ยุทธเวทผลาญปีศาจ - เล่มที่ 2 บทที่ 58 เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว (1)
เด็กชายตัวสั่นเทาไม่หยุด เขาทำท่าเหมือนจะลุกขึ้นและกระโจนหนีอย่างสุดชีวิต แต่พอร่างกายขยับ เหงื่อกาฬก็ผุดขึ้นเต็มหน้าผาก มือไม้แข็งทื่อไปหมด
“ซู่ซ่า….” ห่าฝนตกลงมายกใหญ่ เขามองเห็นผู้ชายที่อยู่ด้านหน้าไม่ชัด บางทีอาจจะตัวไม่ใหญ่เท่าตัวเอง แต่ว่าบรรยากาศชวนขนหัวลุกนี่มันอะไรกัน ทั้งๆ ที่ตัวเองอยู่ห่างจากอีกฝ่ายสิบกว่าเมตร ซ้ำยังมีม่านฝนปิดกั้นอีก!
ไอสังหารอันชวนอึดอัดหายใจไม่ออกพรรค์นั้นกำลังกลายสภาพเป็นวัตถุแหลมคมที่พร้อมจะพุ่งเข้ามาปลิดชีวิตตัวเองได้ทุกเมื่อ
ในสายตาของสวีหยางอี้แล้ว กระบี่นั้นพุ่งเข้ามาอย่างเอื่อยเฉื่อยราวกับแมลงวันบิน พลังปราณก็แผ่วบางจนเขาสามารถปัดให้สลายได้ด้วยฝ่ามือเพียงครั้งเดียว
ที่นี่ที่ไหนกัน?
ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนหรือว่าปีศาจล้วนอ่อนแอราวกับเป็นเรื่องโกหก อย่าว่าแต่เทียบชั้นกับสวีหยางอี้เลย ฝีมือระดับนี้ยังนับว่าห่างชั้นจากหลัวซานเฟิง เกาเย่ และอันดับหนึ่งคนอื่นๆ เสียอีก
หากจะให้เปรียบเทียบจริงๆ ตัวสวีหยางอี้ในตอนนี้ก็คงเหมือนหั่วหยุนแล้วอีกฝ่ายก็เป็นตระกูลผู้ฝึกตนธรรมดา
กระบี่ไม้พุ่งเข้าใกล้ปีศาจหมาป่าขึ้นเรื่อยๆ อีกฝ่ายก็เริ่มตัวสั่นรุนแรงมากขึ้น และพยายามแอบส่งสายตาวิงวอนให้สวีหยางอี้ ซึ่งดูจากตบะของเขาแล้ว หากถูกกระบี่เสียบโดน ก็คงไม่ถึงตาย แต่ก็คงบาดเจ็บสาหัส
สายตาของเจ้าปีศาจหมาป่าสื่อออกมาว่า คนที่อยู่ด้านหน้ามันจะต้องช่วยมันได้อย่างแน่นอน มันมั่นใจว่าแบบนี้ มันไม่สนใจว่าสวีหยางอี้จะใส่เสื้อผ้าขาดหลุดลุ่ยเหมือนเพิ่งโผล่ออกมาจากถังขยะ มันรู้เพียงแค่ว่าสวีหยางอี้จะต้องช่วยมันอย่างแน่นอน! เน้นว่าแน่นอน!
สวีหยางอี้มองดูกระบี่ไม้ที่พุ่งเข้าไปหามันอย่างเวทนา และได้เยินเสียงคนไล่ตามมาด้านหลังอย่างชัดเจน
“นายหญิง! มันอยู่ตรงนี้! มันบาดเจ็บอยู่ คงหนีไม่พ้นอย่างแน่นอน!”
“วางใจได้เลย! มีกระบี่ดาวตกทะลวงนภาทลายปฐพีบดขยี้โลกของฉัน มันหนีไม่พ้นอย่างแน่นอน!”
เอ่อ…. อะไรนะ…. กระบี่ดาวตกทะลวงนภาทลายปฐพีบดขยี้โลก… งั้นเหรอ?
