ย้อนเวลากลับมาเป็นเทพยุทธ์ - ตอนที่ 245
ในเวลาเดียวกัน วัดบนดินแดนแห่งหนึ่งในจักวาล
บนประตูหอทดสอบหมายเลข 3 สีเงินค่อยๆจางหายไปอย่างช้าๆ
เหล่านักบวชที่เฝ้าดูต่างถอนหายใจ สีหน้าของพวกเขาแสดงออกถึงความเสียดาย แต่ก็ยังมีบางคนที่เผลอแสดงออกถึงความโล่งใจออก มาก่อนจะซ่อนเอาไว้อย่างรวดเร็ว
มีเพียงนักบวชที่อยู่ตรงกลาง เขายังคงแสดงใบหน้าเรียบเฉย ไม่มีใครสามารถอ่านใจของเขาได้ เขาจ้องไปยังประตูหอทดสอบอีกครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหลังเดินจากไปทันที
นักบวชคนอื่นๆก็เดินตาม
‘น่าเสียดาย ถ้าเขาสามารถผ่านชั้นที่ 4 ของหอทดสอบได้ในการทดสอบครั้งแรก มันหมายความว่า เขามีพรสวรรค์ใกล้เคียงกับศิษย์พี่จู ที่สามารถผ่านชั้นที่ 4 ภายในการทดสอบครั้งแรกได้ เมื่อ 50 ปีก่อน’นักบวชทางขวาส่งเสียงผ่านจิตใจพูดคุยกับนักบวชทางซ้าย สายตามองไปยังนักบวชที่เดินนำไปตรงกลางด้วยสายตาชื่นชม
‘ใช่ น่าเสียดายจริงๆ’นักบวชทางซ้ายตอบ และก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อซ่อนสายตาอันดำมืด
ผู้บ่มเพาะพลังที่ยืนดูอยู่ต่างก็แหวกทาง ให้เหล่านักบวชเดินผ่านกลับไปชั้น 2 ของวัด
และพวกเขาก็หันกลับไปมองประตูหอทดสอบด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่พูดอะไร พวกเขารออยู่นาน ก็ไม่มีใครปรากฏตัวขึ้น พวกเขาได้แต่ส่งเสียงพูดคุยในใจ พวกเขาต่างดาดเดาอะไรบางอย่าง
มิติโลก
จิวโมไป๋เดินลงมาเขาไม่เห็นเสี่ยวไป๋และตัวอื่นๆ เขาจึงเดินไปหาพื้นที่โล่ง และลงมือทำอาหาร เพื่อบรรเทาความหิว
ในระหว่างที่เขากำลังทำอาหาร ไม่นานเสี่ยวจินก็บินออกมาจากหอทดสอบ เมื่อมันเห็นจิวโมไป๋ มันก็ตีปีกบินออกมาทันที หลังจากที่มันออกจากหอทดสอบไม่นาน หมายเลข 1 สีเงิน หนึ่งอันก็หายไป จิวโมไป๋หรี่ตาเล็กน้อย
เสี่ยวจินบินมาถึง มันก็ร่อนลงที่พื้นข้างๆจิวโมไป๋ จากนั้นมันก็กระพือปีก เหมือนกับกำลังบอกอะไรบางอย่าง
“เสี่ยวจิน แกจะบอกว่า แกสามารถเอาชนะนกตัวใหญ่ได้อย่างนั้นเหรอ”จิวโมไป๋คาดเดาท่าทางของเสี่ยวจินว่ามันกำลังจะสื่อถึงอะไร
เสี่ยวจินพยักหน้า นัยน์ตาเป็นประกายตื่นเต้นดีใจ ก่อนจะกระพือปีกแรงขึ้น
“หลังจากนั้นแกก็ไปต่อสู้กับนกอีก 9 ตัว แกเอาชนะไปได้ 6 ตัว แล้วแกก็แพ้สินะ”จิวโมไป๋พูด พลางลูบหัวเสี่ยวจินเป็นการปลอบใจ
