับประกันว่าจูหงเสวี่ยเทียบไม่ติดอย่างแน่นอน!
ความรู้เย็นวาบโจนจับเข้ากลางใจ อีกประเดี๋ยวก็รู้สึกร้อนวูบดั่งไฟสุม
ที่รู้สึกเย็นวูบวาบเพราะเขารู้สึกว่าโลกนี้ช่างเต็มไปด้วยความลับมากมายที่ตกทอดมาจากหลายพันปีก่อน ช่างน่าพิศวงจนน่าตกใจ
ในสถานที่ที่มนุษย์ไม่รู้ ไม่ว่าจะเป็นก้นแม่น้ำหรือใต้แผ่นดิน อาจจะมีดวงตาคู่หนึ่งที่หลบซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งกำลังจ้องมองมนุษย์ชาติอยู่ก็เป็นได้
ที่รู้สึกร้อนวูบดั่งไฟสุมเพราะเขารู้สึกว่าบนโลกใบนี้ยังมีความลับมากมายที่กำลังรอเขาอยู่!
ขอแค่เขาออกไปได้ เขาก็จะได้ค้นหาความลับพวกนี้ เพราะมีสถานที่โบราณที่ได้รับคำสั่ง “ปิดกั้น” จากรัฐบาลหวาซย่ารอให้เขาไปค้นหาเศษซากอารยธรรมการฝึกตนสมัยโบราณอยู่
“ซูด…” เขาสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แววตาสงบนิ่งลง
ความลับทุกอย่างกำลังรอให้เขาออกไปค้นพบอยู่
เขากระโดดต่อไปอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ไม่รู้ว่าผ่านมานานเพียงใด น่าจะหนึ่งวัน ไม่ก็สามวัน หรือไม่ก็หนึ่งเดือน…
และแล้วเขาก็กระโดดมาถึงดอกบัวดอกหนึ่ง ซึ่งเป็นดอกที่แตกต่างกว่าทุกดอกในบึงแห่งนี้
ดอกบัวขนาดใหญ่ปราก ฏสู่สายตา มันมีเส้นผ่าศูนย์กลางราวสิบเมตรได้ ไม่มีใบบัวรองรับ ราวกับมันลอยอยู่บนผิวน้ำด้วยตัวมันเอง
แต่ว่า ตรงกลางเกสรดอกบัวดอกนี้มีศาลาเก่าๆ อยู่หลังหนึ่ง!
สวีหยางอี้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปทันที
ทุกๆ การกระทำเป็นไปอย่างระแวดระวัง เพราะเขายังไม่ลืมว่าก้นบึงยังมีสิ่งมีชีวิตที่ราวกับเทพมรณะกำลังนอนจำศีลอยู่ เขาไม่อยากทำให้มันตื่น
“นี่มัน…” เมื่อเขากระโดดเข้ามาในศาลา ดวงตาเขาก็เป็นประกายขึ้นทันที เพราะว่า… ในนี้มีกล่องหยกวางอยู่
มันเป็นกล่องหยกที่ดูคุ้นตายิ่งนัก ใช่แล้ว! มันคือกล่องหยกที่บรรจุคัมภีร์ลับพรหมเทวสูตร!
“เฮ้อ…” ในที่สุดก้อนหินหนาทึบที่ติดอยู่ในทรวงอกก็หายไปสักที
เขายื่นมือออกหมายจะคว้ามันมา แต่ทันใดนั้น “ร่างกาย” ของเขาก็กลายเป็นกลุ่มก้อนอณูแสงสีทอง คล้ายกับเม็ดทราย คล้ายกับหมอกควัน ราวกับว่าทั่วทั้งร่างของเขาถูกสร้างขึ้นจากอณูแสงสีทองนวลตาพวกนี้!
วินาทีต่อมาบังเกิดเสียง “ตูม” ดังมาจากกล่องหยกที่อยู่ห่างเพียงแค่คืบ พลันกล่องนั้นก็แตกสลายเป็นผุยผง!
คัมภีร์เล่มหนึ่งปรากฏขึ้นมาท่ามกลางซากกล่อง เขารู้ทันทีว่านี่เป็นคัมภีร์ลับพรหมเทวสูตร คัมภีร์ที่ผู้คนมากมายเฝ้าปรารถนา กุญแจสู่วิถีจินตัน
เขายังไม่ทันตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้น คัมภีร์เล่มนั้นก็ลอยมาอยู่เหนือศีรษะเขาแล้ว
“พั่บๆๆ…” นาทีนี้ เสียงกางออกของหน้าคัมภีร์ดังลั่นทั่วท้องนภา แสงสีทองส่องสว่างเจิดจ้า หน้าคัมภีร์เรืองแสงสีทองกางออกไปเรื่อยๆ อย่างไร้ที่สิ้นสุด
ไม่รู้ว่ามันเรียงต่อกันยืดยาวแต่ไหน ราวกับยาวตั้งแต่ท้องฟ้าจรดแผ่นดิน!
