ย้อนเวลากลับมาเป็นเทพยุทธ์ - ตอนที่ 210
ดยุกเซราสหันหน้าไปมองอธิการบดีสาววัยกลางคน แววตาของเขาเป็นประกายเล็กน้อย ก่อนจะกลับมาสงบเหมือนเดิม เขายิ้มอย่างนุ่มนวลก่อนจะเอามือมือซ้ายทาบกึ่งกลางอก ก่อนจะโค้งตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย เป็นการทักทายแบบสุภาพบุรุษชั้นสูง
“ผมดยุกเซราส ผู้นำตระกูลเวสลาดัส แห่งประเทศสิงโต ไม่ทราบว่าคุณผู้หญิง มีนามว่าอะไร”
อธิการบดีสาววัยกลางคนแม้จะอายุถึงเลขสามใกล้จะสี่ แต่ในยุคแห่งการบ่มเพาะพลัง อายุของผู้คนจะยั่งยืนมากขึ้น อายุของอธิการบดีสาววัยกลางคนไม่ถือว่ามาก เธอมีใบหน้าอันงดงามทรงเสน่ห์ ที่ถูกหยุดลงในอยู่ช่วงวัยที่สวยงามที่สุดของหญิงสาว เหมือนดอกกุหลาบที่เบ่งบานงดงามไร้ที่ติ รวมถึงรูปร่างอันสมบูรณ์แบบของเธอ ทำให้ใครเห็นก็ต้องตกอยู่ในห่วงภวังค์แห่งความหลงไหล
แม้ว่าเธอจะใส่เสื้อผ้าเรียบง่ายปกปิดทุกส่วนของร่างกาย ใบหน้าไม่ได้แต่งมากนัก ร่วมถึงแว่นตาสีดำกรอบหนา ที่ปกปิดเกือบหนึ่งในสี่ของใบหน้า พวกมันก็ไม่สามารถลดความสวยงามของเธอได้เลย
อธิการบดีแปลกใจกับท่าทางสุภาพให้เกียรติของดยุกเซราส เธอจัดระเบียบเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะย่อเข่าอย่างงดงาม
“ฉันหลิงลั่วเซียน ผู้อาวุโสรองตระกูลหลิง แห่งประเทศมังกร ยินดีที่ได้พบท่านดยุก”
“เป็นเกียรติของผม ที่ได้พบสาวงามเช่นคุณ หลังจากจบเรื่องนี้พวกเราไปดื่มชาสักแก้ว เพื่อแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างประเทศด้วยกันดีไหม”ดยุกเซราสยิ้มอย่างนุ่มนวล สายตาไม่ละไปจากใบหน้าของอธิการบดีหลิงแม้แต่นิดเดียว
“ขออภัยที่ต้องปฏิเสธ ฉันต้องทำงานไม่สามารถไปตามคำเชิญของท่านดยุกได้”อธิการบดีหลิงปฏิเสธด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
ดยุกเซราสยิ้ม เขาไม่แสดงความเสียใจออกมา ท่าทางสุภาพบุรุษของเขา ไม่มีความคุกคามให้คนรังเกียจ
ในระหว่างที่ทั้งสองกำลังพูดกันอยู่ ก็มีคนในชุดคลุมประมาณ 10 คน วิ่งเข้ามาในสนามประลอง พวกเขาไปหยุดอยู่เบื้องหลังอธิการบดีหลิง พลังกดดันที่แผ่ออกมาจากร่างของกลุ่มคนในชุดคลุม ทำให้ดยุกเซราสเหลือบมองเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มจางๆ
อีกด้านของประตูทางเข้าสนามประลองกลางแจ้ง ชายในชุดสูทสีดำ 10 คนก็รีบวิ่งเข้ามา พวกเขาเห็นกลุ่มคนในชุดคลุม พวกเขาเร่งความเร็วมายังดยุกเซราส
“หยุด! ไม่ต้องเข้ามา”ดยุกเซราสบอกกับคนของตัวเอง
กลุ่มคนใส่สูทสีดำหยุดเท้าลง พวกเขายืนอยูาด้านหลังดยุกเซราส ห่างออกไปเล็กน้อย
