ย้อนเวลากลับมาเป็นเทพยุทธ์ - ตอนที่ 172
2 วันหลังจากการโจมตีโรงประมูลหมีหิมะ
เมืองหลวงของประเทศมังกร
ทั้งเมืองเต็มไปด้วยอาคารสูงเสียดฟ้า สิ่งอำนวยความสะดวกทันสมัย เหนือล้ำ ก้าวหน้ากว่าเมืองอื่นๆ อย่างเทียบไม่ติด มีผู้ประชากรอาศัยอยู่กว่า 500 ล้าน
ผู้บ่มเพาะพลังทุกคนต่าง ก็ต้องการเข้ามาที่นี่ เพื่อแสวงหาโชค หาเข้ากลุ่มอำนาจอันทรงพลังที่จะช่วยสนับสนุน แต่ใครจะรู้ว่าเมืองหลวงที่มีแต่คนต้องการเข้ามา เต็มไปด้วยกลุ่มอำนาจนับไม่ถ้วน ที่จ้องมองหาโอกาสที่จะทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม ผู้บ่มเพาะพลังที่เข้ามา ก็จะถูกกลืนกินจากกลุ่มขั้วอำนาจอื่น จนไม่เหลือซาก
ใจกลางเมืองหลวงมีอาคารโดดเด่น ล้อมรอบไปด้วยกำแพงหนาสูงกว่า 50 เมตร เหมือนป้อมปราการ ด้านหน้ามีประตูเหล็กขนาดใหญ่ แต่ไม่มีป้ายชื่อบอกถึงสถานที่แห่งนี้
แต่กลุ่มอำนาจในเมืองหลวง ต่างรู้ดีว่า อาคารแห่งนี้เป็นสถานที่ต้องห้าม ที่ไม่มีใครกล้าเข้าไป
ภายในกำแพง ผู้บ่มเพาะพลังในชุดคลุมหลายสิบคนต่างยืนล้อมรอบ กลุ่มคนผิวขาวหน้าทางเข้า ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยเหงื่อที่ไหลหยดลงมา
“ฉันก็ไม่รู้นะว่า คุณเอาความมั่นใจแบบนี้มาจากไหน ที่กล้าเข้ามาที่นี่!”ชายวัยกลางคนผมขาวเหมือนสีเงิน มองไปที่ใบหน้าของชายผมทองใบหน้าหล่อเหลาตรงหน้า เขาเดินช้าๆจนมายืนประจันหน้ากัน
“ออกไปจากที่นี่ซะ ก่อนที่คุณจะไม่มีโอกาสได้ออกไป”
“ฉันได้ยินมาว่า คุณเป็นผู้บ่มเพาะพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของประเทศมังกร เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า?”ดยุกเซราสถามขึ้น เขาไม่สนใจกับท่าทางของคนตรงหน้าแม้แต่น้อย
ชายวัยกลางคนผมขาวสูดลมหายใจ มองสบตาก่อนจะยิ้มเย็นชา
“นี่คือเป้าหมายสินะ”
ใบหน้าของดยุกเซราสเปลี่ยนไปเล็กน้อย วงแหวนเวทย์ปกคลุมคนของเขาทั้งหมด และกลายเป็นแสงหายไปอย่างรวดเร็ว
ตูมม!!!
ในชั่วพริบตาตรงที่ดยุกเซราสเคยยืนอยู่ แตกกระจายกลายเป็นหลุมลึก วัตถุที่ใช้ในการสร้างพื้นมีความแข็งแกร่งกว่าที่โรงประมูลถึง 10 เท่า แต่การโจมตีแค่ครั้งเดียวของชายวัยกลางคนผมขาว ถึงกับทำลายมันเป็นชิ้นๆ
คลื่นพลังกระจายออกเป็นวงกว้างเหมือนถูกระเบิด ทำให้ผู้บ่มเพาะพลังในชุดคุลมต่างก็แยกย้ายออกจากจุดนั้นอย่างรวดเร็ว
บนอากาศห่างออกไป 50 เมตร ดยุกเซราสปรากฏตัวขึ้นจากความว่างเปล่า เขามองหลุมลึกเล็กน้อยใบหน้าของเขากระตุกยิ้มออกมา วงแหวนเวทย์สีเขียวอ่อนขนาดใหญ่นับ 100 ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าครอบคลุม พื้นที่ภายในกำแพงทั้งหมด
ชายวัยกลางคนผมขาว เงยหน้ามองไปที่วงแหวนเวทย์ พลังงานสีฟ้าไหลเวียนไปทั่วร่าง ท้องฟ้าพลันเกิดเมฆสีดำปกคลุมพื้นที่เหนือเมืองหลวง สายฟ้าเริ่มร้องเสียงดัง สายฝนตกลงมาอย่างรุนแรง
