ย้อนเวลากลับมาเป็นเทพยุทธ์ - ตอนที่ 243
นักบวชทั้งหมดเดินผ่านเหล่าผู้บ่มเพาะพลังเกือบแสนคนที่ยืนอยู่ ทุกคนทางมองไปยังนักบวชที่เดินผ่านด้วยสายตาชื่นชม เคารพ อิจฉาและริษยา หลากหลายความรู้สึก
เหล่านักบวชเหมือนคุ้นชินกับการถูกจ้องมองเช่นนี้ พวกเขาเดินผ่านไปไม่ได้ให้ความสนใจกับสายตาเหล่านั้น เมื่อมาถึงหน้าหอทดสอบ พวกเขาก็หยุดเท้าลงและยืนสงบนิ่งไม่ขยับเคลื่อนไหวอะไรอีก ราวกับกำลังรออะไรบางอย่าง
ทำให้เกิดความเงียบสงบอันน่าประหลาดขึ้น ทั้งๆที่บริเวณนี้มีผู้บ่มเพาะพลังยืนเบียดกันหนาแน่น แต่ไม่มีใครกล้าทำเสียงดังรบกวนเหล่านักบวชที่ยืนอยู่
เพราะพวกเขารู้ถึงความแข็งแกร่งของเหล่านักบวชตรงหน้า
การที่จะได้ออกบวชเข้าวัดแห่งนี้ จะต้องผ่านชั้นที่ 4 ของหอทดสอบ ให้ได้สิทธิ์เข้าประตูวัดชั้น 2 เพื่อผ่านประตูวัดชั้น 2 พบกับเจ้าอาวาส ท่านจะทำการบวชเป็นศิษย์
ผู้บ่มเพาะพลังทั้งหมดที่อยู่ตรงนี้ พวกเขาต่างก็เป็นผู้ที่ไม่สามารถผ่านชั้นที่ 4 ไปได้ มันแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเหล่านักบวชตรงหน้า
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ พระหนุ่มที่อยู่หน้าสุดเงยหน้าขึ้นมองไปยังเลข 3 สีเงินส่องสว่างอย่างนิ่งเฉย ไม่มีใครสามารถคาดเดาอารมณ์ของเขาได้เลย
ในเวลาเดียวกันประตูชั้นที่ 1 ของหอทดสอบก็เกิดแสงสีเงินสว่างขึ้นและหมุนวนกลายเป็นเลข 1 ปรากฎบนหน้าประตูหอทดสอบ อยู่ต่ำกว่าเลข 3 เล็กน้อย
มีผู้ผ่านการทดสอบคนที่สอง
ผู้บ่มเพาะพลังโดยรอบต่างก็ประหลาด พวกเขาไม่คิดเลยว่าจะพบความผิดปกติของหอทดสอบถึง 2 ครั้งในเวลาไล่เลี่ยกัน พวกเขาลอบใช้วิชาส่งเสียงภายในคุยกัน ไม่กล้าอ้าปากพูดให้เกิดเสียงดัง
พระหนุ่มจ้องมองไปยังเลข 1 สีเงินที่ปรากฎขึ้น สีหน้าของเขา แสดงให้เห็นว่ากำลังครุ่นคิดบางอย่าง
‘ศิษย์พี่ ดูเหมือนว่า ผู้เข้าหอทดสอบที่วัดบรรพบุรุษ คงจะไม่ได้มีเพียงแค่คนเดียว’เสียงพระหนุ่มที่อยู่ด้านขวาดังขึ้นภายในใจ
พระหนุ่มยังคงเงียบไม่ได้พูดอะไร
พระหนุ่มที่ยืนด้านขวาเห็นว่าศิษย์พี่ไม่สนใจ เขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังเลข 3 สีเงิน และถามขึ้น
‘ศิษย์พี่ ท่านว่าเขาจะผ่านชั้นที่ 4 ได้ไหม’
พระหนุ่มนิ่งคิดเล็กน้อยก่อนจะส่งเสียงในใจตอบกลับ
‘รอดูก่อน ท่านจ้าวอาสาวสั่งเอาไว้แล้ว ถ้าเขาสามารถผ่านชั้นที่ 4 เมื่อมิติบรรพบุรุษเปิดออก ฉันจะไปรับตัวเขามาด้วยตัวเอง’
ดาวโลก หอทดสอบวัดดอกบัว
ชั้นที่ 2 เสี่ยวหวงสามารถเอาชนะวัวอสูรสีดำทมิฬมาได้ มันเดินขึ้นไปชั้นที่ 2 อย่างไม่เกรงกลัว มันไม่แม้แต่จะพักเอาแรง ดวงตาสีน้ำตาลของมันส่องประกายกระหายการต่อสู้
