ย้อนเวลากลับมาเป็นเทพยุทธ์ - ตอนที่ 23
ตอนนี้ภายในจิตของจิวโมไป๋เหมือนมีโลกใบเล็กอยู่ภายใน มันลอยนิ่งๆไม่เคลื่อนไหว กลิ่นอายอ่อนโยนและเต็มไปด้วยพลังชีวิตทำให้ร่างกายและจิตวิญญาณของเขาราวกับถูกชำระล้าง
โลหิตมังกรพายุอัสนี เพิ่มพรสวรรค์ในการบ่มเพาะและสร้างความแข็งแกร่งของร่างกาย ให้ทรงพลัง แต่ถึงแม้เขาจะหลอมรวมและปลุกพลังสายเลือดถึงขีดสุดแล้ว ร่างกายของเขาก็ไม่อาจแข็งแกร่งเทียบเท่ามังกรที่แท้จริง
มนุษย์ถูกจัดระดับความแข็งแกร่งของร่างกาย อยู่ในระดับล่างขั้นกลางของสิ่งมีชีวิตในมิติต่างๆ ถ้าอยู่ในระดับเดียวกัน มนุษย์แทบจะไม่สามารถต่อกรกับสิ่งมีชีวิต ที่อยู่ในระดับการบ่มเพาะเดียวกันหรือสูงกว่าได้ ข้อดีของมนุษย์คือพวกเขาบ่มเพาะพลังได้รวดเร็วพอๆกับสิ่งมีชีวิตระดับกลาง
ในอนาคตการหลอมรวมสายเลือดอันทรงพลัง เพื่อปรับปรุงสายเลือดของมนุษย์จะเป็นเรื่องปกติ แต่ถึงแม้จะมีการหลอมรวมสายเลือดมากมายในอนาคต สายเลือดมังกรพายุอัสนี ถือว่าเป็นสายเลือดที่ทรงพลังที่สุดที่มนุษย์ครอบครอง
และประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของสายเลือดมังกรภัยพิบัติคือเพิ่มความเข้าใจ กฏแห่งพลัง ธาตุลมและธาตุสายฟ้า ทำให้ผู้มีสายเลือดมังกรพายุอัสนี สามารถเรียนรู้ควบคุม และใช้ธาตุทั้งสองได้ทรงพลังกว่าคนธรรมดาหลายเท่า แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของจิวโมไป๋ ยังไม่สามารถใช้กฏแห่งพลังได้
สำหรับหัวใจพฤกษาบรรพกาลและแก่นพฤกษา เป็นแร่พลังชีวิต ทั้งสองมีความสามารถเหมือนกันคือ จะช่วยเพิ่มพลังจิตวิญญาณ หรือก็คือการปลุกพลังจิตวิญญาณ ทำให้มนุษย์สามารถบ่มเพาะในเส้นทางปรมาจารย์ได้
ในช่วงเริ่มต้นการปลุกพลังจิตวิญญาณ ไม่ใช่แค่ใช้ความพยายามเท่านั้นถึงปลุกพลังได้ ต้องใช้ความเข้าใจและโชคเป็นส่วนมาก
ทำให้ปรมาจารย์กลายเป็นผู้ที่ผู้คนเคารพนับถือ อยู่สูงกว่าผู้บ่มเพาะพลังแม้ปรมาจารย์จะไม่ได้แข็งแกร่งในด้านการต่อสู้ก็ตาม
ปกติแล้วการบ่มเพาะในเส้นทางแห่งจิตวิญญาณนั้น ยากลำบากมากกว่าการบ่มเพาะพลังอย่างยิ่ง พูดได้ว่าแม้ในอนาคตที่การบ่มเพาะจิตวิญญาณแพร่หลาย ก็ยังหาปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งได้ยากมาก