กลายเป็นว่าทั้งสองกลุ่มยืนเผชิญหน้ากันอย่างพอดี โดยมีอูเหวินอยู่ตรงกลาง
อธิการบดีหลิง หันไปมองกลุ่มคนในชุดคลุม เธอก็รู้ได้ทันทีว่าพวกเขาเป็นคนของหน่วยลับ เธอไม่แปลกใจที่คนของหน่วยลับจะเข้ามาเกี่ยวข้อง
เพราะดยุกเซราสเป็นผู้แข็งแกร่ง ที่สามารถสร้างความเสียหายอันรุนแรงให้กับเมืองๆหนึ่งได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าดยุกเซราสจะไม่ได้มีชื่อเสียงในเรื่องความชั่วร้าย แต่ยังไงก็ไม่สามารถประมาท ปล่อยให้ดยุกเซราสเดินไปไหนมาไหน ภายในประเทศโดยที่ไม่มีใครติดตาม
กลุ่มคนในชุดคลุม เป็นคนของหน่วยลับที่มีหน้าที่ติดตามดยุกเซราส
คนในชุดคลุมสีเลือง เปิดผ้าคลุมหัวออก เขาเป็นชายวัยกลางคนใบหน้าน่าเกรงขาม
“ท่านดยุกเซราส โปรดหยุดสิ่งที่ท่านกำลังจะทำ ไม่อย่างนั้นพวกเราจะต้องลงมือกับท่าน”ชายวัยกลางคนกล่าวจบ เขาก็แผ่พลังกดดันอันรุนแรงออกมา
ดยุกเซราสเหลือบตามอง ก่อนจะหันหน้าหนีอย่างไม่ใสใจ
ทำให้ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีเหลืองคิ้วกระตุกด้วยความไม่พอใจ แต่เขาก็ต้องข่มความรู้สึกเอาไว้ เพราะเขารู้ดีว่าไม่สามารถต่อสู้กับดยุกเซราส ที่สามารถเอาชนะรองผู้บัญชาสูงสุดของหน่วยลับได้
แต่เขาต้องแสดงพลังของพวกเขาออกมา เพื่อไม่ให้เสียชื่อเสียงของกลุ่ม
ดยุกเซราสหมดความสนใจกับอธิการบดีหลิงและคนของหน่วยลับ เขาหันมามองอูเหวินที่ยืนเงียบๆ เพราะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร
“อย่าไปสนใจ ฉันให้เธอเลือกว่าจะมากับฉัน ที่เป็นผู้ใช้ธาตุลมที่แข็งแกร่งที่สุดของโลก หรือจะปล่อยโอกาสให้หลุดไปอีกครั้ง”ดยุกเซราสกล่าวเสียงจริงจัง พลังกดดันในร่างของเขาแผ่ออกมา ทำลายพลังกดดันที่ชายวัยกลางคนแผ่ออกมา กระจายหายไปอย่างง่ายดาย
“นี่มัน!”ชายวัยกลางคนหน้าซีดเผือกด้วยความตกใจ เขาไม่คิดว่าความแข็งแกร่งจะต่างกันขนาดนี้
อธิการบดีหลิงมองอูเหวินและดยุกเซราส เธอไม่รู้ว่าทำไมดยุกเซราสถึงต้องการดึงอูเหวินไปเป็นคนของตัวเอง
ดยุกเซราสมองไปยังอูเหวินไม่สนใจคนอื่น
อูเหวินเงียบไปด้วยความตกใจ เขายังไม่เข้าใจสถานการณ์ ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น เขาไม่รู้ว่าทำไมดยุกเซราส ถึงให้เขาทดสอบเพื่อรับเขาไปเป็นคนของตัวเอง และทำไมอธิการบดีหลิงและคนในชุดคลุมถึงมาอยู่ที่นี่
“ผม…”อูเหวินอึกอัก สมองว่างเปล่าสับสน