สวีหยางอี้พยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้ก่อนปัดมือขึ้นเล็กน้อย จากนั้นกระบี่นั้นก็สูญเสียทิศทาง วิถีบิดเบี้ยวกลางอากาศ สวีหยางอี้ใช้เพียงสองนิ้วคีบกระบี่ดาวตกทะลวงนภาทลายปฐพีบดขยี้โลกที่ถูกเรียกอย่างเท่ห์ระเบิดนั่นคาระหว่างสองนิ้วมือ
เหงื่อเย็นเปียกชุ่มเต็มหัวหมาป่า มันหมอบลงบนพื้นโดยไม่พูดอะไรสักคำ
นี่มันอาวุธสังหารปีศาจจากตู้มหาสมบัติที่ให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บเชียวนะ…
เจ้าผู้ชายเสื้อขาดนั้นก็อยู่แค่ขั้นเลี่ยนชี่ระดับต้นเองไม่ใช่เหรอ? ทำไมพลังถึงต่างกันขนาดนี้?
หยุดกระบี่นั้นได้เพียงใช้นิ้วมืองั้นเหรอ?
สวีหยางอี้แกว่งกระบี่ไม้เล่นไปมาประหนึ่งมีดหั่นผัก แล้วอยู่ๆ ก็เอ่ยถามขึ้น “นายสูงเท่าไหร่?”
แม้น้ำเสียงบางแผ่วและเรียบนิ่ง แต่ก็ทำเอาปีศาจหมาป่าเหงื่อตกทั่วตัว มันไม่กล้าเงยหน้าสบตา และได้แต่พูดเสียงสั่นเครือ “หนึ่ง หนึ่งร้อยเจ็ดสิบสองเซนติเมตรครับ…”
“มีบุหรี่ไหม?” สวีหยางอี้ขว้างกระบี่ไม้ไปที่บ่อโคลนข้างๆ ปีศาจหมาป่ายิ่งลดหน้าลงต่ำกว่าเดิม “คงไม่มีสินะ…”
สวีหยางอี้ถอนหายใจก่อนเดาะลิ้นทีหนึ่ง “งั้นถอดเสื้อออก”
“ครับ… เอ๊ะ?”
ปีศาจหมาป่าตกใจขึ้นทันที
ถอดงั้นเหรอ?
ได้ยินไม่ผิดใช่ไหม?
แม้ในหัวจะเต็มไปด้วยความสงสัย แต่ร่างกายกลับยืนขึ้นและถอดเสื้อผ้าออกอย่างเชื่อฟัง
ชุดที่เขาใส่เป็นชุดนักเรียนของโรงเรียนม.ปลายแห่งหนึ่ง ถอดใส่ได้คล่องตัว หลังจากถอดเสร็จก็ยื่นให้สวีหยางอี้อย่างเคอะเขิน แต่ทว่าเรื่องที่ชวนให้เขินกว่าเดิมก็เกิดขึ้น
“ถอดกางเกงด้วย”
“…”
ร่างกายขยับไปเอง และแล้วเขาก็ถอดกางเกงออก
“หยุดนะเจ้าปีศาจ!” ตอนนี้เอง เสียงหวีดแหลมของหญิงสาวคนหนึ่งที่มาพร้อมกับ… ไก่ตัวเมียหนึ่งตัวก็กระโจนออกมาจากที่ที่ไม่ไกลมากนัก จากนั้นเธอก็อึ้งงันขึ้นทันที
เพราะภาพที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า… ก็คือผู้ชายในชุดขาดหวิ่นกำลังสั่งให้เหยื่อของตัวเองถอดกางเกงออก…
ซ้ำยังถกกางเกงลงไปครึ่งหนึ่งแล้ว…
“พวกโรคจิต!!!” หลังจากอึ้งค้างไปประมาณสามวินาที เสียงหญิงสาวและเสียงไก่ดังขึ้นพร้อมกันสะท้อนไปทั่วผืนป่า ทั้งคนและไก่ต่างรีบหันหน้ากลับไปเอามือและปีกปิดหน้าตัวเอง
“ถอดต่อสิ” สีหน้าของสวีหยางอี้ยังคงเหมือนเดิม พร้อมกับชี้นิ้วสั่งปีศาจหมาป่าที่เหลือแต่กางเกงใน
สีหน้าของปีศาจหมาป่าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีด จากนั้นมันก็ยื่นเสื้อและกางเกงให้สวีหยางอี้
“ไม่ใช่สิ!” หญิงสาวตั้งสติขึ้นได้ พลันรีบหันกลับไป “เจ้าปีศาจ… ว้าย!!!”
