ย้อนเวลากลับมาเป็นเทพยุทธ์ - ตอนที่ 10
หลังจากทั้งสามออกจากห้องไป จิวโมไป๋ก็เข้าห้องน้ำอาบน้ำชำระล้างร่างกายจนสะอาด จิตใจที่หนักอึ้งเริ่มสงบลง
เขาเดินมานั่งสมาธิบนเตียงนอน สมองเริ่มประมวลผลความทรงจำอย่างช้าๆ เขาพยายามเรียกคืนความทรงจำที่สำคัญให้ได้มากที่สุด แต่โชคร้ายที่เขาจำได้แต่ข่าวสำคัญช่วงหลายสิบปีในอนาคตเท่านั้น
ความทรงจำในช่วงมหาวิทยาลัยของเขาเลือนลาง มันก็ช่วยไม่ได้เพราะช่วงเวลานี้ เขาต้องต่อสู้ดิ้นลนอยู่หลายปี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องตำหนักยุทธที่ถูกทำลาย อีกไม่กี่วัน ครอบครัวของเขาจะโดนก่อกวนจนพินาศ
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ จากช่วงหัวค่ำก็กลายเป็นช่วงกลางดึก จิวโมไป๋ค่อยๆลืมตาอย่างช้าๆ มุมปากยิ้มขึ้นอย่างแผ่วเบา แผนในอนาคตถูกร่างขึ้นแล้ว…
…
เช้าวันต่อมาจิวโมไป๋เดินออกจากห้องพัก ไปโรงอาหารฝั่งตรงข้าม ช่วงเวลาเช้ามืดไม่ค่อยมีผู้คนมารับประทานอาหารมากนัก เพราะคนส่วนมากมักจะเช่าห้องบ่มเพาะข้ามวัน ไม่ได้อยู่หอพักเหมือนพี่น้องทั้งสามของเขา
ทำให้ช่วงเช้าขนาดนี้ โรงอาหารจึงโล่งไม่ค่อยมีผู้คน
เขาสั่งอาหารประเภทเนื้อไม่กี่อย่าง ราคา 20 เครดิต ซึ่งเป็นราคาที่ถูกมาก ถ้าเป็นร้านอาหารระดับธรรมดา นอกมหาวิทยาลัยจะเริ่มด้วยราคาประมาณ 30-50 เครดิต
เมื่อได้อาหารเขาเดินไปนั่งโต๊ะว่างแถวนั้น
…
อาคารบ่มเพาะพลัง
สามพี่น้องเดินออกจากอาคารด้วยสีหน้าเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อย เพาะบ่มเพาะพลังมาทั้งคืน พวกเขาวางแผนที่จะไปโรงอาหารใกล้ๆเพื่อกินอาหาร
“อ้าว พวกกระจอก ทำไมพวกแกเหลือกันแค่สามคนหล่ะ อัจฉริยะพิการไปไหนแล้ว”เสียงยียวนกวนประสาทดังขึ้น
ทำให้หวังเสี่ยวเปาและพวก ที่กำลังเดินออกจากอาคาร หันมาจ้องมอง คนปากดีด้วยความหงุดหงิด
เป็นชายหนุ่มผอมแห้งใบหน้าขาวซีดราวกับไม่เคยโดนแสงแดด ด้านหลังมีกลุ่มลูกน้องเดินตามเกือบสิบคน
“กงหนาน แกอย่าพูดปากดีนัก แน่จริงก็มาสู้ตัวต่อตัวกับข้าสิ ถ้าแกกล้าจริง”หวังเสี่ยวเปา ร้องท้าทายเสียงดัง จนผู้คนรอบข้างที่พึ่งออกตากอาคารเช่นกันหยุดยืนมุงดู
“ไอ้อ้วน นึกว่าข้ากลัวแกจริงๆยังงั้นเหรอ”กงหนานร้องเสียงดัง สายตามองกวาด ร่างอ้วนกลมอย่างดูถูก
“พี่ใหญ่อย่าไปสู้กับไอ้บ้านี่ มันแค่ปากเก่งเท่านั้น ถ้าเราลงมือทำร้ายร่างกายมัน เราจะโดนหักคะแนน”เฉินหูยกมือจับไหล่หวังเสี่ยวเปาไว้ ก่อนจะจ้องเขม่งส่งสายตาข่มขูพร้อมร้องท้าทาย
“อีก 3 เดือนจะมีการจัดการแข่งขัน ต่อสู้ภายในมหาวิทยาลัย ถ้าแกมีความกล้าจริงก็ไปลงทะเบียน แล้วพวกเราไปเจอกันบนเวทีประลอง”
“เหอะๆ โง่จริงๆ อยู่แค่ปีหนึ่ง ระดับบ่มเพาะก็แค่ ระดับผิวหนังสูง ยังคิดจะเข้าประลองอีก ไม่รู้หรือไงว่ามีพวกไม่เจียมตัวมากเท่าไหร่ที่ถูกส่งเข้าโรงพยาบาล”กงหนานส่ายหัวเบาๆ ปากพูดเยาะเย้ยไม่หยุด