“ท่านดยุกเซราส อูเหวินเป็นคนของมหาวิทยาลัยเทียนซู ท่านไม่สามารถพาเขาไปได้”อธิการบดีหลิงกล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดัง เธอใช้พลังกดดันต่อต้านพลังกดดันของดยุกเซราส
“นั้นเป็นทางเลือกของเขา ที่จะต้องเลือกเอง คนอื่นไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่ง”ดยุกเซราสกล่าวจบ ก็ปล่อยพลังกดดันอันรุนแรงกระแทกเข้าใส่ ทำลายพลังกดดันของอธิการบดีหลิง อย่างง่ายดาย ใบหน้างดงามของหญิงสาวซีดเซียว
อธิการบดีหลิงอยู่ขั้นที่ 8 ชีพจรกลาง เธอทะลวงจุดชีพจรไปเกือบ 72 จุด เกือบทะลวงอีกจุด เพื่อถึงขั้นชีพจรปลาย แต่พลังกดดันของดยุกเซราสสามารถทำลายพลังกดดันของเธออย่างง่ายดาย เธอพ่ายแพ้โดยที่ไม่ต้องต่อสู้เสียด้วยซ้ำ
ดยุกเซราสดูเหมือนว่าจะแข็งแกร่ง กว่าข่าวลือที่ได้ยินมา จนเทียบไม่ได้แม้แต่น้อย
ไม่ต้องพูดถึงชายวัยกลางคนชุดคลุมสีเหลืองที่อยู่ขั้นที่ 8 ชีพจรต้น และกลุ่มคนของหน่วยลับ พวกเขาถูกพลังกดดันอันรุนแรงของดยุกเซราส กระแทกเข้าใส่จนร่างกายสั่นสะท้ายด้วยความเจ็บปวด แต่พวกเขาก็ยังฝืนยืนหยัดอยู่ได้
อูเหวินได้ยินคำพูดของดยุกเซราส เขาก็เงียบคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะสลัดความคิดทุกอย่างออกไป แววตาของเขาไม่มีความลังเลอีกต่อไป เขาเดินตรงไปยังกำแพงสายลมด้วยความมุ่งมั่น เป็นการบอกถึงการตัดสินใจของเขา
ดยุกเซราสยิ้มออกมาเล็กน้อย แววตาเป็นประกายรอคอย
อธิการบดีหลิงและคนของหน่วยลับกลายเป็นตัวประกอบ ที่ยืนดูอูเหวินอยู่ด้านข้าง โดยที่พวกเขาไม่สามารถพูดอะไรได้
อูเหวินเดินไปยังกำแพงลม ยิ่งเดินใกล้กำแพงสายลม อูเหวินก็สัมผัสได้ถึงสายลมอันรุนแรงที่เคลื่อนไหวอยู่ด้านหน้า เหมือนเป็นกำแพงที่ไม่สามารถผ่านไปได้ อูเหวินกำหมัดแน่นแววตามุ่งมั่น เขาเดินเข้าไปในกำแพงสายลม สายลมพัดเข้าปะทะร่างของอูเหวินจนเสื้อผ้าโบกสะบัดไปมา ยิ่งเดินลึกใบหน้าและส่วนที่ไม่มีอะไรป้องกันรู้สึกปวดแสบ อูเหวินต้องหรี่ตามองตรงไปยังดยุกเซราส ก่อนจะก้าวเพิ่มไปอีกหนึ่งก้าว
ยิ่งเดินเขาก็รู้สึกเหมือนกับเคลื่อนที่ช้าลง หนึ่งก้าวเท่าเดิม แต่กว่าที่เขาจะยกเท้าและเหยียดออกไป สายลมอันรุนแรง ก็โหมกระหน่ำเข้าปะทะร่างของอูเหวิน ทำให้ยากที่จะเหยียดเท้าไปต่อได้
อูเหวินกดฟันเดินไปต่อ เสื้อผ้าของเขาโบกสะบัดไปมาอย่างรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆการย่างก้าว เขากัดฟันฝืนเข้าไปอีกหลายก้าว เขาไม่ยอมแพ้พยายามเดินต่อไป โดยไม่ถอยหลังกลับ
ร่างกายของอูเหวินเริ่มปรากฏรอยช้ำขึ้นเรื่อยๆ แต่เข้าก็กัดฟันเดินมาถึงกึ่งกลางกำแพงสายลม เหลืออีกครึ่งหนึ่งก็จะเข้าใกล้ดยุกเซราสได้