สวีหยางอี้ปลดเข็มขัดตัวเองอย่างไม่ช้าไม่เร็ว จากนั้นก็โยนชุดลายพรางขาดๆ ของตัวเองลงในบ่อโคลน พร้อมกับพูดกับหญิงสาวโดยไม่หันหน้าไม่มอง “หยุดโวยวายได้แล้ว อันที่จริงเธอก็แค่หันกลับไป”
“โรค! จิต!” เสียงคนเสียงไก่ดังขึ้นพร้อมกัน
เสื้อผ้าของปีศาจหมาป่าใส่พอดีตัวเขาพอดี สวีหยางอี้พยักหน้าอย่างพอใจ “หันมาได้แล้ว”
หญิงสาวกับไก่ที่เธออุ้มอยู่หันมาพร้อมกัน ก่อนจะตะโกนขึ้นเสียงแหลมอีกระลอก “โรคจิต! แล้วนาย นายก็รีบใส่เสื้อผ้าซะสิ!!!”
ในรอบหลายสิบปีมานี้ ปีศาจหมาป่าไม่เคยอับอายเท่านี้มาก่อน
ใส่กางเกงในตัวเดียวช่วงฤดูร้อนถือเป็นเรื่องปกติ แต่ตอนนี้ เสื้อผ้าของเขาทั้งหมดไปอยู่บนตัวสวีหยางอี้แล้ว ซ้ำยังถูกเรียกว่า… โรคจิตอีก
แต่ว่าเขาไม่กล้าขยับไปไหนหากสวีหยางอี้ไม่สั่ง
ระหว่างศักดิ์ศรีกับชีวิต แน่นอนว่าชีวิตต้องสำคัญกว่า
“แล้ว… นาย… นาย… จะเอายังไง!” ครั้นหญิงสาวหันกลับมา สวีหยางอี้ก็ได้เห็นใบหน้าของเธอชัดเจนขึ้น
ดูธรรมดา ไม่สวยจับใจ และก็ไม่ได้ขี้เหร่ อายุน่าจะราวสิบหกสิบเจ็ดปี ใบหน้ามีแก้มเล็กน้อย ผมยาวรวบมัดไปด้านหลัง สวมเสื้อยืด กางเกงยีนและรองเท้ากีฬาธรรมดาๆ ที่เอวของเธอมีกระเป๋าเข็มขัดคาดอยู่ และถ้าหากเดาไม่ผิด ด้านในคงมีอุปกรณ์ปราบปีศาจราคาถูกอยู่ และคิดว่าน่าจะเป็นสิ่งของที่ตัวสวีหยางอี้เคยใช้ตอนที่เข้าเรียนที่เทียนเต้าสมัยห้าปีก่อน
“นายหญิง! เขาเป็นแค่ขั้นเลี่ยนชี่ระดับต้น! แค่ระดับต้นเอง! อีกทั้งยังเป็นผู้ฝึกตนชาวมนุษย์!” ไก่ตัวเมียที่หญิงสาวอุ้มอยู่ยกปีกขึ้นมากระซิบและแอบมองสวีหยางอี้ แต่อยู่ๆ ก็ตะโกนขึ้นมาเสียงดัง “นายหญิง! หัดฉลาดหน่อยสิ! พวกเราควรจะรักษาประโยชน์ของตัวเองไว้นะ!”