ทำให้ฝนตกทั้งเมือง
บนหน้าฝากของชายวัยกลางคนผมขาวปรากฏ แสงสีฟ้าเข้ม เป็นรูปมังกรฟ้าทรงพลัง สายฝนที่ตกลงมาหยุดลงกลางอากาศ ก่อนจะหมุนวนหลอมรวมกลายเป็นมังกรเกร็ดฟ้า ยาว 20 เมตร ลอยอยู่บนท้องฟ้า พลังกดดันที่ส่งผ่านจากร่างของมัน ทำให้ผู้บ่มเพาะพลังทุกคนในเมืองหลวงหยุดหายใจไปชั่วขณะ
“ถ้าอยากจะทดสอบ ฉันก็จะช่วยสนองให้เอง”ชายผมขาวลอยขึ้นไปบนฟ้าอย่างช้าๆ มังกรฟ้าพุ่งตัวมารับ
“แต่ทางฉันจะขอแลกกับแขนของคุณสักข้างก็แล้วกัน”
…
ป่ามืดนอกเมืองฉางอัน
มู่คังวิ่งอย่างรวดเร็ว ทิ้งเสียงเหยียบใบไม้กิ่งไม้ตลอดทาง มู่คังไม่สนใจว่าเสียงที่เกิดจะดึงดูดความสนใจหรือไม่ เขารู้ว่ายังไงก็ต้องถูกพบ เขาเลือกที่จะไปที่ทางออกให้เร็วที่สุด
เขาวิ่งตรงไปอย่างหน้าอย่างสุดแรง กระโดดผ่านต้นไม้ที่หักล้มขวางหน้าอย่างรวดเร็ว แต่ในตอนที่เขาข้ามต้นไม้ ลูกธนูไม้ก็พุ่งเข้าหาจากด้านขวา แต่เหมือนมู่คังจะรู้ตัวอยู่แล้ว เขาสลับเท้าชะงักร่างลงเล็กน้อย แต่ไม่เสียความเร็ว ลูกธนูไม้พุ่งผ่านหน้าไปเพียง หนึ่งฝ่ามือ
มู่คังหมุนตัวกระโดดปีนขึ้นไปตามต้นไม้ และถีบเท้ากระโดดไปอีกต้น ใช้ต้นไม้บังร่างกายหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว
แต่ลูกธนูไม้อีก 3 ดอก ยิงมาจากด้านหลัง แยกออกจากกันเป็นสามทิศทางหลบต้นไม้ที่ข้างอยู่ ก่อนจะพุ่งดัก ไม่ให้มู่คังได้หลบไปง่ายๆ มู่คังไม่แม้แต่มองย้อนกลับ เขาจับกิ่งไม้ที่ยืนซ้ายออกมา หมุนตัวเตะใส่ลูกธนูลูกหนึ่ง และใช้มือขวาจับลูกธนูอีกดอก ส่วนลูกธนูอีกดอก เขาเอียงหัวหลบให้มันปักไปที่ต้นไม้ ก่อนจะปาลูกธนูในมือย้อนกลับคืนไป
“ระวัง!”เสียงร้องเตือนดังขึ้นพร้อมกับหอกไม้แทงลงมาจากด้านบน มู่คังปล่อยมือจากกิ่งไม้ เท้าเตะใส่ต้นไม้เบาๆหลบออกมา เขาพลิกตัวไปยืนบนต้นไม้ที่อยู่ด้านข้างอย่างพอดี ก่อนจะพุ่งเข้าชกหมัดใส่ผู้ใช้หอก แต่อีกฝ่ายเหยียบต้นไม้และพุ่งตัวแทงหอกไม้ตอบโต้ได้อย่างรวดเร็ว พวกเขาทั้งสองต่อสู้สลับไปมาบนต้นไม้อย่างรวดเร็ว แม้พวกเขาจะไม่สามารถยืนได้ถนัด แต่ก็ไม่สามารถประมาท เพราะอาจทำให้พ่ายแพ้ได้
ลูกธนูไม้พุ่งมาอีก มู่คังอาศัยจังหวะนี้จับลูกธนูไม้ปาใส่ หวังเสี่ยวเปา
ทำให้หวังเสี่ยวเปาต้องยกหอกไม้ขึ้นมากัน มู่คังอาศัยจังหวะนี้หนีออกไปอย่างรวดเร็ว แต่มีชายร่างกำยำข้างเอาไว้ มู่คังวิ่งเข้าใส่ตรงๆ
แต่เมื่อใกล้ถึงตัวเฉินหู มู่คังก็พลิกตัวพุ่งหลบหลังพุ้มไม้หนีออกไป
“เฮ้! พี่มู่ มาสู้กันก่อน”เฉินหูร้องตะโกนไล่หลัง หวังเสี่ยวเปาที่ตามมาส่ายหัวเบาๆ
มู่คังวิ่งสุดกำลังหลบหนีออกจากป่ามืดได้สำเร็จ เขาก็ทิ้งตัวลงกับพื้นด้วยความเหนื่อยอ่อน
ด้านหน้าทางออกจิวโมไป๋ เสี่ยวไป๋และเสี่ยวเหมยกำลังนั่งรออยู่
ไม่นานหวังเสี่ยวเปา เฉินหู และอูเหวินก็ออกมาจากป่า