แต่ระยะทางอีกครึ่งหนึ่ง เหมือนกับเป็นกำแพงสูงที่ไม่สามารถปีนขึ้นไปได้ ร่างของอูเหวินถูกหยุดอยู่ตรงนั้น ไม่สามารถขยับได้แม้แต่ก้าวเดียว
ดยุกเซราสขมวดคิ้วมองอูเหวินอย่างแปลกใจ เพราะเขาสัมผัสได้ว่าอูเหวินใช้แต่ร่างกายเพียงอย่างเดียวในการฝ่ากำแพงสายลมเข้ามา คนปกติแค่หนึ่งในสี่ของกำแพงสายลม ก็ไม่สามารถผ่านเข้ามาได้ โดยอาศัยเพียงแค่ร่างกายเพียงอย่างเดียว แต่อูเหวินผ่านมาถึงครึ่งหนึ่ง ต้องมีร่างกายแข็งแกร่งขนาดไหนถึงทำแบบนี้ได้
อูเหวินพยายามจะเข้าไป แต่เขาไม่สามารถฝ่าไปได้ อูเหวินกำหมัดแน่นกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกายถูกเร่งเร้าจนถึงขีดสุด เขายกเท้าเดินไปได้อีกสองก้าว ก่อนจะถูกกำแพงสายลมขัดขวางไม่ให้ก้าวไปต่อ ตอนนี้รอยช้ำบนร่างของอูเหวินเริ่มแตกกลายเป็นแผล เลือดสีแดงไหลออกมา ก่อนจะถูกสายลมพัดจนเลือดแตกกระจายออกไป
อูเหวินกัดฟันแน่นไม่กรีดร้อง แววตาหรี่แคบของเขายิ่งมุ่งมั่นขึ้นไปอีก เขาพยายามเดินไปอีกก้าว ในตอนนี้สมองของเขาไม่มีความคิดที่จะไปแตะตัวดยุกเซราสอยู่เลย มีแต่ความคิดที่จะชนะตัวเอง
ในการประลองกับหลานซูเมิง เขาพ่านแพ้ให้กับจิตใจที่อ่อนแอของตัวเอง ทำให้เขาแพ้การประลองกับคนที่อ่อนแอกว่าเขาเองทุกอย่าง มันทำให้เขาเสียโอกาสมากมาย
ครั้งนี้เขาจะไม่ยอมแพ้อีกแล้ว ถ้าเขาพลาดครั้งนี้ เขาอาจไม่มีโอกาสแก้ตัวได้อีกเลย
พลังกดดันในร่างของอูเหวินแผ่กระจายออกมา หลอมร่วมกับร่างกาย กลายเป็นพลังป้องกันที่เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งขัน
อูเหวินฝืนตัวก้าวต่อไปอีกสามก้าวใหญ่ เขาผ่านมาสามในสี่ของระยะทางแล้ว
แต่เขาในตอนนี้ไม่ไหวแล้ว เขาไม่สามารถขยับไปข้างหน้าได้อีก ยิ่งเขาฝืนก้าวต่อไป เขาก็ถูกสายลมพัดถอยกลับไป ร่างของเขาโซเซเพราะสายลมที่พยายามผลักเขาให้ถอยออกไป อูเหวินฝืนยืนขึ้นได้ไม่ถอยไปอีก
ยิ่งเขาฝืนก้าวต่อไปมากเท่าไหร่ เขายิ่งกระเด็นกลับไปมากกว่านั้น ทำให้เขาค่อยๆเสียกำลังกายไปเรื่อยๆ
ทางเข้าสนามประลองกลางแจ้ง
จิวโมไป๋ หวังเสี่ยวเปา และเฉินหู วิ่งเข้ามา พวกเขาเห็นกลุ่มคนยืนล้อมรอบอูเหวินอยู่ จิวโมไป๋และหวังเสี่ยวเปา จำอธิการบดีของมหาวิทยาลัยได้ พวกเขาวิ่งไปหาเธอ
จิวโมไป๋เป็นนักศึกษาตัวอย่าง ทำให้เขาเคยพบอธิการบดีหลิงสองครั้ง
ครั้งแรกเมื่อวันที่เขาสอบวิชาการเป็นอันดับ 1 ของชั้นปี เธอเรียกเขาเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับอนาคต และแนะนำให้เขาใส่ใจในการบ่มเพาะพลังมากขึ้น
