ย้อนเวลากลับมาเป็นเทพยุทธ์ - ตอนที่ 159
ก่อนหน้านั้น 10 นาที
ภายในเขาวงกต
หมอกสีเทาหนาทึบบดบังทัศนวิสัย ทำให้ยากแก่การกำหนดทิศทาง ตงมอเทียนแหวกพุ้มหญ้าที่สูงเท่าตัวคนออกและเดินผ่านมันไป เขามองไปรอบๆผ่านความมืดเพื่อหาทางออก แต่เพราะมีทางแยกจำนวนมาก ยิ่งเขาเดินมันยิ่งสลับซับซ้อน เหงื่อไหลออกจากใบหน้าและแผ่นหลังจนชุ่ม ทั้งๆที่อากาศหนาวเย็น
“บ้าเอ้ย!”ตงมอเทียนตกใจ เมื่อเขาเข้าเดินเลี้ยวเข้าทางแยก เขาเห็นหุ่นไม้ตั้งขวางอยู่ตรงกลาง มอตงเทียนชกหมัดใส่หุ่นไม้ด้วยความโกรธ หุ่นไม้แตกหักพังลงไปบนพื้น
“ทำไมหุ่นนี้ ถึงทำลายได้”ตงมอเทียนมองเศษไม้ด้วยความสงสัย เพราะในระหว่างทางที่เขาเดินหาทางออก เขาทดสอบหักดึงไม้เลื้อยตามผนังเขาวงกต แต่ก็ทำไม่ได้ เหมือนมีพลังงานบางอย่างหอหุ้มป้องกันเอาไว้ ไม่ให้มันได้รับความเสียหาย จากนั้นเขาก็ทอสอบถอนต้นหญ้าบนพื้น พยายามขยับก้อนหินขนาดใหญ่และขนาดเล็ก ที่ขวางทางเดิน หรือแม้แต่พยายามโค้นต้นไม้ที่ปลูกไว้ในเขาวงกต เขาก็พบว่าเขาไม่สามารถทำอะไรพวกมันได้ ได้มากที่สุดก็แค่แหวกหญ้าหรือกิ่งไม้เพื่อเปิดช่องทางเดิน
เหมือนกับว่าของทุกอย่างในเขาวงกต ไม่สามารถทำลายมันได้
ตงมอเทียนมองหุ่นไม้และครุ่นคิดอะไรบางอย่าง จากนั้นเขาก็ยกเท้าเหยียบหุ่นไม้จนแตกออกเป็นชิ้นๆ เขาเหยียบทุกส่วนของหุ่นไม้ เท้าของเขาก็เหมือนเหยียบของแข็งบางอย่าง เขายกเท้าออกและก้มลงไปมอง เขาก็พบมีดสั้นขนาดเล็ก ที่มีสนิมสีแดงดำเกาะตามใบมีด เขาก้มลงหยิบมันขึ้นมา
“นี่มัน…”ตงมอเทียนพลิกมีดเพื่อตรวจสอบ ในตอนนั้นเอง อยู่ๆโคมไฟที่ห้อยเอาไว้ตลอดทางบนกำแพงเขาวงกต ก็ถูกจุดจนสว่างเกิดเป็นแสงสีฟ้าอ่อน แต่มันอยู่สูงเกินไปทำให้แสงไฟที่ส่องลงมาไม่สว่างมากนัก แต่ก็ยังพอทำให้สามารถมองเห็นทางได้ไกล
ตงมอเทียนกำมีดแน่นโดยไม่รู้ตัว ในตอนนี้เขาไม่รู้สึกดีใจเลยที่มีแสงสว่าง เพราะแสงจากโคมไฟ มันยิ่งทำให้บรรยากาศของเขาวงกตน่ากลัวมากขึ้นไปอีก ลมหนาวพัดหมอกสีเทาผ่านร่างของตงมอเทียน ทิ้งความรู้สึกหนาวยะเยือกไว้ตามผิวหนัง