ทันทีที่เท้าเหยียบผ่านทางเข้า ภาพเบื้องหน้าของมันก็เปลี่ยนไป กลายเป็นป่าที่มีพื้นที่ 200 ตร.ม. และถูกล้อมรอบด้วยภูเขาสูงที่มีรูปแกะสลักสัตว์หลากหลายชนิด ก่อนที่รูปแกะสลักของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจะส่องประกาย ก่อนจะมีสัตว์หิน 9 ชนิดปรากฎตัวขึ้น วัว เสือ เสือดาว หมาป่า… พวกมันส่งกลิ่นอายกระหายเลือดออกมา
มออออ เสี่ยวหวงเห็นดังนั้นก็ร้องมอด้วยความตื่นเต้น ร่างกายของมันขยายใหญ่ขึ้นจนร่างของมันสูง 3 เมตร กล้ามเนื้อทั่วร่างปูดโปนเป็นมันกล้าวอันทรงพลัง
มันไม่รอช้าพุ่งตรงเข้ากับกลุ่มรูปปั้นหินสัตว์ตรงหน้า
ในเวลาเดียวกันชั้นที่ 1 เสี่ยวจินกำลังสู้กับนกอินทรีทองตัวใหญ่ อย่างสูสีไม่มีใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบ
เสี่ยวจินยังเป็นแค่นกอินทรีหนุ่ม มันไม่เคยผ่านการต่อสู้ถึงชีวิตมาก่อน หรือแม้แต่การต่อสู้ธรรมดามันก็ยังไม่เคย มันแตกต่างจากเสี่ยวหวงที่ถูกจับไปต่อสู้ที่โคลอสเซียม มันผ่านการต่อสู้อันตรายถึงชีวิตมามากมายจนมาเจอกับจิวโมไป๋
ไม่แปลกเลยที่เสี่ยวหวงจะสามารถผ่านชั้นที่ 1 ไปได้ แต่เสียวจินยังไม่ไปไหน
แต่เสี่ยวจินก็สามารถต่อสู้สูสีกับนกอินทรีทองได้ แม้จะไม่เคยมีประสบการณ์ต่อสู้ แต่สัญชาตญาณในการต่อสู้ของมันก็ไม่ธรรมดา
ทางด้านชั้นที่ชั้น 3 เสี่ยวไป๋และเสี่ยวเหมยถูกแยกให้ต่อสู้อยู่คนละห้อง
พวกมันต่อสู้กับรูปปั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 81 ตัว อย่างช้าๆไม่เร่งรีบ
พวกมันเคยผ่านการทดสอบชั้นที่ 3 มาก่อนในอดีต ทำให้พวกมันคุ้นชินกับการต่อสู้ในชั้นนี้ มันรู้ว่าต้องค่อยๆลดจำนวนรูปปั้นอย่างช้าๆ ไม่เร่งรีบ เพื่อประหยัดกำลัง
และรูปปั้นสัตว์เหล่านี้ไม่มีวิญญาณ ทำให้สัญชาตญาณสัตว์ผ่าจึงถูกลดทอนลงจนแทบไม่มี ทำให้เสี่ยวไป๋และเสี่ยวหวง สามารถต่อสู้อย่างไม่กินแรง
ทำให้พวกมันทั้งสอง เอาชนะไปได้ง่ายๆ
หน้าทางเข้าชั้นที่ 4
จิวโมไป๋ฟื้นฟูความแข็งแกร่งจนกับมาอยู่ในสภาพสมบูรณ์ เขาค่อยๆลุกขึ้นอย่างช้าๆ มองไปยังบันไดทางขึ้นชั้นที่ 4 เขานิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจเดินขึ้นไป นัยน์ตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เขาไม่อยากจบการต่อสู้ในตอนนี้ อีกแค่นิดเดียวเขาก็จะสามารถสัมผัสกำแพงครึ่งก้าวเจตจำนงได้แล้ว ถ้าเขาถอนตัวเขาจะลืมความรู้สึกที่ได้รับไป
ตัดสินใจได้เขาก็เดินขึ้นบันไดไปที่การทดสอบที่ 4 ทันที
ทันทีที่เท้าของจิวโมไป๋เหยียบเข้าไป ภาพเบื้องหน้าก็เปลี่ยนไป เป็นห้องขนาด 500 ตร.ม.
