ย้อนเวลากลับมาเป็นเทพยุทธ์ - ตอนที่ 2
จิวโมไป๋ ที่ยืนอยู่ด้านข้างเฉินหู ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลไม่น้อยไปกว่ากัน หรืออาจจะมากกว่าเสียด้วยซ้ำ แต่เขายังคงยืนตัวตรงไม่สั่นไหว แม้ร่างกายจะไม่เต็มไปด้วยมัดกล้าม แต่กับดูเหมือนขุนเขาที่กว้างใหญ่หนักแน่นมั่นคง
“พี่รองข้าขอโทษด้วย… ที่ทำให้ท่านต้องมาลงเอยเช่นนี้”จิวโมไป๋คนกล่าวเสียงแผ่วเบา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
เฉินหู ส่ายหัวไปมาเบาๆแล้วหัวเราะเสียงดัง ความสับสนโกรธแค้นเจ็บปวดทั้งหมด ในแววตาหายไปอย่างรวดเร็ว เหลือไว้เพียงความกล้าแกร่งที่ไม่เกรงกลัวต่ออันตราย
“ไร้สาระน้องเล็ก ข้าจะโทษเจ้าได้ยังไง พวกเราคือพี่น้องกัน”
จิวโมไป๋กำหมัดแน่น ในใจทราบซึ้งเหล่าพี่น้อง ที่ร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันมาเกือบร้อยปี
เฉินหู เหม่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้าปากก็พูดลำรึกความหลัง ไม่สนใจผู้คนที่ล้อมรอบอยู่ใต้ตีนเขาแม้แต่น้อย
“น้องเล็ก ยังจำได้ไหมในวันที่พวกเราสี่คนพบกันครั้งแรก พี่ใหญ่ที่ชอบทายทักมั่วซั่ว ได้บอกพวกเราว่า พวกเราสี่พี่น้องพบเจอกันด้วยโชคชะตา ที่ชักนำให้พวกเราก้าวไปสู่จุดสูงสุดของโลก ในอนาคตพวกเราจะเป็นเทพยุทธ์ที่ผู้คนในโลกและห้วงมิติต่างๆ เคารพนับถือ”
“ข้าจำได้”จิวโมไป๋นึกถึงวันแรกที่เขา เข้ามหาวิทยาลัยเทียนซู วันที่เขาเข้าห้องพักนักศึกษา ชายอ้วนกลมราวกับซาลาเปา ที่เรียกตัวเองว่าพี่ใหญ่ อยู่ๆก็ทำนายขึ้นมาไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้พวกเขาต่างหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังอยู่เสียหลายวัน
“ฮ่าๆ ตอนนั้นข้าก็ไม่เชื่อ จนกระทั้งวันที่เจ้าสูญเสียตำหนักยุทธพวกเราต่างก็คิดว่าเจ้าต้องจบสิ้นแล้ว แต่ใครจะคิดว่าในเวลาไม่ถึงครึ่งปี เจ้าจะสามารถกลับมาบ่มเพาะตำหนักยุทธได้อีกครั้ง และใช้เวลาสิบปี กลายเป็นผู้บ่มเพาะจิตวิญญาณ ปรมาจารย์ระดับเงิน ชีวิตพลิกพลันกลับมายิ่งใหญ่ จนเราสามพี่น้องต้องพยายามฝึกฝนอย่างหนักเพื่อไม่ให้ถูกเจ้านำหน้า
พวกเราสี่คนฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย จนแข็งแกร่งมากกว่าพวกที่เรียกตัวเองว่าอัจฉริยะที่เคยดูถูกดูแคลนพวกเรา และก่อตั้งสำนักเปลี่ยนสวรรค์ เป็นสำนักที่ผู้คนมากมายต่างเคารพนับถือ พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไป 90 ปี
พี่ใหญ่กลายเป็นผู้บ่มเพาะปราณนภา เป็นผู้ที่มีพลังในการบ่มเพาะมากที่สุดในพวกเราสี่พี่น้อง
ข้าอยู่ในจุดสูงสุดของปราณปฐพี แค่กินโอสถทะลวงนภา ที่เจ้าต้องใช้ความพยายามหลายปีเพื่อคิดค้นสูตรโอสถและหาสมุนไพรหลอมโอสถให้กับข้า ข้าก็สามารถกลายเป็นผู้บ่มเพาะปราณนภาได้
น้องสามแม้การบ่มเพาะของเขาจะต่ำที่สุดในหมู่พวกเรา แต่ด้วยความฉลาด เจ้าเล่ห์… ในเส้นทางการบ่มเพาะ ด้วยความสามารถพวกนี้ เจ้าจะต้องก้าวหน้าต่อไปได้เรื่อยๆโดยไม่ถูกขัดจังหวะ