“ถ้าแกไม่กล้าก็หุบปากไป! ถ้ามหาวิทยาลัยไม่มีกฏ ห้ามลงมือทำร้ายร่างกายล่ะก็ แกเละไปนานแล้ว”เฉินหูยกมือชี้หน้า ก่อนที่จะพาหวังเสี่ยวเปาที่กำลังโกธรจัดจากไป
มองร่างคนทั้งสามเดินออกไป ชายหนุ่มด้านข้างของกงหนาน เดินเข้ามาถามอย่างสงสัย
“ดูเหมือนว่าความอดทนของพวกมันดีจริงๆ ลูกพี่จะเอายังไงต่อดี กดดันพวกมันต่อไหม”
กงหนานเงียบนิ่งไม่ตอบคำถามของลูกน้อง แล้วส่ายหน้าเบาๆ ก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปอาคารบ่มเพาะพลังอีกครั้ง
…
“น่าโมโหจริงๆ ทำไมไอ้บ้านั้นต้องมายั่วโมโหพวกเราทุกวันด้วยนะ”หวังเสี่ยวเปา เดินย้ำเท้าอย่างแรงจนไขมันบนร่างกระเพื้อมไปมา
“พี่ใหญ่อย่างไปหลงกล พวกมัน พี่ก็รู้ว่าคนหนุนหลังพวกมันคือกลุ่มเลือดมังกร พวกมันมักจะชอบหาเรื่องพวกเราที่มีพื้นหลังไม่ได้ยิ่งใหญ่ เมื่อเราไปลงมือทำร้ายพวกมัน มันจะมีข้ออ้างมาข่มขู่พวกเรา”อูเหวินที่เงียบอยู่ตลอดพูดขึ้น ใบหน้าของเขาข่มขื่นเล็กน้อย เพราะเขาเป็นคนที่ไม่มีพื้นหลังอะไรเลย ถ้าถูกพวกกลุ่มเลือดมังกรรังแก เขาก็หมดปัญญาที่จะตอบโต้
เมื่อได้ยิน ใบหน้าของหวังเสี่ยวเปาก็เปลี่ยนสีเล็กน้อย เพราะกลุ่มเลือดมังกร เป็น 1 ใน 4 กลุ่มแก๊งอันธพาลใต้ดินที่แข็งแกร่งที่สุดของเมืองเทียนซู การไปมีเรื่องกับพวกมันต้องเกิดปัญหาหนักแน่ๆ
“อย่าไปบอกน้องสี่ ตอนนี้น้องสี่กำลังกลุ่มใจเรื่องที่ตำหนักยุทธถูกทำลายอยู่ ถ้าเราเอาเรื่องปวดหัวไปบอกน้องสี่อีกละก็ น้องสี่อาจจะรับไม่ไหว”เมื่อสงบอารมณ์ได้แล้ว หวังเสี่ยวเปาหันไปพูดกับ เฉินหูและอูเหวินอย่างจริงจัง
ทั้งสองพยักหน้ารับ
…
หลังกินอาหารเสร็จ จิวโมไป๋ก็เดินออกจากมหาวิทยาลัย วันนี้เขาจะไม่เข้าเรียนเพื่อไปทำธุระตามแผนที่เขาวางไว้ เขาไม่อาจรอช้าได้อีกแล้ว เพราะอีกไม่นานเซียวหนานจิ้น จะส่งคนมารังควานร้านอาหารของเขา
เขาต้องรีบสร้างความแข็งแกร่งให้ตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก
ส่วนเรื่องการเรียนนั้นเขาไม่เป็นห่วงอะไร
ในยุคสมัยแห่งการบ่มเพาะ แม้การเรียนวิชาการจะสำคัญ แต่การบ่มเพาะนั้นไม่ใช่แค่ ใช้เวลาในการบ่มเพาะแค่ 5-10 ชั่วโมง ก็พอ มันต้องใช้เวลามากกว่านั้น ทำให้นักศึกษาส่วนมากมักจะมาเรียนไม่ทัน
ทางมหาวิทยาลัย จึงเลือกที่จะปล่อยเรื่องการเข้าเรียน ตลอด 1 เทอม นักศึกษาไม่มาเรียนเลยก็ได้ แต่เมื่อถึงเวลาสอบในแต่ละเทอม ต้องสอบให้ผ่าน ถ้าไม่ผ่านจะต้องสอบใหม่ ซึ่งต้องจ่ายค่าสอบใหม่ทุกครั้ง ในแต่ละครั้งค่าสอบจะทบทวีขึ้นเรื่อยๆ จนบางครั้งนักศึกษาจ่ายเงินไม่ไหวต้องลาออกจากมหหาวิทยาลัย
ทำให้นักเรียนที่ต้องการจะขาดเรียน ต้องใส่ใจศึกษาวิชาการให้มากไม่อย่างนั้น พวกเขาจะถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัยได้