ย้อนเวลากลับมาเป็นเทพยุทธ์ - ตอนที่ 179
เมืองหลวง สำนักงานหน่วยลับ
กำแพงรอบอาคารหลายเป็นซากปรักหักพัง พื้นหินที่ปูด้วยหินแันแข็งแกร่ง เต็มไปด้วยหลุมลึกจำนวนมาก แต่ตัวอาคารสูงยังคงสภาพสมบูรณ์ เพราะมีม่านพลังสีขาวป้องกันอยู่
เปรี้ยง! แรงปะทะอันมหาศาลกระแทกเข้ากับม่านพลังจนสั่นไหวอย่างรุนแรง คนในชุดคลุมนับร้อย กดมือลงไปที่อักขระส่งพลัง เพื่อถ่ายเทพลังไปยังม่านพลัง ใบหน้าของพวกเขาต่างซีดขาวใกล้จะหมดสติ
พวกเขาทำแบบนี้มาเกือบ 3 ชั่วโมง แม้ว่าพวกเขาจะเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะที่ถูกคัดเลือกมาอย่างเข้มงวด แต่การถ่ายเทพลังติดต่อกันหลายชั่วโมง เพื่อป้องกันผลกระทบจากการต่อสู้ที่รุนแรงด้านนอก มันกินกำลังมหาศาล ไม่น่าแปลกที่พวกเขาจะหมดสติไปตอนไหนก็ได้
จี้หยางเฟย กำลังถ่ายเทพลังอยู่ตรงกลุ่มหัวหน้าหน่วย สภาพของพวกเขาดีกว่าสมาชิกธรรมดา เพราะระดับการบ่มเพาะพลังสูงกว่า
“เยี่ยม! ไม่เสียที ที่ถูกเรียกว่าเสาหลักของประเทศมังกร”ดยุกเซราส ลอยอยู่บนอากาศ เสื้อผ้าของเขายับยู่ยี่เต็มไปด้วยความสกปรก เสื้อผ้าตรงไหล่ซ้ายขาดกระจุยเป็นชิ้นๆ เห็นผิวม่วงดำเลือดสีแดงสดไหลอาบท่อนแขน
กระดูกไหล่ซ้ายแตกหักใช้ไม่ได้แล้ว ดยุกเซราสหอบเหนื่อยอย่างหนัก แต่เขายังฝืนทำหน้านิ่งราวกับไร้ความรู้สึก
ทางด้านชายวัยกลางคนผมขาว สภาพของเขาก็ไม่ต่างกับดยุกเซราสมากนัก ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลน้อยใหญ่ ตรงกลางท้องของเขามีรอยเหมือนถูกของแหลมแทงทะลุจนเลือดไหลออกจากบาดแผลไม่หยุด
“หึหึ คนหนุ่มๆแบบนาย แค่นี้ก็เหนื่อยแล้วเรอะ คนแก่อย่างฉันยังสู้ได้อีกทั้งวัน”ชายวัยกลางคนผมขาวแสยะยิ้มดูแคลน ยั่วโมไหฝ่ายตรงข้าม
แต่ดยุกเซราส เหมือนจะไม่สนใจ เขายกมือกดไหลซ้ายก่อนจะเกิดวงแหวนเวทย์สีขาวบริสุทธิ์ เสียงกรอบแกร๊บดังขึ้น กระดูกที่แตกหักจัดเรียงกันเหมือนเดิมแต่ยังไม่ผสานกันดี ยังมีรอยราวอยู่ทั่วท่อนกระดูก ต้องรีบรักษา ไม่อย่างนั้นอาจส่งผลกระทบในอนาคตได้
ในระว่างใช้เวทย์ฟื้นฟูใบหน้าของดยุกเซราสไม่มีการเปลี่ยนสี
ชายวัยกลางคนผมขาวอดไม่ได้ที่จะชื่นชม
“ฉันต้องขอตัวไปก่อน ฉันมีธุระต้องไปทำอีก”ดยุกเซราสพูดจบ เขาก็หายตัวไปยัง กลุ่มที่ลูกน้องของเขากำลังเฝ้ามองอยู่ ก่อนที่คนทั้งหมดจะหายไป
“เวรเอ๊ย!”ชายวัยกลางคนผมขาวสถบเสียงดัง เขามองไปยังตรงที่พวกนั้นหายไป ก่อนจะหันหลังเดินกลับเข้าไปในตัวอาคารโดยที่ไม่พูดอะไร
คนของหน่วยลับเห็นว่าการต่อสู้จบลงแล้ว พวกเขาก็ปลดม่านพลัง ทิ้งตัวลงนอนด้วยสภาพหมดเรี่ยวแรง