เวลาผ่านไปเกือบหลายสิบปี ผู้คนก็ค้นพบว่าสามารถใช้แร่พลังชีวิต สามารถช่วยในการปลุกพลังจิตวิญญาณได้ ในตอนนั้นผู้บ่มเพาะเส้นทางปรมาจารย์ ก็เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว
แต่โชคร้ายที่ถึงแม้จะปลุกจิตวิญญาณได้ก็ตาม ขั้นตอนการบ่มเพาะจิตวิญญาณ ก็ยากเย็นแสนเข็ญอย่างมาก จนผู้คนละทิ้งเส้นทางปรมาจารย์ ถอนตัวกลับไปบ่มเพาะพลังเหมือนเดิม ทำให้ในอนาคตถึงแม้จะมีปรมาจารย์จำนวนมาก แต่ปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งนั้นก็ยังหายากและเป็นที่เคารพเช่นเดิม
การปรุงพลังจิตวิญญาณด้วยตัวเอง โดยไม่ใช้แร่พลังชีวิต ภายในจิตใจของผู้บ่มเพาะ จะมีทะเลจิตวิญญาณ ปรากฏขึ้น โดยที่มันจะแยกออกจากทะเลลมปราณไม่หลอมรวมกัน
แต่เมื่อฝังแร่พลังชีวิต ไม่ว่าจะก่อนหรือหลังปลุกจิตวิญญาณ ทะเลลมปราณและทะเลจิตวิญญาณ จะถูกหลอมรวมกลายเป็น ทะเลสติ
ภายนอกทะเลสติจะถูกห่อหุ้มด้วยแร่พลังชีวิต ที่เราหลอมรวมเข้ากับร่างกาย ทะเลสติจะช่วยรักษาสมดุลของพลังทั้งปราณและพลังจิตวิญญาณ ช่วยเพิ่มความเร็วในการฟื้นฟูพลังปราณและจิตวิญญาณ และเมื่อถูกโจมตีจิตใจหรือภายลวงตาจะช่วยลดความเสียหายของพวกมัน และประโยชน์ต่างๆอีกมากมาย
มีแต่ข้อดีไม่มีเสีย
จิวโมไป๋มองท้องฟ้านอกหน้าต่างอย่างพอใจ ในที่สุดเขาก็เป็นปรมาจารย์แล้ว ในอดีตแม้เขาจะมีพรสวรรค์ด้านจิตวิญญาณ แต่กว่าเขาจะเริ่มบ่มเพาะพลังจิตวิญญาณ เขาใช้เวลานานเกินไป ทำให้ไม่อาจเปรียบเทียบกับ ปราจารย์ดั้งเดิม ที่เป็นผู้ค้นพบการบ่มเพาะจิตวิญญาณในช่วงต้นได้
แต่ในตอนนี้เขาได้เป็นปรมาจารย์แล้ว และเขายังเป็นปรมารย์ที่มีจุดเริ่มต้นเหนือกว่าปรมาจารย์อื่นๆ
พลังปราณและพลังจิตวิญญาณของเขา ไม่ว่าจะปริมาณ ความทนทาน ความแข็งแกร่ง ความเร็วในการฟื้นฟู มากกว่าคนที่อยู่ในระดับเดียวกัน 2 เท่า
เมื่อเขาสามารถหลอมรวมเลือดมังกรพายุอัสนีสำเร็จ ร่างกายของเขาจะแข็งแกร่งกว่าคนในระดับเดียวกันถึง 2 เท่า และในอนาคตเมื่อเขาพัฒนาสายเลือด ร่างกายของเขาจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ อย่างไร้ขีดจำกัดเมื่อเขามีลูกกหลาน พวกเขาจะสืบทอดสายเลือดมังกรที่ทรงพลัง!
แต่ในขณะที่กำลังจะดีใจอยู่นั้นเอง
คลืนนนๆๆ เสียงร้องคำรามดังขึ้นภายในทะเลแห่งสติ เขามองท้องฟ้าสีทองแดงจาง ด้วยความตกใจ เพราะมันมีก้อนเมฆสีเทาดำปรากฏขึ้น!
