ยุทธเวทผลาญปีศาจ - เล่มที่ 2 บทที่ 59 เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว (2)
“ที่นี่ไม่มีสาขาย่อยของอวี้หลินเว่ยเหรอ?”
“นาย ไม่สิ คุณเป็นคนของอวี้หลินเว่ยงั้นเหรอ?” หญิงสาวตกใจจนน้ำเสียงพุ่งสูงขึ้นอีกระดับ ก่อนพูดขึ้นติดๆ ขัดๆ “คุณเป็นสมาชิกที่ผ่านการขึ้นทะเบียนเหรอคะ?”
สวีหยางอี้มองเธอด้วยสายตาแปลก “ไม่ใช่”
สีหน้าของหญิงสาวกับเจ้าไก่ตัวเมียดูโล่งอกลง
ชายหนุ่มปีศาจหลบอยู่หลังต้นไม้ก็พลอยผ่อนลมหายไปด้วย
สวีหยางอี้หรี่ตาลงพลางทอดสายตาไปที่ถนนทางหลวง “พวกเขาขอนัดฉันเป็นพิเศษ แต่ฉันยังไม่ได้ไป”
“ขอนัดคุณเป็นพิเศษ?!” วินาทีต่อมา เสียงร้องตกใจของทั้งสามคนด้านหลังสวีหยางอี้ก็ดังขึ้นมาพร้อมกัน สวีหยางอี้ผละสายตากลับไปมองปีศาจหมาป่า “ถ้าที่นี่ไม่มีอวี้หลินเว่ยสาขาย่อย พาฉันเข้าไปที่เมือง แล้วซื้อตั๋วรถไฟไปที่เมืองถานซานให้ฉันก็แล้วกัน”
“ได้ครับ!” ปีศาจหมาป่าตอบรับ ดวงตาพลันเป็นประกายขึ้นทันที
“ไม่จำเป็นค่ะ!” สิ้นสุดเสียงพูด เสียงของหญิงสาวก็ดังขึ้นทันที “ถึงแม้ตำบลไป๋ของพวกเราจะไม่มีสาขาย่อยของอวี้หลินเว่ย! แต่ว่าตระกูลของพวกเราสามารถช่วยคุณติดต่อกับอวี้หลินเว่ยได้! คุณน่าจะยังไม่รู้ ประกาศฉบับใหม่ของอวี้หลินเว่ยประกาศไว้ว่า ผู้ฝึกตนหน้าใหม่ที่ต้องการเข้าร่วมกับอวี้หลินเว่ยต้องไปลงทะเบียนที่สาขาย่อยก่อน หากผ่านการตรวจสอบสถานะผู้ฝึกตนตนแล้ว ถึงจะได้เข้าร่วมอย่างเป็นทางการ!”
สวีหยางอี้ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เป็นประกาศตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“เมื่อสามปีก่อนค่ะ!” ใบหน้าหญิงสาวแดงเรื่อขึ้นเล็กน้อย เธอพยายามข่มความตื่นเต้นภายในใจเอาไว้ “ก่อนหน้านี้สามปี เกิดเหตุโศกนาฏกรรมจากน้ำมือของจูหงเสวี่ยที่เมืองเฟิงอี้ ถูกขนานนามว่าเป็นเหตุโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่สุดในรอบห้าสิบปี! คุณรู้จักจูหงเสวี่ยใช่ไหม? มันคือปีศาจโบราณที่สืบทอดสายเลือดมาจากจิ้งจอกเก้าหางสีเงิน! เป็นปีศาจร้ายกาจเป็นอันดับที่เก้าจากลิสต์รายชื่อปีศาจ!”
ไม่มีใครมองเห็น สวีหยางอี้กำมือแน่นอยู่ในกระเป๋ากางเกง
ก่อนหน้านี้สามปีงั้นเหรอ? คดีครั้งใหญ่จากฝีมือของจูหงเสวี่ยงั้นเหรอ?
