ย้อนเวลากลับมาเป็นเทพยุทธ์ - ตอนที่ 101
สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าในเขตสลัมของเมืองเทียนซู ชายหัวล้านและลูกน้องของเขาเดินวนไปมารอบห้องอาหาร ท่าทางของพวกเขาดูกระสับกระส่ายเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ตรงกลางห้องมีเด็กเล็กสิบกว่าคนนั่งจับกลุ่มร่วมกัน ร่างของพวกเขาสั่นตัวเล็กน้อย และข้างๆของพวกเขามีร่างของชายหนุ่มสามคน นอนไม่ได้สติใบหน้าของพวกเขาขาวซีดจนน่ากลัว
“ลูกพี่พวกเราจะทำยังไงดี”ชายคนหนึ่งที่อยู่ใกล้กับชายหัวล้านพูดด้วยน้ำเสียงสั่น
ชายหัวล้านเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะมองกำไลข้อมือของเขา ท่าทางของเขาลังเลเล็กน้อย ก่อนที่จะกดลงไปบนกำไลข้อมือ
…
ร้านอาหารตระกูลจิว
จิวโมไป๋อธิบายเหตุการณ์ที่เขาแต่งเอาไว้ยาวเหยียดให้แม่ของเขาฟัง เขาก็ถูกลากขึ้นไปชั้น 3 ของร้าน และต้องอธิบายให้พ่อของเขาฟังอีกรอบ จนเขาเหนื่อย หลังจากนั้นเขาก็ต้องฟังแม่เขาบ่นอีกหนึ่งรอบให้เขาระวังตัวให้ดี
“นี้คือเสี่ยวไป๋ ลูกเสือขาวที่ผมพบระหว่างเดินทางหาประสบการณ์ครับ”จิวโมไป๋รีบแนะนำเสี่ยวไป๋ที่นั่งหมอบอยู่บนโซฟา เพื่อเปลี่ยนเรื่อง
พ่อของเขาจิวโมเทียนมองเสี่ยวไป๋อย่างแปลกใจ
“เสือขาวตาสีเขียวมรกต พ่อไม่เคยเห็นมาก่อน คงจะเป็นเสือขาวที่เกิดการกลายพันธิ์จากพลังวิญญาณของโลกที่ค่อยๆเพิ่มขึ้นสินะ”
แม่ฮั่นหวูเหยาดูเหมือนจะสนใจเสี่ยวไป๋เช่นกัน เธอเดินออกไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะกลับมาพร้อมเนื้อวัวย่างถาดใหญ่ ดวงตาของเสี่ยวไป๋เป็นประกายเจิดจ้า มันจะกระโดดมายืนข้างแม่ฮั่นหวูเหยา ก่อนเงยหน้ามองเธออย่างออดอ้อน
“กินช้าๆนะ ระวังติดคอ”เธอวางถาดเนื้อย่างไว้บนโต๊ะ เมื่อเสี่ยวไป๋กระโดดขึ้นมา เธอก็ลูบขนของมันเบาๆ เสี่ยวไป๋ไม่ขัดขืนปล่อยให้ลูบแต่โดยดี ก่อนจะก้มหัวเล็กๆลงกินเนื้อย่าง หางยาวๆของมันโบกสะบัดไปมาอย่างมีความสุข
เห็นอย่างนี้จิวโมไป๋ก็รู้แล้วว่า ตัวเขาได้เทคนิคการหลอกล่อมาจากแม่ของเขานั้นเอง
เห็นว่าไม่มีใครสนใจเรื่องที่เขาไปอยู่ที่หมู่บ้านใบไม้ร่วงแล้ว จิวโมไป๋ก็รีบพูด”ฝากเสี่ยวไป๋ด้วยนะครับเดียวผมกลับมา”
พ่อจิวโมเทียนพยักหน้าให้ จิวโมไป๋ก็ออกจากห้องอย่างรวดเร็ว
เมื่อออกมาเขาก็พบหยินลั่วปิง กำลังยืนรอเขาอยู่
จิวโมไป๋ชะงักเล็กน้อย
“ขอบคุณที่เธอช่วยฉันกับลูก ถ้าไม่ได้เธอพวกเราต้องแย่แน่ๆ”หยินลั่วปิงก้มหัวลงขอบคุณเขาอย่างงดงาม ไม่มีความเย่อหยิ่งของผู้บ่มเพาะพลังระดับสูงเลยแม้แต่น้อย
“ไม่เป็นไรครับ ผมแค่อยู่ในเหตุการณ์พอดี”จิวโมไป๋โบกมือปฏิเสธ
หยินลั่วปิงเงยหน้าขึ้นมาก่อนพูดต่อด้วยท่าทางลังเล”เรื่องที่คุณช่วยรักษาฉัน ฉันจะไม่บอกใคร”
จิวโมไป๋พยักรับเบาๆ ก่อนที่เขาจะขอตัวออกมา
เมื่อเขาเดินออกมาเขาก็ถามพนักงานคนหนึ่งของร้าน
“คุณเห็นหนิงหานเป๋ยไหม”
“วันนี้เขาขอลางานไปสมัครงานค่ะคุณหนู”พนักงานคนนั้นตอบ
“อ่อ ขอบคุณ”จิวโมไป๋พยักหน้าขอบคุณก่อนจะเดินออกจากร้านอาหาร เขาไม่ตกใจที่หนิงหานเป๋ยหางาน เพราะเขารู้ว่ายังไงหนิงหานเป๋ยก็หาหางานไม่ได้ เพราะอิทธิพลของถังหมิงหยุน ทำให้ไม่มีบริษัทไหนกล้ารับเขาเข้าทำงาน
เมื่อเห็นว่าหนิงหานเป๋ยไม่อยู่ในวันนี้ จิวโมไป๋ก็เลื่อนแผนชวนหนิงหานเป๋ยตั้งบริษัทโลกเสมือนไปวันพรุ่งนี้
จิวโมไป๋เดินไปมหาวิทยาลัยเทียนซู แต่ในระหว่างกำลังจะถึงมหาวิทยาลัย กำไลข้อมือของเขาก็สั่นเล็กน้อย
เมื่อเขามองหมายเลขผู้ติดต่อ เขาก็เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ และกดรับสายทันที
“มีอะไร”
เสียงปลายสายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาและสั่นเล็กน้อย
“ชะ…ช่วยพวกเราด้วย เกิดอะไรขึ้นไม่รู้ อยู่ๆพี่น้องของเราก็หมดสติไป คุณช่วยมาดูพวกเราที่สถานเลี้ยงเด็กกําพร้าหน่อยได้ไหม ขอร้องล่ะ!”