ส่วนเจ้า น้องเล็กตอนนี้เจ้าเป็นปรมาจารย์ระดับทองดำ และสำเร็จการบ่มเพาะปราณปฐพีระดับกลาง อนาคตข้างหน้าข้าคงไม่ต้องพูดถึง
ถ้าให้เวลาพวกเราอีก 20 ปี ไม่สิแค่ 10 ปีก็พอ คำทำนายของพี่ใหญ่จะต้องเป็นจริง ความสำเร็จของพวกเราจะต้องยิ่งใหญ่กว่า พวกสำนักดั้งเดิมและตระกูลโบราณทั้งหลาย ที่ผูกขาดแหล่งทรัพยากรต่างๆ เป็นของตนเอง ทำให้ผู้บ่มเพาะสามัญเช่นพวกเราต้องเผชิญหน้ากับการบ่มเพาะด้วยความยากลำบาก”
เฉินหูพูดอย่างเหม่อลอย เสียงของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นแต่โศกเศร้า ผู้คนที่รุมล้อมอยู่ต่างก็สัมผัสถึงความไม่ยินยอมพร้อมใจที่จะตายของอีกฝ่าย
อูเหวินหลับตานิ่งทำเหมือนไม่ได้ยิน แต่ในใจเต็มไปด้วยความปวดร้าวไม่แพ้กัน ความฝันในวัยเยาว์ของพวกเขาสี่พี่น้อง ที่แม้จะไม่ร่วมสายโลหิต แต่ความสัมพันธ์หนักแน่นยิ่งกว่าพี่น้องร่วมสายโลหิต หัวใจที่เย็นชาแตกสลาย กลายเป็นเศษซาก
ข้าขอโทษ…
สองมือของอูเหวินกำแน่นจนเลือดชุ่ม
จิวโมไป๋ตัวสั่นสะท้าน เทพยุทธ์ ความฝันของผู้บ่มเพาะทุกคนบนโลก อีกแค่ระยะทางสั้นๆเท่านั้นเอง
เขาถอดถอนหายใจยาวยืด กวาดตามองผู้คนที่ยืนล้อมพวกเขาทั้งสองอยู่
“เลิกยกข้ออ้างที่พวกเจ้าปั้นแต่งมาพูดเถอะ ข้ารู้เหตุผลที่พวกเจ้าทำลายสำนักข้าและพยายามทำให้ข้าจนตรอก แต่ไม่ลงมือสังหารข้าเสียที พวกเจ้าคงไม่อยากให้ข้าตาย ก่อนที่เจ้าจะได้สิ่งที่อยู่กับข้าสินะ”
จบคำบรรดาผู้คนในระดับสูงของสมาพันธ์เก้าคุณธรรม ต่างก็แสดงสีหน้าแตกต่างกันไปอย่างไม่อาจห้ามปราม
“แค่กๆ”จ้าวอี๋เทียน ส่งเสียงไอเบาๆ ผู้คนก็รีบเก็บสีหน้าทันที
“ผู้อาวุโสจิวโมไป๋ท่านเข้าใจผิดแล้ว ท่านเป็นที่เคารพนับถือของผู้คนจำนวนไม่น้อย ข้าจึงไม่อาจจะสังหารท่านได้ ได้แต่ต้องจับตัวท่านคุมขังไว้เท่านั้น ไม่มีเหตุผลอื่นใดอีกแล้ว”
จิวโมไป๋ยิ้มเยาะเย็นชา เขาหันมาสบตากับเฉินหู อีกฝ่ายพยักหน้ารับด้วยสีหน้า เรียบเฉยเยือกเย็นเตรียมพร้อมที่จะตาย
“แม้พวกเราจะไม่ได้เกิด วัน เดือน ปี เดียวกัน แต่อย่างน้อยพวกเราสามคนก็ได้ตายวันเดียวกัน”จิวโมไป๋พึมพำเสียงดังพอให้ได้ยินแค่ไม่กี่คนที่อยู่ใกล้ๆ เท่านั้น
“ฮ่าๆ น่าเสียดายที่ข้าไม่มีคนเคารพสุราปรภพ”เฉินหูหัวเราะเสียงดัง
จิวโมไป๋ยิ้มไม่พูดอะไรอีกต่อไป ปราณปฐพีรอบกายพุ่งทะยานท้วมทับผืนฟ้า
กลุ่มคนที่ล้อมรอบต่างใบหน้าเปลี่ยนสี
เฉินหูเร่งพลังปราณปฐพี กึ่งกลางหน้าผากมีรอยสักพยัคฆ์สีทอง 8 ตาปรากฏขึ้น รอยสักคล้ายกับมีชีวิต มันจ้องเขม่งมองคู่ต่อสู้อย่างดุดันทรงพลัง
ในตอนนั้นเองด้านหลังของเฉินหูมีเงาร่าง อวตารพยัคฆ์ทองคำ 8 เนตร สูงใหญ่เกือบ 50 เมตร ทันทีที่เนตรสีแดงเลือดแต่ละข้างลืมตาขึ้นแผ่นดิน อากาศ หมู่เมฆ ต่างกรีดร้องจนน่าหวาดหวัน เมื่อเนตรทั้ง 8 ลืมตาขึ้นพร้อมกัน คลื่นพลังกดขี่อันทรงพลังกดทับผู้คน จนคนที่มีฐานการบ่มเพาะอ่อนแอต่างกระอักเลือด บางคนหมดสติไปอย่างง่ายดาย
“ลาก่อนน้องเล็ก ข้าขอตามพี่ใหญ่ไปก่อน”เฉินหูส่งยิ้มเป็นครั้งสุดท้าย ใบหน้าของเขาในตอนนี้ไร้สีเลือดโดยสิ้นเชิง จิวโมไป๋ยิ้มโศกเศร้า ปากพูดขึ้นอย่างแผ่วเบา
“ไม่นานข้าจะตามท่านไป”