“การทดสอบชั้นที่ 4 เอาชนะฝ่ายตรงข้ามภายใน 20 นาที”เสียงการประลองดังขึ้นในหัวของจิวโมไป๋
ก่อนที่แสงสว่างจะปกคลุมประติมากรรมหินทางขวา ก่อนที่กลางห้องจะปรากฎรูปปั้นทองแดงเป็นชายหนุ่มผมยาว ใบหน้างดงามราวกับผู้หญิง เพียงแค่มองก็รู้สึกถึงอันตรายที่ไม่อนุญาติให้ใครเข้าใกล้ ในมือขวาถือกระบี่เหล็ก พลังกดดันที่รูปปั้นทองแดงส่งออกมาทำให้จิวโมไป๋ต้องประหลาดใจ
เพราะเขาสัมผัสได้ว่ารูปปั้นทองแดงตัวนี้ มีวิญญาณแฝงอยู่
มันก็หมายความว่าต้นแบบประติมากรรมยังไม่เสียชีวิต!
จิวโมไป๋สูดลมหายใจ เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น
ที่เขาเคยได้รับข้อมูลมา ผู้บ่มเพาะพลังระดับเทพยุทธจะมีอายุขัยขั้นต่ำประมาณ 1 หมื่นปี
วัดดอกบัว แห่งนี้มีอายุมากกว่า 1 หมื่นปี แสดงว่าต้นแบบของรูปปั้นทองแดง จะต้องเป็นผู้แข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ในระหว่างที่จิวโมไป๋กำลังครุ่นคิด ดวงตาทองแดงของรูปปั้นทองแดงแสงสว่างเปล่งประกายสีขาว มันค่อนๆขยับเข้ามาอย่างช้าๆ รัศมีกระบี่แผ่กระจายพลังกดดันอันแข็งแกร่งออกมา
จิวโมไป๋สูกลมหายใจลึกๆ บรรยากาศกลายเป็นตึงเครียด ตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย เขาสัมผัสได้ถึงรัศมีกระบี่เป็นวงกลมล้อมรอบร่างของรูปปั้นทองแดงกระบี่ตรงหน้า
เจตจำนงกระบี่!
ในตอนแรกเขาเห็นว่าด่านที่ 4 มีรูปปั้นทองแดงกระบี่ เพียงแค่ 1 ตัว เขาก็ไม่ผ่อนคล้าย การทดสอบที่ 4 จะต้องยากกว่าชั้น 3 อยู่แล้ว ที่มีรูปปั้นทองแดงกระบี่เพียงตัวเดียวแสดงว่ามันไม่ธรรมดา สามารถเป็นด่านทดสอบต่อจาก รูปปั้นนรก 81 ตัว ไม่มีทางเลยที่มันจะง่าย
เขาไม่สามารถประมาทได้
จิวโมไป๋แทงกระบี่ออกไป ก่อนจะชนเข้ากับวงกลมรัศมีเจตจำนงกระบี่ แต่ยังไม่ทันที่กระบี่จะไปถึงก็ถูกกระแทกกลับ
เจตจำนงกระบี่จริงๆ ใบหน้าของจิวโมไป๋เริ่มตึงเครียด
รูปปั้นหินเมื่อถูกกระตุ้น มันก็ลงมือทันที กระบี่เหล็กกล้าส่งกลิ่นอายอันแหลมคมอันยิ่งใหญ่ไพศาลออกมา ก่อนที่มันจะแทงออกมาอย่างรวดเร็ว คลื่นพลังหลอมรวมกลายเป็นคมกระบี่อันคมกริบพุ่งเข้าไปยังใส่หัวใจของจิวโมไป๋อย่างแม่นยำ
เร็วมาก จิวโมไป๋สัมผัสได้ถึงอันตราย เขารู้ได้ทันทีว่าไม่สามารถหลบได้ ดวงตาของเขาเป็นประกายระริก ก่อนที่คมกระบี่จะถึงตัว จิวโมไป๋ก็พุ่งเข้าปะทะตรงๆ กระบี่เลือนเร้นฟันออกไปเพื่อปัดป้องการโจมตี
เคร้ง! กระบี่ทั้งสองปะทะกันเสียงดังสนั่น เสื้อของจิวโมไป๋ขาดเป็นชิ้นๆ จนเห็นเกร็ดมังกรทองที่มีรอยจุดบนเกาะ
รัศมีกระบี่ที่แข็งแกร่ง จิวโมไป๋พลันตัดสินใจเปลี่ยนเป็นใช้ความเร็ว ต่างของเขาพลันแยกออกเป็นหลายร่างเข้าโจมตีจากทุกทาง