จิวโมไป๋เลิกคิ้ว แต่ไม่นานแววตาของเขาก็เปลี่ยนไป”เดี๋ยวฉันจะรีบไป รวมตัวกันไว้อย่าแยกกันไปคนเดียว!”
“ได้ๆ…”
จิวโมไป๋ตัดสายลงก่อนจะหันหลังกลับโบกมือเรียกรถยนต์โดยสารที่กำลังจะผ่านไปพอดี
…
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดครึ้มลง ยิ่งทำให้บรรยากาศในเขตสลัมน่ากลัวขึ้นหลายเท่า ระหว่างทางเต็มไปด้วยผู้คนจับกลุ่มกันกินเหล้าพูดคุยเสียงดัง เมื่อจิวโมไป๋เดินผ่านบางคนก็เลือบตามองจิวโมไป๋ด้วยแววตาเป็นประกาย แต่เมื่อจิวโมไป๋หันไปสบตา พวกเขาก็หันหน้าหนีด้วยความหวาดกลัว
ในยุคสมัยแห่งการบ่มเพาะพลัง ความแตกต่างทางฐานะของผู้คนยิ่งเพิ่มขึ้น ทำให้บางคนไม่สามารถบ่มเพาะพลังได้ อย่างคนในเขตสลัม ที่มีคนน้อยมากที่ได้บ่มเพาะพลัง แม้ว่าพวกเขาจะได้รับยา 12 ชนิดในราคาถูก พวกเขาก็บ่มเพาะพลังได้ยาก เพาะพวกเขาไม่มีเคล็ดบ่มเพาะพลังที่ถูกต้อง ถึงมีก็เป็นเคล็ดบ่มเพาะพลังเริ่มต้นที่ไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก
ทำให้เมื่อคิดจะปล้นชิงทรัพย์ ต้องระมัดระวังตัวอย่างมาก ถ้าพลาดจะเกิดความสูญเสีย บาดเจ็บแทน
ทำให้การสร้างกลุ่มแก็งจะต้องมีความแข็งแกร่งในระดับสูงมาก
จิวโมไป๋เดินมาถึงสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ที่ตอนนี้เปิดไฟสว่างทั่วอาคาร จิวโมไป๋เดินไปเคาะด้านหน้าสุด แทบจะเสี่ยววินาทีก็มีชายวัยรุ่นเปิดประตูให้ทันที
“เชิญเข้ามาครับ”
จิวโมไป๋เดินเข้าไป พร้อมกับใช้จิตสัมผัสตรวจสอบทั่วอาคาร ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ ชายวัยรุ่นก้มหน้าเดินนำจิวโมไป๋ไปด้านใน จนมาถึงห้องอาหารเขาก็เห็นชายหัวล้านกำลังยืนอยู่ทางเข้าประตูห้องอาหาร
“ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าอย่าปล่อยให้ใครแยกไปคนเดียว ทำไมให้เขาไปรอรับฉันคนเดียว”จิวโมไป๋กวาดสายตาตรวจสอบโดยรอบขณะถามชายหัวล้าน แต่เมื่อชายหัวล้านไม่ตอบ เขาก็เงยหน้าขึ้นเห็นชายหัวล้านมองเขาด้วยสีหน้าตกใจ ลูกน้อยหลายคนด้านข้างก็หน้าซีด
จิวโมไป๋เหมือนพึ่งรู้ตัว เขาใช้จิตสัมผัสตรวจสอบโดยรอบแต่ก็ไม่พบอะไร เขาหันกลับไปมองก็ไม่มีชายวัยรุ่นที่พาเขาเข้ามาแล้ว จนเขากลับมามองชายหัวล้าน
ชายหัวล้านกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ก่อนจะพูดเสียงสั่น
“พวกเราทุกคนอยู่ที่นี่ทั้งหมด ไม่มีใครแยกออกไปเลย”
จิวโมไป๋นิ่งไปครู่หนึ่ง เขาสำรวจสีหน้าของทุกคนพบว่าทุกคนไม่ได้โกหก เขาก็มั่นใจแล้วว่า เขาพบเหตุการณ์ทางวิญญาณ จริงๆ
ประตูมิติระดับล่างเริ่มเปิดออกแล้ว