“เล่าให้ละเอียดกว่านี้หน่อย?” สวีหยางอี้รู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ เขาเอ่ยถามด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
“นี่เป็นเรื่องใหญ่มาก” หญิงสาวสูดลมหายใจเจ้าลึกๆ ก่อนพูดต่อ “ก่อนหน้าสามปี คุณรู้จักพิธีจบการศึกษาครั้งใหญ่ของเทียนเต้า องค์กรสูงสุดของโลกผู้ฝึกตน คุณรู้จักใช่ไหม? เป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงเลื่องลือที่สุดในโลกผู้ฝึกตน! นักเรียนที่จบการศึกษาจากที่นี้แตกต่างกับผู้ฝึกตนที่อยู่ตามชายแดนอย่างพวกเราลิบลับ มีองค์กรมากมายต่างตั้งหน้าตั้งหน้ารอรับพวกเขาเข้าทำงาน! ยิ่งถ้าเป็นผู้ชนะของมณฑลในรุ่นนั้น… เหอะๆ … เกรงว่าคงสามารถเลี้ยงดูตระกูลผู้ฝึกตนขนาดเล็กได้เลยทีเดียว!”
หญิงสาวยิ่งพูดยิ่งตื่นเต้นราวกับตัวเธอเป็นผู้ชนะเสียเอง แต่เมื่อเธอเหลือบมองหน้าสวีหยางอี้ในระหว่างนั้นก็หุบปากลงทันที ก่อนกระแอมเสียงและพูดขึ้นอย่างเคอะเขิน “ต้องขอโทษคุณด้วย… ฉันพูดนอกเรื่องไปแล้ว คุณคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม?”
ในสายตาของหญิงสาว เห็นสวีหยางอี้ก้มหน้าลงก้มไม่พูดเอ่ยปากเอื้อนเอ่ย จนเธอคิดว่าอีกฝ่ายกำลังรำคาญตัวเธออยู่ แต่หารู้ไม่ว่าภายในใจของสวีหยางอี้ตอนนี้หลากอารมณ์จนยุ่งเหยิงไปหมด
“พูดต่อ” เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงอย่างเคยชิน แต่ก็ไม่มีบุหรี่
“เรื่องมันเป็นแบบนี้ ในปีนั้น เนื่องจากระบบรักษาความปลอดภัยของเทียนเต้าขัดข้อง จึงทำให้เกิดเหตุการณ์จูหงเสวี่ยบุกเข้าไปสังหารตระกูลผู้ฝึกตนของมณฑลหนานทงและคร่าชีวิตผู้คนไปร่วมเจ็ดพันกว่าคน รวมไปถึงรุ่นพี่ขั้นจู้จีทั้งแปดคนด้วย! ว่ากันว่าโศกนาฏกกรรมครั้งนั้น เจิ่งนองไปด้วยเลือดราวกับสายธาร ไม่มีผู้ใดมีชีวิตรอดออกมาแม้แต่คนเดียว!”
สวีหยางอี้ผ่อนลมหายใจอย่างใจหาย ก่อนคลี่ยิ้มขึ้นเล็กน้อย
อันที่จริงมีผู้รอดชีวิตนะ…
มีสองคนที่รอดชีวิตออกมาได้….
มีตัวเขา และฉู่เจาหนานที่เขาช่วยออกมา
“จูหงเสวี่ยยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?”
“แน่นอน!” หญิงสาวพยักหน้าอย่างหวาดวิตก “แต่ว่าเธอหายตัวไป เหล่าจินตันเจินเหรินต่างตามหากันให้ควั่ก แต่ก็ไม่เจอแหล่งกบดานของเธอ และตอนนี้เธอก็กลายเป็นปีศาจอันดับหนึ่งของรายชื่อปีศาจแล้ว! มีค่าหัวสูงถึงสิบสองพันล้าน!”
“หึ…” สวีหยางอี้เงยหน้าขึ้นบนท้องฟ้า หยาดน้ำตกลงกระทบบนหน้าเขาชุ่ม
ความเย็นของหยาดฝนในช่วงค่ำคืนของฤดูร้อน ทำเอาไฟแห่งจิตสังหารภายในของเขาลุกโชติขึ้น
แกยังไม่ตายสินะ
ช่างดีเหลือเกิน
หากแกตายคาน้ำมือของจินตันเจินเหริน แล้วฉันจะไปสู้หน้าแกได้อย่างไร?
แบบนี้คำสาบานของฉันกับผู้ฝึกตนขึ้นจู้จีทั้งแปดคนก็ไม่มีความหมายสิ
แววตาเขาเยือกเย็นลงเล็กน้อย “ไม่มีใครถามถึงผู้ชนะในปีนั้นบ้างเหรอ?”
“มีแน่นอน!” หญิงสาวรู้สึกวูบวาบขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ ตัวเธอสั่นเล็กน้อย “ผู้ชนะในปีนั้นคือฉู่เจาหนาน! เขาเป็นคนเดียวที่มีชีวิตรอดออกมาได้! ตอนนี้กำลังทำงานให้กับอวี้หลินเว่ย!”
แววตาของสวีหยางอี้คุวาวขึ้นทันที แต่เขาก็พยายามสะกดอารมณ์เอาไว้
เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ เขาก็เข้าใจทุกอย่างขึ้นมาทันที
จวงโจวฝันฝีเสื้อ[1] เพียงหนึ่งครากินเวลาสามปี หลังจากตัวสวีหยางอี้หลุดเข้าไปในรอยแยกมิติ เวลาของโลกด้านนอกก็ผ่านไปสามปีแล้ว!
จะมีสักกี่คนที่จำรุ่นพี่ขั้นจู้จีทั้งแปดคนได้?
จะมีสักกี่คนที่จำปีศาจที่คร่าชีวิตผู้คนเพื่อให้ตัวเองบรรลุขั้นจินตันในวันนี้ได้?
แล้วจะมีใครจำผู้ชนะที่เอาชนะผู้ใช้ยุทธเวทวิชาปืนและได้เกรด A สี่ตัวอย่างฉู่เจาหนานได้ จะมีใครจดจำผู้ชนะที่แท้จริงอย่างเขาได้
ดังนั้น เทียนเต้าต้องอธิบายเรื่องทั้งหมด… ไม่นึกว่าเวลาสามปีที่เขาหลับฝัน จะทำให้ฉู่เจาหนานกลายเป็นผู้ชนะแทน
แบบนี้ก็ดี อย่างน้อยก็มีคนที่พอเข้าท่าในสายตาเขารอดชีวิตมาได้… รอดมาจากนรกที่หลั่งเลือดเป็นผืนมหาสมุทรและมีซากศพกายกองเป็นภูเขาเหล่ากอ…
“แต่ก็น่าแปลก เพราะฉู่เจาหนานไม่เคยออกมาพูดต่อหน้าผู้คนเลยว่าตัวเองเป็นผู้ชนะ ซ้ำยังไม่ไปเข้าร่วมพิธีมอบรางวัลผู้ชนะ และไม่เข้าร่วมทุกกิจกรรมในฐานะผู้ชนะเลยสักครั้ง…” หญิงสาวพูดขึ้นอย่างแปลกใจ “ปีที่แล้ว เทียนเต้าจัดงานรำลึกวันสถาปนาเทียนเต้าสาขาย่อยที่เมืองเฟิงอี้ ซึ่งเชิญผู้ชนะในรอบสิบปีไปร่วมงาน เขาก็ไม่ยอมไปเข้าร่วม…”
สวีหยางอี้คลี่ยิ้ม ว่ากันตามความจริง คนที่ทะนงตนขนาดนั้น หากไม่ได้เอาชนะใครสักคนจริงๆ ก็คงจะไม่สามารถแกล้งตีหน้าบอกว่าตัวเองเป็นผู้ชนะได้หรอก!
“แล้วตอนนี้เขายังสบายดีไหม?” สวีหยางอี้เอ่ยถามเบาๆ
“แน่นอน! เขาสุดยอดมาก! เป็นหัวหน้ากองกำลังแห่งอวี้หลินเว่ยที่อายุน้อยที่สุด! ถึงแม้จะมีผู้ฝึกตนในกองกำลังแค่ห้าสิบคน แต่อย่างน้อยเขาก็เป็นหัวหน้ากองกำลังเลยนะ! กองกำลังที่อวี้หลินเว่ยยอมรับมีเพียงสองร้อยกองเท่านั้น! คณรู้หรือไม่ ผู้ฝึกตนที่อยากลงทะเทียนกับอวี้หลินเว่ยมีเกือบสามแสนคนเชียวนะ!” ในหน้าของหญิงสาวแดงเรื่อขึ้นมา เธอเม้นปากเน้น ความเลื่อมใสศรัทธาผุดขึ้นบนใบหน้าอย่างชัดเจน
สวีหยางอี้มองเธออย่างขำขัน “เธอชอบเขางั้นเหรอ?”
“… หน้าตาหล่อเหลา ตัวสูง ตบะก็สูง แถมชาติตระกูลดี…” ใบหน้าของหญิงสาวปรากฏลักยิ้มขึ้นมาสองข้าง ก่อนรีบก้มหน้าลง “แต่ว่า ฉันคิดว่า…”
“นำทางฉันไปสิ” สวีหยางอี้ พูดแทรก “ไปที่ที่เธอบอก แล้วช่วยฉันติดต่อไปหาอวี้หลินเว่ย”
“ไม่มีปัญหา!” หญิงสาวตอบรับอย่างตื่นเต้น “ตระกูลโจวของพวกเรา เป็นหนึ่งในสามตระกูลของตำบลไป๋! รับรองว่าพวกเราจะรายงานเรื่องของคุณไปให้เร็วที่สุด!”
สวีหยางอี้คลี่ยิ้ม ก่อนเชิดคางของหญิงสาวขึ้นมา “ตระกูล? เธอมีตระกูลด้วยเหรอ?”
“แน่นอน!” หน้าของหญิงแดงขึ้น เธอยืดอกพูดอย่างภูมิใจ “ตระกูลโจวแห่งตำบลไป๋! คุณลองไปถามใครดูก็ได้ ไม่มีผู้ฝึกตนในตำบลคนไหนไม่รู้จักตระกูลของพวกเรา!”
“แล้วก็นายหญิงถิงถิงของเราก็เป็นลูกสาวคนเดียวของตระกูลโจวด้วย!” เจ้าไก่ตัวเมียรีบพูดเสริมขึ้นทันที
ตอนนี้สวีหยางอี้ถึงกับยิ้มร่าออกมา
เพราะเขาจำได้ว่าเมื่อครู่หญิงสาวบอกว่าในตำบลไป๋มีเพียงสามตระกูลใหญ่
และเป็นไปได้ว่าตระกูลโจวก็เป็นหนึ่งในนั้น
ดังนั้นสมควรแล้วที่เขาต้องตีสนิท
และเมื่อสวีหยางอี้เห็นรถยี่ห้อบีวายดี[2]จอดอยู่ข้างทาง เขาก็รู้ขึ้นมาทันทีว่าข้อสันนิษฐานเมื่อครู่ของเขาเป็นเรื่องจริง
“เชิญค่ะ…” หญิงสาวเปิดประตูที่นั่งด้านหลังให้สวีหยางอี้อย่างเก้งก้าง พร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ “ตระกูลผู้ฝึกตนอาจจะเทียบกับสามองค์ใหญ่ไม่ได้ ดังนั้นจึงยังมีข้อจำกัดอยู่มากมาย…”
สวีหยางอี้คลี่ยิ้มก่อนนั่งลงที่เบาะหลัง จากนั้นจึงหลับตาผ่อนคลาย
อำเภอไป๋เป็นอำเภอที่ไม่ใหญ่นักแต่ก็ดูใหญ่กว่าตำบลทั่วไป แต่เมื่อเทียบกับเมืองเฟิงอี้ของมณฑลทางด้านตะวันตกแล้วก็ยังดูเล็กกว่ามาก
ตอนนี้เป็นเวลากลางคืน หากเป็นเมืองเฟิงอี้ในช่วงเวลานี้ก็คงยังมีรถลาวิ่งพล่านอยู่เช่นกัน อีกทั้งยังเป็นเวลาที่พวกใช้ชีวิตยามราตรีกระปรี้กระเปร่าที่สุด แต่ ณ อำเภอไป๋ในช่วงเวลานี้ อย่าว่าแต่ร้านค้าข้างทางที่ปิดเป็นแถบเลย ลำพังแค่คนเดินไปมาบนฟุตบาธยังมีเดินไม่กี่คน แสงสว่างบนท้องถนนส่องสลัวท่ามกลางม่านฝน สะท้อนเงาความเก่าของเมืองออกมา อีกทั้งยังส่องให้เห็นป้ายที่เขียนว่า “โรงฝึกยุทธตระกูลโจว” ที่ติดตั้งอยู่บนตึกเล็กๆ เพียงห้าชั้น
แม้สวีหยางอี้จะจิตนาการเอาไว้คร่าวๆ แล้ว แต่เขานึกไม่ถึงว่าตระกูลโจวที่เป็นหนึ่งในสามตระกูลแห่งอำเภอไป๋จะมีสภาพเหนือความคาดหมายของเขาไปอีก
นี่เป็นตรอกแห่งหนึ่ง โดยมีตึกเก่าๆ เล็กๆ สองข้างทางขนานอยู่ ตรงกลางเป็นทางเดินกว้างประมาณสองเมตร รถยนต์ขับเข้ามาไม่ได้ มองดูรอบๆ ไม่มีสภาพของโรงฝึกยุทธเลยแม้แต่น้อย
เมื่อความสภาพความเป็นจริงประจักษ์อยู่เบื้องหน้า พฤติกรรมคุยโอ้อวดของหญิงสาวก็หายไป เธอกระแอมเสียงขึ้นก่อนพูดอย่างละล่ำละลัก “ถึงด้านนอกจะดูไม่เข้าท่า แต่ด้านในถือว่าไม่เลวเลยล่ะ”
สวีหยางอี้พยักหน้าพร้อมกับเดินตามอีกฝ่ายไป
โรงฝึกยุทธตระกูลโจวอยู่บนชั้นบนสุดของตึก ด้านในดูดีกว่าด้านนอกจริงๆ สีอ่อนๆ จากพื้นทำจากไม้ปูพื้นเนื้ออ่อน ผ้าที่เขียนว่า “โรงฝึกไท่จี๋ร้อยปีแห่งตระกูลโจว” แขวนกางอยู่อย่างสะดุดตา สวีหยางอี้มองไปรอบๆ ก่อนเอ่ยถาม “คนในตระกูลเธอล่ะ?”