สวีหยางอี้เบือนหน้า เจ้าปีศาจพลันรีบไปหลบอยู่หลังต้นไม้ทันที จากนั้นก็ถอนหายใจลากยาว
“เดี๋ยวนะ!” จากคำพูดของไก่ตัวเมีย ผนวกกับการที่เจ้าปีศาจหมาป่าหนีไปหลบหลังต้นไม้ ทำเอาหญิงสาวหัวร้อนขึ้นมาฉับพลัน “นายจะทำอะไร! นายคิดจะปกป้องมันเหรอ? ! นี่เป็นปีศาจที่ฉันจับมาได้อย่างยากลำบาก! ดังนั้นคนที่มีสิทธิ์จัดการมันคือฉัน! อีกอย่าง นายทำอะไรกับอาวุธวิเศษของฉัน?!”
“ใครจะยอมเป็นเหยื่อของเธอ!” เมื่อปีศาจหมาป่าได้ยินเช่นนั้น ก็เกิดผวาขึ้นมาทันที! ผู้ฝึกตนผู้ชายคนนั้นเพิ่งจะปล่อยเขามาหมาดๆ!
ปีศาจหมาป่าที่หลบอยู่หลังต้นไม้ชะโงกหน้าออกมาตะโกน “ตอนฉันย้ายห้องมาเรียนห้องเดียวกับเธอ! เธอเป็นคนจีบฉันเองนะ! พอจีบไม่ติดก็หาว่าฉันเป็นปีศาจ! เธอมันหน้าไม่อาย!”
“ก็นายเป็นปีศาจไม่ใช่รึไง?!”
“ก็ใช่! หากเธอไม่ไปที่นั่น ก็คงไม่เจอร่างจริงของฉันหรอก!”
“ให้ตายเถอะ! นายหญิงของฉันมองออกว่านายเป็นปีศาจตั้งนานแล้ว! ออกมานี่ซะ! ถ้าวันนี้นายหญิงของฉันไม่ได้จัดการนาย เธอคงอับอายไปทั้งวงศ์ตระกูลแน่ๆ!”
สวีหยางอี้ฟังไปก็ขำไป
นี่มันบ้าบออะไรกันเนี่ย
สรุปง่ายๆ ก็คือคนหนึ่งเป็นรุ่นน้องนักล่าปีศาจที่พบเจอกับผู้ชายคนหนึ่ง แล้วนึกอยากจีบขึ้นมา แต่พอจีบไม่ติดก็ต่อว่าอีกฝ่ายว่าเป็นปีศาจ…
แต่ก็นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเป็นปีศาจขึ้นมาจริงๆ …
“มีอะไรน่าขำนักหนา!” หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนตะเบ็งเสียงขึ้นอย่างโมโห “หน้าที่ของพวกเราคือคอยแยกแยะปีศาจออกจากมนุษย์! และเจ้าตัวนี้เป็นผลงานของฉัน! นาย… นายมาจากองค์กรไหน! อย่าให้ฉันถึงขั้นต้องไปฟ้องศาลผู้ฝึกตนข้อหาปกป้องศัตรู!”
สวีหยางอี้กวาดสายตามองเธอ “มีน้ำเปล่าไหม?”
“มี!… แต่ว่า! นายต้องตอบคำถามฉันก่อน! นายมาจากองค์กรไหน! เจ้าตัวนี้เป็นรายได้ทั้งเดือนของฉันเลยนะ!”
“นายหญิง…” เจ้าไก่ตัวเมียไอกระแอมพลางใช้ปีกสะกิดหญิงสาว ก่อนกระซิบเสียงแผ่ว “ดูเหมือนเขาจะเก่งกว่านายหญิงนะ…”
“เก่งกว่าแล้วยังไง? เก่งแล้วทำตัวเหนือกฎหมายได้เหรอ?… นายช่วยตอบคำถามรวดเดียวให้จบได้ไหม? อยากได้น้ำนักใช่ไหม? เอาไปสิ!”
กระบอกน้ำอุ่นถูกยื่นออกไปด้านหน้าสวีหยางอี้ เขารับมันไปดื่มหนึ่งอึกอย่างไม่เกรงใจ
จากนั้นเขาก็ดีดนิ้วใส่น้ำหยดนั้น บังเกิดเป็นเสียงดังคล้ายลูกกระสุนยิงถูกต้นไม้ขึ้นอย่างชัดเจนเต็มสองหู
สวีหยางอี้ย่นคิ้วเล็กน้อย เพราะเขาไม่ค่อยพอใจกับผลงานเท่าไร ปกติเขาสามารถยิงทะลุต้นไม้ได้เลย
ปีศาจหมาป่ารู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันที มันมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน ต้นไม้ที่เส้นรอบวงร่วมสิบเมตร ปรากฏรูเท่ากำปั้น!