ครั้งที่สอง คือตอนที่ตำหนักยุทธ์ของเขาถูกทำลายแบบไม่สมบูรณ์ เธอเรียกเขาและจื่อหยางไปพบ ก่อนจะลงโทษจื่อหยาง เขาจำได้ดีว่าอธิการบดีหลิงยังให้กำลังใจเขา และจะหาทางรักษาตำหนักยุทธ์ของเขาให้กลับมา
ที่จิวโมไป๋กล้าลงมือกับหลิงหวงเทียนเพราะ อธิการบดีหลิงเป็นน้าสาวของหลิงหวงเทียน เธอเป็นคนยึดมั่นในกฏระเบียบและใจดี ทำให้จิวโมไป๋มั่นใจว่าถึงแม้เขาจะชนะหลิงหวงเทียน อธิการบดีหลิงจะช่วยเหลือเขาจากคนตระกูลหลิงได้
หลังจากที่เขาเข้าหน่วยลับก็ไม่มีอะไรต้องกังวลอีก
อธิการบดีหลิงเห็นจิวโมไป๋และพวก เธอไม่แปลกใจที่จิวโมไป๋จะมาเพราะเขาเป็นเพื่อนสนิทของอูเหวิน แต่ที่เธอสนใจคือพวกจิวโมไป๋ หาที่นี่พบได้ยังไง
เธอไม่พูดอะไร ยกมือกันไม่ให้จิวโมไป๋เข้าไป
จิวโมไป๋และคนอื่นๆ ไม่รู้เรื่องอะไร พวกเขามองอูเหวินพยายามฝ่ากำแพงสายลม เมื่อเห็นบาดแผลทั่วร่างของอูเหวินพวกเขาก็เป็นกังวลขึ้นมา แต่อธิการบดีหลิงห้ามไม่ให้พวกเขาเข้าไปยุ่ง
“อยู่เฉยๆ อย่าเข้าไปยุ่ง มันเป็นการตัดสินใจของอูเหวิน”อธิการบดีหลิงพูด
จิวโมไป๋และคนอื่นๆมองเธอด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่ถาม พวกเขามองไปยังอูเหวินที่ติดอยู่ในกำแพงสายลม ยังไม่สามารถขยับไปข้างหน้าได้
บาดแผลจากรอยช้ำเริ่มขยายใหญ่ขึ้น กำแพงสายลมเริ่มมีสีแดงเล็กน้อย เพราะเลือดของอูเวินที่ไหลออกมา กลายเป็นละอองผสมกับกำแพงสายลม
ใบหน้าของดยุกเซราสไม่พอใจเล็กน้อย แม้ว่าอูเหวินมีความพยายามและร่างกายที่แข็งแกร่งจนน่ากลัว แต่อูเหวินไม่รู้จุดประสงค์ของการทดสอบ มันทำให้เขารู้สึกผิดหวังอย่างมาก
อูเหวินที่พยายามฝ่ากำแพงสายลม เขาไม่คิดอะไรเลย ในใจมีแต่คำว่าไม่ยอมแพ้ เขามุ่งมั่นจนเกินไป ไม่ได้คิดอะไรให้ดี คิดจะใช้แต่กำลังฝ่าเข้าไป
ในตอนนั้นเอง
“พี่สาม อย่าลืมพลังธาตุ”เสียงของจิวโมไป๋ร้องตะโกนมากจากด้านหลัง ทำให้อูเหวินชะงักเล็กน้อย
คนที่อยู่ตรงนั้นตกใจ พวกเขาไม่คิดว่าจิวโมไป๋จะกล้าพูดในเวลาแบบนี้
อธิการบดีหลิงเดินมายืนข้างหน้าจิวโมไป๋ มองไปยังดยุกเซราส เธอพร้อมที่จะต่อสู้ปกป้องนักศึกษาของตัวเอง
ดยุกเซราสเหลือบมองจิวโมไป๋ จิวโมไป๋ได้แต่ยิ้มให้ก่อนจะก้มหัวขอโทษอย่างสุภาพ
ดยุกเซราสเห็นดังนั้น แววตาของเขาเป็นประกายบางอย่าง ก่อนที่เขาจะหันกลับไป
ทุกคนถอนหายใจด้วยความโล่งอก
หวังเสี่ยวเปาและเฉินหู ที่อ่อนแอที่สุดตัวสั่นระริกด้วยความกลัว เพียงแค่การมองแวบเดียว พวกเขารู้สึกเหมือนถูกยมทูตจ่อเคียวที่คอ ราวกับจะเอาชีวิตพวกเขาไป