“ฉันนี่แหละเป็นผู้นำตระกูล…” หญิงสาวพูดขึ้นตะกุกตะกักอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “ฉะ ฉันชื่อถิงถิง พ่อแม่ของฉันจากโลกไปตั้งนานแล้ว ถึงแม้โรงฝึกยุทธของพวกเราจะดูธรรมดา แต่ที่แห่งนี้ถือว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีอณูปราณเข้มข้นที่สุดของอำเภอไป๋แล้ว…”
ในที่สุด สวีหยางอี้ก็เข้าใจความสาเหตุของความกระตือรือร้นของอีกฝ่ายหลังจากได้ยินว่าตัวเขาเป็นผู้ฝึกตนลงทะเบียนของอี้หลินเว่ยแล้ว
ไม่รู้ว่าตระกูลโจวเป็นผู้ฝึกตนโดยสายเลือดหรือไม่ แต่ว่าต่อให้เป็นแบบนั้น ดูเหมือนลูกหลานที่สืบทอดวิชามาก็คงไม่เอาไหน จัดว่าเป็นกลุ่มคนที่สภาผู้ฝึกตนแห่งหวาซย่าไม่ยอมรับ อย่าว่าแต่บ่มเพาะผู้ฝึกตนขั้นจู้จีเลย ลำพังแค่ขั้นเลี่ยนชี่ก็คงขัดเกลาออกไม่ได้สักคน นับว่าเป็นกลุ่มผู้ฝึกตนที่อยู่ระดับล่างสุด และเทียบกับกองกำลังระดับสูงไม่ได้แม้แต่เถ้าธุลี บางทีอาจจะเทียบกับคนธรรมดาบางกลุ่มไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยนางหญิงสาวที่ทำตัวห้าวหาญอย่างชายชาตรีคนนี้ก็น่าจะพอไหว
ดูเหมือนคงไม่มีใครสอนเธอฝึกตนบำเพ็ญเพียร และการที่บรรลุขั้นเลี่ยนชี่ได้โดยไร้หลักการแบบนี้ก็ว่ามีพรสวรรค์อยู่ไม่น้อย และตอนนี้ เมื่อเธอได้พบตัวจริงเสียงจริงอยู่ต่อหน้าแบบนี้ก็ต้องประจบหน่อย! หากเขาช่วยชี้แนะให้เธอเพียงเล็กน้อย ดูเหมือนจะเป็นประโยชน์ต่ออนาคตได้ไม่น้อยเหมือนกัน
“ชะ เชิญดื่มชาค่ะ” สวีหยางอี้ยังคิดไม่ทันจบ โจวถิงถิงก็ยื่นชากลิ่นหอมอบอวลมาให้
เขาอมยิ้มพร้อมกับรับชามา เขาดื่มหนึ่งอึกก่อนพยักหน้าเอ่ย “ชาไม่เลว”
ดวงตาของโจวถิงถิงเป็นประกายขึ้นมาทันทีพลันเม้มปากรีบก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว
——————————————————————————–
[1] 庄周梦蝶 จวงโจวฝันฝีเสื้อ คือปรัชญาจีนของนักปรัชญาที่มีชื่อเสียงของยุคจ้านกั๋ว นามว่า “จวงโจว” คำพูดนี้เป็นการบรรยายถึงความคิดที่ว่ามนุษย์เราไม่สามารถแยกแยะความจริงกับความฝัน ความเป็นกับความตาย และการเปลี่ยนไปเป็นสิ่งอื่นได้อย่างเด็ดขาด
[2] BYD ยี่ห้อรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตขึ้นที่ประเทศจีน