ย้อนเวลากลับมาเป็นเทพยุทธ์ - ตอนที่ 171
หลังจากที่ดยุกเซราสออกจากห้องประมูล อี้ยงถานก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาเปลี่ยนสีหน้าจัดเสื้อผ้าที่ยับเยินให้เรียบร้อยที่สุด ก่อนจะเดินเข้าไปกล่าวขอบคุณฉินหวนซูและหยวนหม่าหยัน ที่มาช่วยเหลือ
“ขอบคุณท่านทั้งสองที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ”อี้ยงถานก้มหัวเล็กน้อยกล่าวขอบคุณ
หยวนหม่าหยันยันตัวลุกขึ้น มองไปที่ฉินหวนซูเล็กน้อย หันมาหาอี้ยงถานและกล่าวอย่างสุภาพ
“ผู้อาวุโสอี้เกรงใจเกินไป ฉันไม่ปล่อยให้ใครมาสร้างความเดือดร้อนที่นี่ได้…”หยวนหม่าหยันพูด เขาก็รู้สึกอายเล็กน้อย ที่เขาไม่ได้ช่วยอะไรเลย
เสื้อเกราะทองคำบนร่างของฉินหวนซู กลายเป็นแสงสีทองเข้าไปในรอยสัก ฉินหวนซูหันมาพยักหน้าให้กับอี้ยงถานเล็กน้อยก่อนพูด
“ฉันขอตัวก่อน หลานสาวของฉันมาร่วมงานประมูล ฉันต้องไปดูว่าเธอเป็นยังไงบ้าง”
ฉินหวนซูพูดเหมือนตัวเอง ไม่ได้ตั้งใจมาช่วยเหลืออี้ยงถาน แต่มาช่วยหลานสาว ทำให้การช่วยยื่นมือเขาช่วยเหลือในครั้งนี้ เต็มไปด้วยความชอบธรรม ไม่ได้ทำความดีเอาหน้า
อี้ยงถานกล้าวขอบคุณทั้งสองอีกครั้ง และเชิญทั้งสองไปที่ห้องพิเศษ แต่ก่อนที่จะขึ้นไป เขาได้เดินไปที่กลางเวทีประมูล กล่าวกับทุกคนที่ยังอยู่ในโรงประมูล
“ทางเราขอโทษกับการต่อสู้ที่เกิดขึ้น และขอเลื่อนวันจัดประมูลไปในอีก 3 วัน”อี้ยงถานพูดขอโทษ ก่อนจะกล่าวต่อ”สำหรับผู้ที่ประมูลสินค้าแล้ว สามารถรับได้ทางด้านใน”
พูดจบอี้ยงถานก็ลงจากเวทีประมูล ไปที่ด้านหลังทันที
บนห้องพิเศษเมื่อการต่อสู้จบลง
ผู้อาวุโส 3 ฉินซื่อหลันและฉินหูเจี้ยน ขอแยกจากทั้งสองไปหา ฉินหวนซู
ทิ้งมู่คังและจิวโมไป๋อยู่ในห้องพิเศษ พวกเขาจึงไปที่ห้องด้านใน เพื่อรับสินค้าที่พวกเขาซื้อ
จิวโมไป๋ให้พวกเขาส่งเต่ายักษย์ไปที่ร้านอาหารตระกูลจิว เขาส่งข้อความไปหาพ่อจิวโมไปเทียน เพื่อไม่ให้พ่อของเขาเผลอฆ่าเต่ายักษ์นำไปทำเป็นอาหาร
ในระหว่างที่พวกเขาออกจากห้องรับสินค้า จิตสัมผัสของเขาก็พบถังหมินหยุน กำลังรับสินค้าที่เขาซื้อจากห้องข้างๆ
จิวโมไป๋เดินนำออกไปก่อนที่ถังหมินหยุนจะออกมา เขาไม่อยากเกิดเรื่องอะไรขึ้นในตอนนี้ มันจะทำให้เป็นที่สนใจของคนอื่น