“เตรียมพร้อมหรือยัง…”เสียงกระซิบแหบแห้ง ดังขึ้นข้างหูขวาของตงมอเทียนอย่างแผ่วเบา
ตงมอเทียนหมุนขวับหันไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว เขาชี้มีดสั้นไปทางเสียงที่ได้ยิน แต่เขาก็ไม่พบอะไรอยู่ตรงนั้น มีแต่ความมืดที่ว่างเปล่า
“ใคร…แกเป็นใคร ออกมาเดียวนี้ ฉันไม่กลัวแกหรอก”ปากของเขาร้องท้าทาย แต่มือของตงมอเทียนสั่นเบาๆ อย่างห้ามไม่อยู่ เขารู้ได้ในทันที ว่าอีกฝ่ายไม่ใช้คนธรรมดาอย่างแน่นอน
“ใจกล้าดี ฉันชอบ ฉันจะให้โอกาสแกหนีไปก่อน และฉันจะนับ 1 ถึง 10 ถ้าแกหนีไม่ได้และถูกจับ ฉันจะเอาร่างของแกมาแทนที่ ตำแหน่งของหุ่นตัวนี้”เสี่ยงพูดแหบแห้งดังมาตามสายลม ตงมอเทียนหันไปรอบก็ๆก็ไม่พบใคร ใบหน้าของเขาในตอนนี้ไร้สีเลือด
“เอาละเรามาเริ่มเกมส์กันเถอะ “เสียงหัวเราะแหบแห้งดังจากทุกทิศทาง ร่างของตงมอเทียนสั่นเทาด้วยความกลัว เขาเป็นผู้บ่มเพาะพลัง ขั้นที่ 4 กลาง ยังรู้ถึงอันตรายที่บีบรัดหัวใจ ขาสองข้างของเขาวิ่งออกไปทันทีโดยที่เขาไม่ได้สั่ง
“วิ่งไปเรื่อยๆ ทำให้ฉันสนุกหน่อยเถอะ”เสียงบ้าคลั่งดังอย่างแผ่วเบาไปตามสายลม
…
นอกสวนสนุกร้างชายในชุดคลุมสีม่วงมือของเขาถือดาบยาว เดินมาด้านหน้าสวนสนุก เขาเห็นว่าประตูใหญ่ถูกล๊อคจากด้านใน เขาก็เดินไปอีกด้าน ก่อนจะกระโดดข้ามกำแพงสูงลงมาอีกฝั่ง เขามองไปรอบๆ ก่อนจะพุ่งตรงไปยังใจกลางของสวนสนุก วิ่งไปไม่นานเขาก็ชะงักเล็กน้อย เมื่อเห็นร่างของคนหมดสตินอนอยู่บนถนน
แต่เขาไม่สนใจคนที่เป็นลม เขาเดินหน้าต่อไป แต่ยิ่งเดินเขาก็ยิ่งหลง เพราะหมอกสีเทาหนาทึบทำให้กำหนดทิศทางได้ยาก ทั้งๆที่เดินตรงแต่เหมือนกับมาทีเดิม และเครื่องเล่นแถวนั้นถูกทำลายจนหมด ทำให้ไม่สามารถรู้ได้ว่าเขากำลังอยู่ตรงไหน ชายชุดคลุมม่วงกดเปิดกำไลข้อมือ ก็พบว่าไม่มีสัญญาณ
บัดซบมาเสียอะไรตอนนี้?