ทางด้านอูเหวิน เมื่อเขาได้ยินเสียงของจิวโมไป๋ เขาก็พึ่งรู้สึก เขาท่องเคล็ดบ่มเพาะพลังอาภรณ์สายลมทันที และเพ่งสมาธิใช้พลังธาตุลม
พลังธาตุสีเขียวอ่อนห่อหุ่มร่างของอูเหวิน
“เปิด!”อูเหวินร้องเสียงดังเหวี่ยงหมัดชกไปที่กำแพงสายลม ที่ขวางอยู่เบื้องหน้าของเขา
พลังธาตุสีเขียวอ่อนบนหมัดแหวกกำแพงสายลม เกิดเป็นช่องว่างเล็กๆสายหนึ่ง อูเหวินเห็นดังนั้นก็พุ่งตัวผ่านช่องว่าง ไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงสุด เขาสามารถผ่านกำแพงสายลมไปได้ในที่สุด
เมื่อผ่านกำแพงสายลมไปแล้ว อูเหวินก็พุ่งเข้าไปจับชายเสื้อของดยุกเซราสทันที โดยไม่ผ่อนกำลังลง ราวกับกลัวดยุกเซราสหนี
ดยุกเซราสยืนนิ่งไม่หลบ เขาขมวดคิ้ว เหลือบตามองอูเหวินที่ยังจับแขนเสื้อของเขาอยู่
อุเหวินรู้สึกตัวรีบปล่อยแขนเสื้อราวกับของร้อน
“กฏแห่งธาตุลมระดับกลาง”อธิการบดีหลิงพูดเสียงเบาด้วยความตกใจ แค่เข้าใจกฏแห่งธาตุลมได้ก็เป็นอัจฉริยะที่หายากแล้ว ยังสามารถตระหนักกฏแห่งธาตุลมกระดับกลางได้ด้วยอายุเพียงแค่นี้ อูเหวินเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากจริงๆ
เมื่อเธอนึกขึ้นได้ว่า ถ้าอูเหวินสามารถผ่านการทดสอบของดยุกเซราสไปได้ เขาจะเข้าร่วมกับดยุกเซราส เธอก็รู้สึกเจ็บปวด เพราะอูเหวินเป็นนักศึกษาของเธอ
แต่ไม่นานเธอก็ต้องยอมรับความจริง อูเหวินไปกับดยุกเซราส ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุก เพราะดยุกเซราสเป็นหนึ่งในผู้ใช้กฏแห่งธาตุลมที่แข็งแกร่งที่สุดใลก ไม่มีใครเหมาะที่จะสอนอูเหวินมากกว่าดยุกเซราสอีกแล้ว
จิวโมไป๋ หวังเสี่ยวเปา และเฉินหู ที่ไม่รู้อะไร พวกเขาตกใจที่อูเหวินไปแตะตัวดยุกเซราส แต่พอเห็นว่าดยุกเซราสไม่ว่าอะไรพวกเขาก็เบาใจ
“เป็นโชคดีของเธอ ที่มีเพื่อนที่ดี ถ้าเขาบอก เธอคงไม่สามารถผ่านการทดสอบได้”ดยุกเซราสกล่าว
อูเหวินหันไปมองจิวโมไป๋ที่ยืนอยู่กับอธิการบดีหลิง เขาก็ส่งสายตาขอบคุณไปให้
จิวโมไป๋ที่มองอูเหวินอยู่ เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ส่งมา เขาพยักหน้าเบาๆ
“เมื่อเธอผ่านการทดสอบแล้ว จากนี้ไปเธอจะเป็นคนของฉัน”ดยุกเซราสกล่าว ก่อนจะหันไปยังอธิการบดีหลิง
“คงจะไม่มีใครห้ามอีกแล้วนะ”
อธิการบดีหลิงคิดเล็กน้อย ก่อนจะเดินมาใกล้ดยุกเซราส
“เมื่ออูเหวินตัดสินใจแล้ว ฉันก็ไม่ขัดขวางความคิดของเขา”อธิการบดีหลิงพูดจบเธอก็จ้องดยุกเซราสตรงๆ
“แต่เขาก็ยังเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเทียนซูอยู่ เขาสามารถตามท่านดยุกไปฝึกหรือไปทำงานได้ แต่เขาจะต้องกลับมาสอบและทำกิจกรรมของมหาวิทยาลัย”