จี้หยางเฟยฝืนลุกขึ้น และเดินไปยังทางที่ชายวัยกลางคนผมขาวพึ่งเข้าไป
“หยางเฟย นายพักเอาแรงก่อน ตอนนี้หัวหน้าคงไม่ต้องการให้ใครรบกวน”ชายอายุประมาณ 30 ปี ที่กำลังนั่งพิงกำแพง มือกอดหอกยาวสีแดงเลือดพูดขึ้น
จี้หยางเฟยลังเลเล็กน้อย ก่อนที่กำไลข้อมือจะดังขึ้น
“หัวหน้า ผมมาตามที่หัวหน้าบอกแล้ว ผมว่า…มันไม่ใช้เรื่องเล็กๆแล้วหัวหน้า ผมไม่กล้าตัดสินใจ…”เสียงดังขึ้นที่ปลายสาย ก่อนที่จะมีวีดีโอส่งมา
จี้หยางเฟยกดไปที่วีดีโอ ใบหน้าที่เหน็ดเหนื่อยของเขาพลันซีดเผือก ทำให้ชายถือหอกสีแดงสงสัย เขาลุกขึ้นมาชะเง้อหน้ามอง ใบหน้าของเขาพลันเปลี่ยนไปทันที
ภาพในวีดีโอเป็นภาพซากอาคารที่พังทลาย และมีศพนับไม่ถ้วนกองอยู่ในซากอาคาร แค่มองผ่านๆพวกเขานับได้มากกว่า 300 ศพ
นี่มันไม่ใช้เรื่องเล็กๆจริงๆ…
…
เมืองฉางอัน
ปัง! ร่างของจิวโมไป๋ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาสูงขึ้นเรื่อยๆจนสูงกว่า 2 เมตร เกล็ดมังกรทองปรากฏขึ้นทั่วร่างและใบหน้า เกร็ดสีทองค่อยๆเป็นประกายมากขึ้นเรื่อยๆ ดูแข็งแกร่งขึ้นอีกหนึ่งส่วน
พลังงานอบอุ่นกระจายไปทั่วกล้ามเนื้อในร่างกาย จิวโมไป๋รู้สึกเหมือนกำลังลอยอยู่ในสระน้ำอุ่น พลังงานอบอุ่นบีบอัดอย่างช้าๆไม่รุนแรง แต่เป็นระเบียบขดมัดกล้ามเนื้อเรียงกันเป็นตัวอักษรโบราณที่แปลกประหลาด ร่างกายของจิวโมไป๋ค่อยๆหดลงอย่างช้าๆ ก่อนจะหยุดอยู่ที่ความสูง 185 เซนติเมตร กล้ามเนื้อทั่วร่างสมส่วนไม่ใหญ่ไม่เล็ก แต่รอยของกล้ามเนื้อชัดเจน
ถ้ามองผ่านๆนอกจากความสูงที่เพิ่มขึ้น เหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ภายในร่างกายกล้ามเนื้อทุกหมัดอัดแน่นเต็มไปด้วยพลัง ที่พร้อมจะระเบิดทุกเมื่อ ความแข็งแกร่งของร่างกายเพิ่มขึ้นหลายเท่า
และยังได้ ทักษะพิเศษ เหมือนเกร็ดมังกรมอง คือ พลังมังกร สามารถยกระดับพละกำลัง 3 เท่า โดยไม่ส่งผลกระทบต่อร่างกาย แต่ต้องใช้ในเวลาที่กำหนดถ้ามากกว่านั้นจะทำให้ร่างกายได้รับภาระหนัก ในระดับการบ่มเพาะพลังของจิวโมไป๋ เขาสามารถใช้พลังมังกร ได้แค่ 30 วินาที
ภายในตำหนักยุทธ์ ทะเลปราณของทั้งสองตำหนักยุทธ์ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว จนในที่สุดมันก็หยุดลง กลายเป็นทะเลปราณสีเลือดมีประกายทอง สายฟ้าที่แล็บอยู่บนเมฆจิตวิญญาณถอยกลับไปยังส่วนลึก
จิวโมไป๋ถอนหายใจเบาๆ เกร็ดมังกรกลับเข้าไปในผิวหนัง เขาลืมตาขึ้นเห็นคาบสีเทาบนผิวหนัง เขาเข้าห้องน้ำอาบน้ำใหม่อีกครั้ง เมื่อส่องกระจก เขามองไปที่ส่วนสูงที่เพิ่มขึ้น และตรงหน้าท้องมีกล้ามเนื้อหกลูกชัดเจน เขาก็ยิ้มพอใจ