ภายในมวลก้อนเมฆมีกระแสไฟฟ้าสีม่วงฟ้าแลบแปลบปลาบเกิดเป็นประจุไฟฟ้าสีม่วงเต้นไปมา มันดูน่ากลัวและทรงพลัง จนคนที่จ้องมองมันเกิดความรู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก
“อ่า… หรือว่าจะเป็นหัวใจพฤกษาบรรพกาลที่เคยผ่านทัณฆ์สวรรค์!”ในที่สุดเขาก็รู้แล้ว ว่าหัวใจพฤกษาบรรพกาลก้อนนี้ ในอนาคตใครเป็นผู้ได้รับมันไป
ในอนาคตจะมี สำนักเทพราชัน เป็นสำนักยุทธ ที่ไม่ได้เป็นสำนักดั้งเดิม แต่พวกเขามีความแข็งแกร่งอย่างมาก จนแม้แต่สำนักดั้งเดิมก็ไม่กล้าท้าทายโดยตรง โดยเฉพาะเจ้าสำนักที่นอกจากจะเป็นผู้บ่มเพาะพลังที่ทรงพลังแล้ว เขายังเป็นปรมาจารย์ที่แข็งแกร่ง เขาได้หลอมรวมกับแร่พลังชีวิต หัวใจพฤกษาบรรพกาล ที่เคยผ่านทัณฆ์สวรรค์
ภายในทะเลสติของเขา จะมีสายฟ้าสีม่วงทรงพลัง คอยขัดเกาพลังปราณและจิตวิญญาณ ทำให้พลังปราณและจิตวิญญาณของเขา มีความบริสุทธิ์มากกว่าคนธรรมดาทั่วไป
เมื่อเขาใช้พลังออกมามันจะทรงพลังกว่าของคนทั่วไปอย่างมาก
แต่มันมีข้อเสียที่ไม่อาจป้องกันได้ก็คือ ทุกๆครั้งที่ผ่านการเลื่อนขั้น จะปรากฎทัณฆ์สวรรค์ เพื่อทดสอบผู้ครอบครอง
ทัณฆ์สวรรค์จะเริ่มเมื่ออยู่ในระดับปราณก่อกำเนิดขั้นต้น ทุกครั้งที่ เลื่อนขั้นจำนวนสายฟ้าจะเพิ่มขึ้นมา 1 เส้น และมันจะทรงพลังมากกว่าทัณฆ์สวรรค์สายฟ้าอันก่อน
ระดับขั้นลมปราณ จะมี 3 ขั้น ต้น กลาง สูง
จากปราณก่อกำเนิดขั้นต้น ปราณปฐพี จนถึง นภาขั้นสูง จะต้องเผชิญหน้ากับทัณฆ์สวรรค์สายฟ้า 9 ครั้ง
เจ้าสำนักเทพราชัน เมื่อเลื่อนไปอยู่ในระดับ นภาขั้นต้น เขาต้องเผชิญหน้ากับ สายฟ้า 7 สาย เขาไม่อาจต่อสู้กับมันและได้เสียชีวิตลง ปิดตำนานสำนักยุทธที่สามารถเขย่าการผูกขาดของสำนักดั้งเดิมได้
เมื่อรู้ตัวว่าหัวใจพฤกษาบรรพกาลที่ตนเองผสานด้วย เคยถูกทัณฆ์สวรรค์มาก่อน ใบหน้าของเขาก็ซีดลงเล็กน้อย แต่ไม่นานก็เขาก็ตั้งสติ
“ฮ่าๆ สวรรค์คงจะไม่อยากให้ฉันผ่านอุปสรรค์ง่ายไปสินะ”จิวโมไป๋ถอนหายใจเสียงเบา แม้จะวางแผนดีแค่ไหน แต่สวรรค์ก็ไม่ให้เขาเดินผ่านอุปสรรคไปได้ง่ายๆ
แม้เขาจะมีความรู้ในอนาคตก็ตาม แต่ทุกสรรพสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง อนาคตไม่แน่นอน เขาต้องพยายามตั้งสติ และทำอะไรอย่างรอบครอบ ไม่ประมาทอีก
ทอดถอนใจอีกครั้ง จิวโมไป๋ก็เพ่งสมาธิเข้าไปในทะเลสติ อีกครั้ง เขาพยายามที่จะไม่สนใจก้อนเมฆที่ลอยไปมาบนท้องฟ้า ตอนนี้ตำหนักยุทธทั้ง 108 ต่างส่องแสงเจิดจ้าทรงพลังขึ้นเรื่อยๆ