ออกจากโรงประมูลหมีหิมะ จิวโมไป๋มองไปรอบๆในตอนนี้มีผู้คุ้มกันจำนวนมากกำลังเฝ้าระวังอย่างเต็มที่
มู่คังพาเข้าไปหาผู้คุ้มกันวัยกลางคน ก่อนจะนั่งรถไปที่พักของมู่คัง
คฤหาสน์ของมู่คังอยู่เขตรอบนอกเมืองฉางอัน ทำให้มีพื้นที่ขนาดใหญ่ ภายในบ้านมีผู้คุ้มกันและพ่อบ้านแม่บ้านหลายคน กำลังทำหน้าทีอย่างแข็งขัน เหมือนกับว่ามู่คังมักจะอาศัยอยู่ที่นี่ ไม่ได้กลับไปอยู่ที่ตระกูลหลักบ่อยนัก
ทำให้เขารู้ว่ามู่คังไม่ได้เป็นที่รักของตระกูลเท่าไหร่นัก ทั้งๆที่มู่คะงมีพรสวรรค์ในการบ่มเพาะพลังที่สูงในระดับหนึ่ง แต่มู่คังเหมือนถูกเลี้ยงแบบไม่ใส่ใจ
จิวโมไป๋เดินตามมู่คังเข้าไปในบ้าน ไม่มีรูปถ่ายครอบครัวประดับแม้แต่รูปเดียว เขาสัมผัสได้ถึงความเหงาจากตัวบ้านได้ จิวโมไป๋ทบทวนความทรงจำ เขาก็จำได้ลางๆว่า ผู้สืบทอดตระกูลมู่จะเป็นน้องชายต่างแม่ของมู่คัง แต่ในภายหลังน้องชายต่างแม่เสียชีวิต มู่คังจึงได้รับตำแหน่งว่าที่ผู้นำตระกูล
เขาก็เข้าใจ ว่ามู่คังเป็นบุตรชายของภรรยารอง ทำให้ถูกลดบทบาทในตระกูลลง เพื่อส่งเสริมบุตรชายที่เกิดจากภรรยาหลวง
จิวโมไป๋ถอนหายใจ เขาไม่อยากคาดเดาสาเหตุการณ์การตายของ น้องชายมู่คัง
เมื่อเข้าไปในอาคารมู่คังก็ เรียกแม่บ้านจัดอาหารเย็น
พวกเขานั่งกินอาหารด้วยกัน โดยที่เสี่ยวไป๋และเสี่ยวเหมยยึดพื้นที่บนโต๊ะเกือบทั้งหมด
หลังทานอาหาร มู่คังมองจิวโมไป๋ ท่าทางไม่มั่นใจ แต่สุดท้ายเขาก็เดินมาหาจิวโมไป๋
“น้องชาย ช่วยประลองกับฉันได้ไหม”
“ได้”จิวโมไป๋ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะบอกตกลงรับการประลอง
มู่คังพาจิวโมไป๋ไปห้องสำหรับฝึกการต่อสู้ เสี่ยวไป๋และเสี่ยวเหมยนอนกลิ้งไปมาที่ห้องนั่งเล่น มู่คังพาจิวโมไป๋ไปพื้นที่ประลอง พวกเขาก็เริ่มต่อสู้ทันที มู่คังบุกเข้าหาจิวโมไป๋ แต่ก็ถูกจิวโมไป๋ หมุนตัวหลบและเตะเขาที่ขาจนเสียหลักล้มลงไป
มู่คังลุกขึ้นมาต่อสู้ แต่ก็ถูกจิวโมไป๋จัดการอย่างง่ายดาย ประสบการณ์ต่อสู้ของพวกเขาต่างกันเกินไป
ผ่านไป 10 นาที มู่คังไม่สามารถทำอะไรจิวโมไป๋ได้เลย เขานอนหอบเหนื่อยอยู่บนพื้น มองไปที่จิวโมไป๋ ที่ร่างกายยังคงปลอดโปร่งเหมือนไม่เสียกำลังแม้แต่น้อย
“น้องชายช่วยสอนการต่อสู้ให้กับฉันได้ไหม”มู่คังก้มหัวขอร้องให้จิวโมไป๋ช่วยฝึกการต่อสู้ เขาเห็นจิวโมไป๋แม้ระดับจะอยู่แค่ขั้นที่ 2 ปลาย แต่สามารถเอาชนะเขาที่อยู่ขั้นที่ 4 ต้นได้ง่ายๆ