ขั้นกล้ามเนื้อสูงสุด นอกจากจะทำให้กล้าทเนื้อของเขาสามารถพัฒนาความแข็งแกร่งเกินขีดกำจัดและให้พลังพิเศษ ยังปรับสภาะร่างกายของเขา ให้เป็นร่างกายสมบูรณ์แบบ เป็นร่างกายที่เหมาะกับการต่อสู้มากที่สุด
จิวโมไป๋ยิ้มสำรวจร่างกายตัวเอง ก่อนจะใส่เสื้อผ้า ออกจากห้องน้ำและนั่งสมาธิบ่มเพาะจิตวิญญาณเพื่อฟื้นฟูร่างกาย
เช้าวันต่อมา
จิวโมไป๋ลุกขึ้นจากเตียง ตบเบาๆไปที่เสี่ยวเหมยที่นอนบนหน้าอกให้ลุกออกไป มันมองค้อนจิวโมไป๋เล็กน้อยก่อนจะกระโดดลงไปนอนบนหมอนแล้วขดตัวหลับ เสี่ยวไป๋ที่นอนอยู่บนหมอนอีกใบ ลืมตาขึ้นเล็กน้อยก่อนจะหลับต่อ มันใช้พลังไปมากไม่อยากเสียกำลังตั้งแต่เช้า
จิวโมไป๋จัดการล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้า เขาก็เดินไปอุ้มเจ้าตัวเล็กสีขาวทั้งสอง เดินลงไปชั้นล่าง เขาไปที่ห้องนั่งเล่น ก็เห็นมู่คังนอนหมดสภาพอยู่โซฟา ใบหน้าซีดเซียวหมดเรี่ยวแรง
มู่คังได้ยินเสียงจิวโมไป๋ เขาลืมตาขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะทิ้งหัวนอนลงไปอีกโดยไม่พูดอะไร
จิวโมไป๋เห็นแบบนั่นช่วยไม่ได้ เขาเดินมาจิ้มนิ้วไปที่ร่างกายของมู่คัง จนได้สติสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย
“ขอบคุณน้องชายมากที่ช่วย”มู่คังพูดพึมพำ สติยังไม่กลับเข้าตัว เขาได้รับการกระทบจิตใจอย่างรุนแรง
จิวโมไป๋ถอนหายใจไม่รู้จะปลอบคนที่กินเนื้อ…ยังไง
ไม่นานหวังเสี่ยวเปา เฉินหู และอูเหวินเดินลงมา
“เป็นไงน้องเล็ก เห็นไหม ฉันชกหมัดเดียว ไอ้สัตว์ประหลาดนั้นก็ตายเลย”เฉินหูคุยโม้ไม่หยุด ทั้งๆที่ตัวเองต่อยไปก็สลบลงไปทันที ไม่ได้รู้เรื่องหลังจากนั้นแม้แต่น้อย
“หมัดของนายรุนแรงจริงๆ แต่น้องเล็กเป็นคนจบการต่อสู้”หวังเสี่ยวเปาพูดขัดขึ้น ขณะที่กำลังทิ้งตัวนั่งบนโซฟา เขามองไปที่มู่คังแล้วถามด้วยความสงสัยปนเป็นห่วง
“แล้วนายเป็นอะไร ทำไมหน้าซีดแบบนี้ หรือยังกลัวจากเมื่อคืนอยู่”
มู่คังอ้าปากจะพูด แต่เมื่อฟังคำถามจบ ภาพบางอย่างก็ย้อนกลับมา เขายกมือปิดปากตัวสั่นเล็กน้อย ก่อนจะอ่อนแรงทิ้งตัวลงนอน
“อย่างถามอะไรฉันเลย…ฉันไม่ไหวแล้ว… ในกระเพาะของฉันไม่เหลืออะไรแล้ว…”มู่คังพูดด้วยเสียงอ่อนแรง
ทุกคนหันมามองมู่คังก็เงียบไม่พูดอะไรอีก
เมื่ออาหารเช้าเข้ามาเสริฟ เฉินหูก็กวาดสายตามองอาหารแต่ละจาน ก่อนจะเงยหน้ามองมู่คัง เขาก็เข้าใจอะไรบางอย่าง เขาไม่พูดอะไร นั่งกินผักผลไม้อย่างเงียบๆ
—
วันนี้ลง 1 ตอน
ลงช้าน้อยนะครับ ผมปั่นนิยายดึก ฮ่าๆ