วูบบบบ
แสงสีขาวนวลงดงามส่องสว่างจากตำหนักทั้ง 108 ก่อเกิดกลิ่นอาจบริสุทธิ์เต็มไปด้วยความลี้ลับ ขึ้นล้อมรอบตำหนัก
เขามองตำหนักทั้ง 108 ที่ลอยอยู่กึ่งกลางทะเลแห่งสติ อย่างตื่นเต้นไม่อาจระงับอารมณ์ได้ ในที่สุดเขาก็สามารถเริ่มต้น บ่มเพาะพลังได้สักที
ตีเหล็กต้องตีตอนร้อน เขาเลือกตำหนักที่ลอยอยู่ตรงกลางสุด แล้วท่องเคล็ดบ่มเพาะอย่างช้าๆ ไม่นานกึ่งกลางของตำหนักยุทธ ก็เหมือนถูกจุดด้วยเปลวเพลิงสีแดงขนาดเล็ก
เวลาผ่านไป 10 นาที เปลวไฟก็เพิ่มขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จุดกึ่งกลางจะก่อเกิด รางเงาคล้ายเตาหลอมโอสถโบราณ รูปร่างของมันดูธรรมดาสามัญเรียบง่าย
เคล็ดบ่มเพาะเตาหลอม 9 สุริยัน
เมื่อเคล็ดบ่มเพาะถูกสร้างขึ้น ทะเลลมปราณที่แห้งเหือดก็เหมือนกับมามีชีวิตอีกครั้ง มันส่งเสียงกรีดร้องเสียงเบา ราวกับร้องบอกว่ามันต้องการลมปราณมาหล่อเลี้ยง
เตาหลอมโอสถ หมุนวนอย่างช้าๆก่อเกิดเปลวไฟลุกไหม้ แม้เปลวไฟจะไม่ทรงพลังมากนัก แต่มันดูเหมือนมีชีวิต
โดยปกติเมื่อผู้บ่มเพาะสร้างตำหนักยุทธ จะต้องใช้เวลาหลายวัน ถึงจะสามารถก่อตัวเคล็ดบ่มเพาะได้สำเร็จ อัจฉริยะที่ก่อตัวเคล็ดบ่มเพาะได้เร็วที่สุด ยังต้องใช้เวลา 7 วันถึงจะสำเร็จ
ถ้าใครรู้ว่าจิวโมไป๋ ใช้เวลาก่อตัวเคล็ดบ่มเพาะแค่ 10 นาที พวกเขาต้องเป็นบ้าตายด้วยความอิจฉา
ซึ่งมันไม่แปลกที่เขาจะก่อตัวได้เร็ว เพราะเขาชำนาญเคล็ดบ่มเพาะอยู่แล้ว เขาฝึกฝนมันมาหลายสิบปี ไม่แปลกที่เขาจะก่อตัวได้รวดเร็ว
แต่มันก็ไม่น่าจะเร็วขนาดนี้… จิวโมไป๋หรี่ตาเล็กน้อยใช้ความคิด หรือว่าจะเป็นเพราะเขากลั่นตำหนักยุทธ ซี่งมันก็เป็นไปได้จริงๆ
เขาครุ่นคิดไม่นานก็เลิกสนใจกลับมาท่องเคล็ดบ่มเพาะอีกครั้ง เตาหลอมโอสถที่ลุกไหม้หมุนวนช้าๆ แต่มั่นคง ในตอนนั้นเอง ก็มีหยดน้ำสีแดงอ่อน หยดลงจากตำหนักยุทธเตาหลอม 9 สุริยัน
ตกลงไปในทะเลปราณ ในเวลาต่อมา หยดที่ 2 3 4 5 …
แต่ละหยดตกลงไปเรื่อยๆจนทะเลปราณมีแอ่งน้ำขังเล็กๆ ขนาด 1 ถ้วย
เพียงพริบตา เวลาก็ผ่านไป 4 ชั่วโมง
จากน้ำขังเล็กๆ กลายเป็น บ่อน้ำขัง กระแสพลังของบ่อน้ำลมปราณ ทำให้ทะเลปราณมีชีวิตชีวา ร่างกายของจิวโมไป๋สั่นสะท้านเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะค่อยๆถอดจิตใจออกจาก ทะเลสติ