บรรยากาศเงียบลง เจ้าไก่ตัวเมียบินขึ้นไปเกาะบนต้นไม้ทันทีพร้อมกับใช้ปีกปิดปากตัวเอง ก่อนมองไปทางสวีหยางอี้
ปากของหญิงสาวตกใจจนเป็นรูปตัว O สองตาเบิกโพลงจ้องมองไปยังต้นไม้ต้นนั้น ก่อนหันกลับมามองสวีหยางอี้อย่างตกตะลึง เธอหันกลับไปกลับมาอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
สายตาของเธอมองสลับไปมาระหว่างต้นไม้กับสวีหยางอี้ไม่ยอมหยุด
ทุกคนในที่แห่งนี้ต่างมองไปยังสวีหยางอี้ราวกับเจอปีศาจ
สวีหยางอี้ปิดตาพริ้มพลางซึมซับความอุ่นจากน้ำที่ไหลลงในช่องอกของตัวเองก่อนเอ่ยถาม “ที่นี่ที่ไหน?”
“มณฑลหมิงสุ่ย ตำบลไป๋… นี่เป็นเมืองระดับมณฑล” หญิงสาวตอบทันควัน เธอยืนตรงตัวเกร็ง และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเคารพนุ่มนวล ท่าทีเปลี่ยนไปทันที
เป็นตำบลในเมืองระดับมณฑลงั้นเหรอ?
สวีหยางอี้ถอนหายใจเสียงแผ่ว หรือว่าปีศาจกับผู้ฝึกตน ณ ที่แห่งนี้จะอ่อนแอจนน่าตกใจขนาดนี้กันทุกคน ระดับตำบลในมณฑลไม่มีทางเทียบเท่าสาขาย่อยของสามองค์กรใหญ่ได้อย่างแน่นอน
“ที่นี่มีกี่ตระกูล แล้วมีเขตล่าปีศาจกี่เขต? แล้วกองกำลังไหนแข็งแกร่งที่สุด?”
“มีทั้งหมดสามตระกูล มีเขตล่าปีศาจสี่เขต มีกองกำลังผู้ฝึกตนเป็นกำลังหลัก”
สวีหยางอี้พยักหน้า ก่อนลืมตามองเจ้าไก่ตัวเมีย “มันเป็นนายหน้าของเธอใช่ไหม?”
“ใช่ค่ะ! คุณผู้ชาย!” เจ้าไก่ตัวเมียลดตัวลง ไม่คิดว่าแม้แต่หน้าตาของสัตว์ก็ยังแสดงสีหน้าประจบสอพอออกมาได้ “นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบกับคุณผู้ชาย! ราวกับแสงสว่างที่ส่องขึ้นท่ามกลางท้องฟ้าอันมืดมิด!”
ฝนยังคงตกหนักต่อเนื่อง
ลักษณะคำพูดแบบนี้ทำให้สวีหยางอี้นึกถึงเมาเปาเอ้อขึ้นมาทันที
มณฑลหมิงสุ่ย… ดูเหมือนจะไกลจากมณฑลหนานทงมาก ตั้งอยู่ตอนเหนือสุดของประเทศหวาซย่า ระยะทางร่วมแสนกิโลเมตร
รอยแยกมิตินั่น… พาตัวเขามายังสถานที่ห่างไกลถึงขนาดนี้เชียวเหรอ?
ตัวเองหายไปกะทันหันแบบนี้ เมาปาเอ้อคงตกใจจนลนลานไปแล้วเสียกระมัง?
สิ่งแรกที่ต้องทำตอนนี้ก็คือติดต่อไปยังกองอำนวยการเทียนเต้า ตัวเขาเองต้องเข้าสู่ระบบและติดต่อไปยังอวี้หลินเว่ย เกรงว่าฝู่หรงคงรอจนหัวใจจะวายแล้วกระมัง?