เงากระบี่เลือนเร้นปกคลุมร่างของรูปปั้นทองแดงกระบี่ที่อยู่ตรงกลาง
แต่ก่อนที่การโจมตีจะถึงตัวรัศมีกระบี่ก็ป้องกันได้หมด
คลื่นพลังจากการปะทะกันกระจัดกระจายออกไปทั่วบริเวณ
รูปปั้นทองแดงกระบี่สามารถใช้กระบี่ได้อย่างลื่นไหล และแม่นยำ ไม่ต้องมองก็สามารถรู้สึกถึงการโจมตีที่ใกล้เข้ามา และโจมตีออกไปโดยที่ไม่ต้องมอง
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ
ร่างของจิวโมไป๋เริ่มปรากฎคมกระบี่มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ทั้งหมดก็ถูกเกล็ดมังกรทองป้องกันเอาไว ไม่ได้บาดเจ็บอะไร
ทางด้านรูปปั้นทองแดงก็มีรอยกระบี่ขีดเป็นเส้นยาวทั้วร่าง
จิวโมไป๋หยั่งเชิงจนรู้ว่า รูปปั้นหินมีระดับการบ่มเพาะพลังขั้นที่ 5 ต้น วิชากระบี่ชั้นสูงระดับเจตจำนง และร่างทองแดงแข็งแกร่งกว่าร่างหิน 5 เท่า ทำให้ยากที่จะจัดการมันได้ง่ายๆ แต่ในขณะที่กำลังสู้กัน อยู่ๆรูปปั้นทองแดงกระบี่ที่กำลังต่อสู้อยู่ก็หยุดชะงักและยืนนิ่ง ไม่ขยับ ไม่ต่อสู้อีก
จิวโมไป๋หยุดมือ ถอยไปยืนห่างออกไปเล็กน้อยและมองรูปปั้นทองแดงกระบี่ด้วยความสงสัย เขากลัวว่ารูปปั้นทองแดงกระบี่จะทำอะไรอันตราย
ผ่านไปคณู่หนึ่ง มันก็ไม่ทำอะไร
ในเวลาเดียวกัน ดวงดาวรกร้างที่คุมขังชายคนหนึ่งอยู่
อยู่ๆชายที่ถูกหมอกสีดำทรมานก็ลืมตาขึ้น แววตาเป็นประกายเจิดจ้า
“เยี่ยม! โชคของฉันมาแล้ว ฉันไม่คิดเลยว่า 1 ใน 10 ของวิญญาณที่ฉันเคยเสียไปจะเป็นแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวของฉันในตอนนี้”ชายที่ถูกจับกรีดร้องด้วยความดีใจ
แต่เขาขยับร่างกายไม่ได้ ร่างกายทุกส่วนของเขาถูกจับไม่ให้เคลื่อนไหว
เขาจึงกัดลิ้นจนเลือดสีทองไหลออกมา แล้วใช้พลังวิญญาณหมุนวนเลือดสีทองก่อนจะ ยิ้มเหี้ยมออกมา
“พวกคนทรยศ รอฉันก่อน ฉันจะรีบบ่มเพาะพลังใหม่ทั้งหมด แล้วจะกลับมาฆ่าพวกแก”จบคำ หยดเลือดสีทองก็ระเบิดออกอย่างรุนแรง
จนร่างแหลกเละไม่เหลือซาก
เคล็ดวิชาต้องห้าม กำเนิดจากวิญญาณ
วิญญาณที่หลุดออกจากร่างหายวับไป
ก่อนที่ดวงดาวทั้งดวงที่กักขังเขาเอาไว้ เกิดรอยร้าวและแตกออกอย่างรุนแรง!
กลับมาที่ทางด้านจิวโมไป๋
ร่างของรูปปั้นทองแดงกระบี่สั่นไหวเล็กน้อย มันยิ่งทำให้จิวโมไป๋ระแวง ก่อนที่รูปปั้นทองแดงกระบี่จะกลับมาตัวตรง เขาพบความผิดปกติบางอย่าง เหมือนกับว่ารูปปั้นทองแดงกระบี่มีท่าทีเหมือนกับกำลังตรวจสอบเขาอยู่
คลื่นนนน อยู่ๆพลังของรูปปั้นทองแดงกระบี่ ก็ระเบิดพลังกดดันอันมหาศาลออกมา กระบี่เหล็กในมือเหมือนกับกลายเป็นอาวุธโบราณที่คมกริบ รัศมีวงกลมรอบร่างกายพลันขยายใหญ่ขึ้น 3 เท่า
ครึ่งก้าวความสำเร็จอันยิ่งใหญ่! จิวโมไป๋กลืนน้ำลายอึกใหญ่
—