หน้าคัมภีร์หาใช่วัตถุที่จับต้องได้ไม่ แต่เป็นสิ่งถูกสร้างขึ้นจากอณูปราณ และตอนนี้มันกำลังลอยเคว้งคว้างอยู่กลางอากาศ
สวีหยางอี้ไม่รู้จะอธิบายภาพที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าอย่างไร หากจะให้เขาใช้คำที่พอจะเห็นภาพได้สักคำ คงเป็นคำว่าศักดิ์สิทธิ์
แสงสีทองที่ประกอบขึ้นเป็นหน้าคัมภีร์ช่างดู “ศักดิ์สิทธิ์” กว่าแสงอื่นใดทั้งปวง จนกระทั่งชวนให้คนที่มองเห็นมันรู้สึกไร้พลัง
นาทีนี้เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแค่คนธรรมดาที่กำลังแหงนหน้าจ้องมองวิหารสวรรค์
ทันใดนั้น ตัวหนังสือจากหมึกสีดำก็ลอยออกมาจากเล่มคัมภีร์ราวกับมีชีวิต ก่อนจะลอยไปรวมกับหน้าคัมภีร์ที่สร้างขึ้นจากอณูแสง จากนั้นแสงสีขาวนวลก็ส่องสว่างแทรกออกจากแสงสีทองราวกับแสงอรุณเบิกฟ้า
ตัวหนังสือพลันปรากฏขึ้นบนแถวแรกของหน้าคัมภีร์
คัมภีร์ลับพรหมเทวสูตร
ตัวหนังสือตัวอื่นๆ ยังคงลอยวนเวียนอยู่ไม่ยอมหยุด เหมือนกับมีมือไร้รูปร่างกำลังกำลังจัดเรียงพวกมันอยู่
สวีหยางอี้มองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยดวงตาเป็นประกาย และไม่ได้พูดอะไรขึ้นแม้แต่ประโยคเดียว
“ห้าสิบเก้า… ห้าสิบแปด…” ปากเขากำลังขมุบขมิบนับเลขอยู่ ตั้งแต่หกสิบไปจนถึงศูนย์ เขาทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาอย่างอดทน
จนกระทั่งเขานับแบบนี้ได้สี่สิบรอบ เขายืดตัวตรงพลางพูดเสียงขรึม “ที่นี่ไม่ใช่โลกจริงๆ ด้วย!”
“ฉันสงสัยมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว ในประเทศของฉันไม่มีทางมีบึงบัวที่ใหญ่ขนาดนี้แน่นอน ตอนนี้ฉันนับเวลาได้สี่สิบนาที แต่ก็ไม่มีใครโผล่มาสักคน!” เขานั่งลง “ปรากฏการณ์แบบนี้เกิดขึ้นทั้งที คงไม่มีทางที่ดาวเทียมของผู้ฝึกตนทั่วโลกจะตรวจสอบไม่เจออย่างแน่นอน! อีกทั้งยังมีผู้ฝึกตนขั้นจินตันเจ็ดคนที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น พวกเขาคงมาถึงที่นี่ภายในเวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมงอย่างแน่นอน!”
“แต่ตอนนี้กลับไม่มีใครโผล่มาแม้แต่คนเดียว” เขาหรี่ตาลง “ไม่เหนื่อย ไม่หิว ผู้ฝึกตนขั้นเลี่ยนชี่ไม่มีทางทำได้ ดังนั้น…”
“ใครเป็นคนพาฉันมาที่นี่?”
“ที่นี่เป็นแดนลี้ลับในตำนานงั้นเหรอ? หรือว่ามีคนกำลังควบคุมดวงวิญญาณฉันอยู่?”
ขณะที่สวีหยางอี้กำลังใช้ความคิดอยู่นั้น หน้าคัมภีร์ที่ถูกสร้างมาจากอณูแสงสีทองก็หยุดเคลื่อนไหวลง
ไม่รู้ว่าคัมภีร์นี้มีทั้งหมดกี่หน้า และไม่รู้ว่ามันทอดตัวไปยาวแค่ไหน แต่มีตัวหนังสือสีทองตัวเล็กๆ ปรากฏขึ้นมาบนหน้าหนังสือประมาณสิบหน้าแรก
เขาจำได้ว่าเดิมทีบรรทัดแรกเขียนว่าคัมภีร์ลับพรหมเทวสูตร แต่ตอนนี้กลับ… ไม่ใช่แล้ว
มีคำอยู่หนึ่งคำที่ส่องแสงสีทองระยิบระยับปรากฏขึ้นแทนที่คำว่าคัมภีร์พรหมเทวสูตรอย่างสะดุดตา
ราชาโอสถนิรันดร์!