เห็นท่าทางจริงจังของอธิการบดีหลิง ดยุกเซราสก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะพยักหน้าและกล่าวอย่างนุ่มนวล
“ตามที่คุณต้องการ”
อธิการบดีหลิงนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งขรึมจริงจัง
“ตอนนี้อูเหวินยังไปไหนไม่ได้ แม้ว่าอูเหวินจะตกรอบไปแล้ว แต่การประลองยังไม่จบ เพื่อนของเขายังได้เข้ารอบไปประลองรอบต่อไป อูเหวินยังไม่สามารถออกจากมหาวิทยาลัยได้ตอนนี้ ฉันจะจัดห้องพิเศษให้ท่านดยุก เพื่อรอชมการประลองจนจบ หลังจากนั้นอูเหวินจะติดตามท่านดยุกไปได้ แต่เขามีเวลา 1 เดือน เพื่อกลับมาสอบจบการศึกษาเทอมสุดท้ายของปี 1”
ดยุกเซราสยิ้มค้างไปเล็กน้อย และพยักหน้ารับ
อธิการบดีหลิงไม่รอช้า เธอพาดยุกเซราสและคนของเขา ร่วมถึงคนของหน่วยลับ ไปยีงห้องพิเศษ ที่อยู่อีกด้านหนึ่งของสนามประลอง
ดยุกเซราสไม่พอใจ ที่คนของหน่วยลับ เข้ามาอยู่ห้องเดียวกัน แต่สุดท้ายเขาก็ต้องทำใจยอมรับ เพราะอธิการบดีหลิงก็นั่งดูการประลองในห้องเช่นกัน
อูเหวินแยกกับจิวโมไป๋ หวังเสี่ยวเปา และเฉินหู เพราะเขาตกรอบ เขาไม่สามารถเข้าไปห้องรอได้
เขาตามดยุกเซราสไปยังห้องพิเศษ
อูเหวินนั่งตัวเกร็งอยู่มุมหนึ่ง เพราะดยุกเซราสไม่พูดอะไรกับเขาเลย และเขาไม่รู้จักใครในห้องเลย แต่เขารอไม่นาน ประตูห้องก็เปิดออก เซเรียกับผู้คุ้มกันในชุดสูทสีดำก็เดินเข้ามาในห้อง
เมื่อเซเรียเห็นอูเหวิน เธอก็วิ่งไปหาอูเหวินทันที
ดยุกเซราสเห็นดังนั้น แววตาของเขาส่งจิตสังหารออกมาอย่างแผ่วเบา เขาเริ่มวางแผนการฝึกสุดโหดสำหรับอูเหวินไว้ในใจ
หวังเสี่ยวเปาและเฉินหูพูดคุยเรื่องของอูเหวินไม่หยุด พวกเขาไม่คิดเลยว่าอูเหวินจะได้ติดตามดยุกเซราส แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้เบื้องหลังของดยุกเซราสมากนัก แต่พวกเขาก็พอที่จะรู้ถึงความแข็งแกร่งของดยุกเซราส การที่อูเหวินสามารถติดตามดยุกเซราสถือเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยม
ทั้งสองไม่มีความรู้สึกอิจฉาเลยแม้แต่น้อย มีแต่ความยินดี พวกเขารู้ถึงความยากลำบากของอูเหวินดี การที่อูเหวินมีคนที่แข็งแกร่งสนับสนุน ทำให้พวกเขาหมดห่วง
จิวโมไป๋เดินฟังโดยไม่พูดอะไร แต่ในตอนนั้นเอง จิตสัมผัสของเขา สัมผัสได้ถึงกลุ่มคนที่แข็งแกร่ง กำลังลอบแฝงตัวไปกลับที่นั่งผู้ชม
เมื่อจิวโมไป๋ตรวจสอบ เขาก้พบผิวหนังเทียมบนร่างของพวกเขา
ใบหน้าของจิวโมไป๋กลายเป็นเคร่งขรึมทันที
องค์กรโลหิตนิรันตร์!
—