หวังเสี่ยวเปายิ้มเล็กน้อยไม่คิดมาก แต่เฉินหูดูจะหงุดหงิดที่ไม่ได้ต่อสู้ อูเหวินนิ่งเงียบไม่พูดอะไรเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ
จิวโมไป๋มองไปที่อูเหวินเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นมาทางมู่คัง
มู่คังยันตัวลุกขึ้นมองไปที่จิวโมไป๋และคนอื่นๆก่อนพูด
“ไม่คิดเลยว่าจะถูกผู้บ่มเพาะที่อ่อนแอกว่า 1 ขั้นใหญ่กดดันได้ขนาดนี้”
“ความแข็งแกร่งของพวกเขา พอๆกับผู้บ่มเพาะขั้นที่ 4 ต้น แต่นายสามารถ หนีจากพวกเขา 3 คนได้ก็ไม่ธรรมดาแล้ว”
“พี่มู่เรามาสู้กันเถอะ ฉันยังไม่ได้ต่อสู้เลย”เฉินหูเดินมาตบไหล่มู่คังเบาๆ แต่มันทำให่มู่คังเกือบทรุด เขาหันมามองค้อนเล็กน้อย ก่อนจะหาเรื่องบ่ายเบี่ยง เขาไม่อยากสู้กับคนที่บ่มเพาะร่างกาย เพราะถึงจะชนะเขาก็ต้องบอบช้ำบาดเจ็บไม่น้อย
จิวโมไป๋มองทั้งสองด้วยรอยยิ้ม เมื่อ 1 วันก่อนหลังจากที่จิวโมไป๋สอนให้มู่คังใช้จิตสัมผัสได้แล้ว เขาก็คิดบางอย่างขึ้นได้
เขาจึงส่งข้อความชวนให้สามพี่น้องมาฝึกด้วยกันที่นี่ ทั้งสามไม่ปฏิเสธ พวกเขามาที่บ้านของมู่คังในเที่ยงวัน พวกเขาก็ฝึกฝนด้วยกัน จนอีกวันพวกเขามาทดสอบ หลบหนีออกจากป่า
มู่คังมีระดับการบ่มเพาะพลังขั้นที่ 4 ต้น เมื่อใช้จิตสัมผัสได้ แม้จะเป็นระดับเริ่มต้น มีระยะการมองเห็นแค่ 10 เมตร เขาก็สามารถหลบหนีจากทั้งสามพี่น้องที่มีอาวุธครบมือได้
ระดับฝีมือของสามพี่น้อง สามารถต่อสู้กับ 1 ขั้นใหญ่ของระดับการบ่มเพาะได้ ได้โดยไม่พ่ายแพ้ง่ายๆ เมื่อมีอาวุธครบมือ พวกเขายังไม่สามารถหยุดมู่คังได้
แสดงให้เห็นว่าประสาทสัมผัสทั้งห้า และจิตสัมผัสของมู่คังแข็งแกร่งกว่าคนธรรมหรืออัจฉริยะหลายคนจริงๆอย่างที่เขาคิด
การหลบหนีจากสามพี่น้องได้ จึงไม่แปลกอะไร พวกเขาไม่ได้ตั้งใจบ่มเพาะจิตวิญญาณ ทำให้ยังอยู่แค่ขั้นทองแดงต้นเท่านั้น ระยะจิตสัมผัสก็ไม่ได้ต่างจากมู่คังมากนัก และนี่เป็นการหลบหนีไม่ได้ปะทะตรงๆ และไม่ได้ใช้วิชาต่อสู้และท่าร่าง ไม่แปลกที่จะหยุดมู่คังไม่ได้
พวกเขาทั้ง 5 คน และ 2 ตัว ออกจากป่ามืดขึ้นรถยนต์ กลับบ้านของมู่คัง
จิวโมไป๋บอกเขาถึงแผนในคืนนี้ ทั้ง 4 ดูเหมือนจะสนใจอย่างมาก โดยเฉพาะมู่คังที่เคยไปอยู่ในแบบเหตุการณ์นี้มาแล้ว เขาตื่นเต้นกว่าคนอื่นๆมาก
จิวโมไป๋แจกอาวุธที่ผ่านการปรับเปลี่ยนใหม่ให้กับสามพี่น้อง และให้มีดเหล็กดำ ระดับ 1 ปลาย กับทั้ง 3 เอาไว้ใช้ในเวลาฉุกเฉิน
มู่คังมีอาวุธของตัวเองเตรียมพร้อมเอาไว้อยู่แล้ว
ตกเย็นทั้ง 5 คน 2 ตัว ขับรถยนต์ของตัวเอง โดยมีผู้คุ้มกันวัยกลางคน ที่มีระดับการบ่มเพาะพลังขั้นที่ 7 ตามไปด้วย จนมาถึงโรงงานชำแหละเนื้อสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดของเมืองฉางอัน
—
อาการเริ่มดีขึ้นแล้วครับ แต่ยังมึนและปวดหัวอยู่ T^T
พยายามจะไม่หายไปนาน กลัวตัวเองว่าจะหายยาวอีก
วันนี้มี 1 ตอน ขอบคุณที่ติดตามครับ