จิวโมไป๋ครุ่นคิดเล็กน้อย
“ได้ แต่มีข้อแม้ว่าห้ามนำเคล็ดวิชาที่ฉันสอน ไปสอนคนอื่น”
“ได้ฉันสัญญา”มู่คังพยักหน้ารับปากอย่างแข็งขัน
จิวโมไป๋ไม่พูดอะไรอีก เขาให้มู่คังนั่งสมาธิ มู่คังแปลกใจเล็กน้อย เขาคิดว่าจิวโมไป๋จะสอนวิชาต่อสู้ แต่เขาก็ยังทำตามที่จิวโมไป๋บอกแต่โดยดี
จิวโมไป๋มองมู่คัง ก่อนจะตัดสินใจสอนเคล็ดบ่มเพาะจิตวิญญาณเนตรสะท้อนตัวตนให้กับมู่คัง
เคล็ดบ่มเพาะจิตวิญญาณที่เนตรสะท้อนตัวตน ทำให้ผู้ฝึกรู้จักตัวตนของตัวเองมากขึ้น ทำให้จิตใจเฉียบคม สามารถเคลื่อนไหวร่างกายและใช้กระบวนท่าได้ง่ายขึ้น เมื่อเคล็ดบ่มเพาะจิตวิญญาณเนตรสะท้อนตัวตนระดับสูงขึ้น จะสามารถมองเห็นตัวตนของคนอื่น หรือจับโกหกได้
แม้ว่าเคล็ดบ่มเพาะจิตวิญญาณเนตรสะท้อนตัวตน จะไม่ได้ถูกจัดให้อยู่ใน 10 อันดับแรกของเคล็ดบ่มเพาะจิตวิญญาณที่ดีที่สุด แต่มันต้องถูกจัดให้อยู่ 20 อันดับแรกอย่างแน่นอน
เคล็ดบ่มเพาะจิตวิญญาณที่ฝึกฝน ยิ่งระดับสูง ยิ่งเหมือนกัน เมื่อไปถึงระดับสูงสุด เคล็ดบ่มเพาะจิตวิญญาณ จะทำให้ผู้บ่มเพาะจิตวิญญาณบรรลุถึงจิตใจอันสงบ
ทำให้ในเคล็ดบ่มเพาะจิตวิญญาณระดับสูง แทบไม่ต่างกัน ต่างกันแค่ตอนเริ่มแรกเท่านั้น
ในอดีตก่อนกลับมาเกิดใหม่ จิวโมไป๋ก็บ่มเพาะเคล็ดบ่มเพาะจิตวิญญาณเนตรสะท้อนตัวตน เพราะมันเหมาะสำหรับการต่อสู้และสามารถอ่านคนอื่นได้ว่ามาดีหรือมาร้ายกับเรา ทำให้เขาสามารถเอาตัวรอดไม่ถูกหลอกได้ง่ายๆ
ถ้าเขาไม่หลอมรวมโลหิตมังกรพายุอัสนี เขาก็จะบ่มเพาะเคล็ดบ่มเพาะจิตวิญญาณเนตรสะท้อนตัวตนอย่างแน่นอน
แต่เพราะความบ้าคลั่งของโลหิตมังกรพายุอัสนี ทำให้เขาต้องเลือกที่จะบ่มเพาะเคล็ดบ่มเพาะจิตวิญญาณหัวใจพิสุทธิ์ ที่ช่วยให้เขาควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ดีขึ้น
เคล็ดบ่มเพาะจิตวิญญาณเนตรสะท้อนตัวตน เขาสอนให้หวังเสี่ยวเปา เฉินหู และอูเหวิน ที่เขาสอนให้กับมู่คัง เพื่อให้มู่คัง สามารถรู้สึกได้ว่าใครหวังร้ายกับตัวเอง อย่างน้อยมู่คังก็จะไม่ซื่อบื้อโดนตงมอเทียนหลอกได้ง่ายๆ
—
วันนี้ลง 1 ตอน
ตอนนี้สั้นหน่อยนะครับ ผมเป็นไข้ เขียนต่อไม่ไหวT^T
ช่วงนี้อากาศเปลี่ยน ดูแลสุขภาพด้วยนะครับ