ชายชุดคลุมม่วงพูดสถบด้วยความไม่พอใจ
โคลมคราม เสียพังทะลายของเครื่องเล่นดังขึ้น จากทิศทางหนึ่ง ชายชุดคลุมม่วงมองไปทางที่ได้ยินเสียง เขาเห็นชิงช้าสวรรค์เลือนลางจากทางด้านหนึ่งกำลังพังลงมา
ชายชุดคลุมม่วงมุ่งตรงไปทางนั้นทันที
หลังจากที่ชายชุดคลุมม่วงจากไปไม่นาน ก็มีคนในชุดคลุมสีขาว แดง และเขียวเข้ม ปรากฏตัวมายืนที่ๆชายชุดคลุมม่วงพึ่งจากไป
“หัวหน้า ดูฟงอี้เฟยสิ พึ่งออกจากการสอบสวน เขาก็ใช้อำนาจของหน่วยลับ หาข้อมูลของจิวโมไป๋ แล้วตามมาหาเรื่องถึงที่นี่ ทำไมพวกเราไม่รีบจับเขาไปลงโทษ ถ้าเกิดจิวโมไป๋บาดเจ็บหรือพิการขึ้นมา ชื่อเสียงกลุ่มของเราจะเสียหาย”ชายชุดคลุมเขียวเข้มพูดขึ้น
จี้หยางเฟยยกมือขึ้นก่อนพูด
“ที่นี่มีพลังงานบางอย่างที่ทำให้ไม่สามารถใช้กำไลข้อมือได้ นายออกไปข้างนอกและติดต่อหลิวยี่อิง ให้ส่งกำลังเสริมมาช่วยเหลือคนที่ไม่ได้สติ ฉันกับจ้าวลู่เฟินจะเข้าไปตรวจสอบด้านใน ฉันรู้สึกว่าที่นี่มีบรรยากาศที่เหมือนกับ โรงงานผีดิบที่พวกเราพึ่งทำลายไป”
ชายชุดคลุมเขียวพยักหน้ารัวเร็ว เพราะเขาได้อ่านบันทึกโรงงานร่างผีดิบแล้ว มันน่ากลัวมาก ถ้าชักช้าเรื่องอาจบานปลายได้ เขารีบออกไปตามทางที่พึ่งมาทันที
“จี้หยางเฟย จิวโมไป๋คนนี้ดูแปลกๆ ฉันอ่านข้อมูลของเขาในช่วงก่อนที่ตำหนักยุทธจะถูกทำลาย เขาไม่มีลักษณะของอัจฉริยะในการบ่มเพาะพลังหรือการต่อสู้แม้แต่น้อย เขาเป็นนักวิชาการที่ทุ่มเทความสนใจลงไปกับการศึกษา ไม่สนใจบ่มเพาะพลังด้วยซ้ำ ด้วยความฉลาดของจิวโมไป๋ เขาสามารถเป็นนักปรุงยาเตาหลอม 9 สุริยันได้ แต่เขาไม่มีทางที่จะเอาชนะฟงอี้เฟยได้…”จ้าวลู่เฟิงพูดถึงข้อสงสัยที่เธอไปสืบมา ยิ่งสืบตัวตนของจิวโมไป๋ลงลึกเท่าไหร่ เธอก็พบความไม่สมเหตุสมผลมากขึ้นเท่านั้น
จากคนที่บ้าเรียนวิชาการ ถ้าไม่อยู่ในห้องเรียนก็อยู่แต่ห้องสมุดจนห้องสมุดปิด กลายเป็นคนบ้าบ่มเพาะไม่ไปเรียนติดต่อกัน 2 เดือน
เหมือนกับว่าอยู่ๆคนที่ชอบกินเนื้อไม่กินผัก เปลี่ยนไปชอบกินผักแต่ไม่ชอบกินเนื้อ ในเวลาความวัน
จี้หยางเฟยเหลือบมองหญิงสาว และยิ้มออกมาอย่างแผ่วเบา
“คนเราเมื่อตกอยู่ในความสิ้นหวัง เมื่อได้รับโชควาสนาบางอย่าง เขาอาจจะเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนนิสัย กลายเป็นคนใหม่ก็ได้”จี้หยางเฟยพูดจบก็พุ่งตัวไปทางเครื่องเล่นชิงช้าสวรรค์ที่พังทลาย
“นาย…”จ้าวลู่เฟิงจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็เลือกที่จะเงียบ เธอมองร่างของจี้อย่างเฟยด้วยแววตาซับซ้อน ก่อนจะตามไปอย่างรวดเร็ว