เสี่ยวจินไม่มีท่าทางเสียใจแม้แต่น้อย มันกระพือปีกอย่างภูมิใจ ที่มันได้ต่อสู้ และเอาชนะไปได้
จิวโมไป๋เห็นดังนั้นก็หยิบเนื้อสัตว์ที่ทอดเรียบร้อยแล้ว ไปให้เสี่ยวจินกิน และเขาเหลือบไปมองที่ปีะตูหอทดสอบ
เขารู้อยู่แล้วว่าหมายเลขสีเงินหมายถึงอะไร แต่ที่เขาสงสัยก็คือทำไมมีเพียงแค่ 2 เลข จากความแข็งแกร่งของเสี่ยวไป๋และเสี่ยวเหมย พวกมันไม่น่าจะถูกหยุดตั้งแต่ชั้นที่ 1
ในตอนที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่นั้นเอง เสี่ยวไป๋และเสี่ยวเหมยก็ออกมาพร้อมกัน ท่าทางของพวกมันดูเหน็ดเหนื่อยอย่างมาก แต่เมื่อพวกมันหันมามองสบตากัน พวกมันก็แยกเขี้ยวเขม่งกันทันที ก่อนที่เสี่ยวเหมยจะสังเกตเห็นถึงจิวโมไป๋ มันก็วิ่งไปหาจิวโมไป๋ทันที โดยที่เสี่ยวไป๋ช้ากว่าเล็กน้อย
จิวโมไป๋เห็นดังนั้นก็ขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่พูดอะไร เขาหยิบอาหารที่เขาพึ่งทำเสร็จไปให้ทั้งสอง
เสี่ยวเหมยมาถึงมันก็ลงมือกินอาหารอย่างมูมมาม เสี่ยวไป๋ที่มาช้ากว่าก็ไม่พอใจ แต่มันหิวมาก มันไม่สนสายตาของเสี่ยวเหมย มันลงมือกินอาหารของมันอย่างรวดเร็ว
จิวโมไป๋รู้แล้วว่าเสี่ยวหวงกำลังทดสอบชั้นที่ 2 ของหอทดสอบอยู่ เขาก็ไม่ได้เป็นห่วงมากนัก เพราะหอทดสอบไม่ได้เป็นอันตราย
เขาก็ลงเริ่มลงมือกินอาหาร
เวลาผ่านไปเล็กน้อย หมายเลข 1 สีเงิน ก็กลายเป็นหมายเลข 2 สีเงิน แสดงให้เห็นว่ามีใครผ่านชั้นที่ 2
จิวโมไป๋ประหลาดใจ เขาไม่คิดเลยว่าเสี่ยวหวงจะผ่านชั้นที่ 2 ได้
เสี่ยวไป๋และเสี่ยวเหมยก็ประหลาดใจเช่นกัน พวกมันทั้งสองต่างก็รู้ว่าเสี่ยวหวงเป็นแค่วัวธรรมดา ไม่มีสายเลือดพิเศษอะไร ที่มันสามารถผ่านชั้นที่ 1 ได้ ก็น่าประหลาดใจมากแล้ว แต่การที่มันสามารถผ่านชั้นที่ 2 ได้ แสดงว่าความแข็งแกร่งของเสี่ยวหวง ไม่สามารถประมาทได้เลย
จิวโมไป๋มองประตู เสี่ยวหวงก็ยังไม่ออกมา แสดงว่ามันเข้าไปทดสอบชั้นที่ 3 ต่อทันที มันทำให้เขาอดเป็นห่วงไม่ได้ แม้ว่าหอทดสอบจะไม่เป็นอันตราย แต่ความเหน็ดเหนื่อยที่ได้รับก็ไม่ธรรมดา อาจทำให้หมดสติได้
จิวโมไป๋ทานอาหารจนเสร็จ เขาก็เตรียมอาหารธัญพืชชามใหญ่ไว้ให้เสี่ยวหวง จากนั้นเขาก็กำชับเสียวไป๋และตัวอื่นๆ ให้คอยดูเสี่ยวหวง เมื่อมันออกมา ให้มันกินอาหารทันที
เสี่ยวไป๋และตัวอื่นๆรับคำอย่างว่าง่าย
จากนั้น จิวโมไป๋ก็ไปที่ศาลาคัมภีร์ 4 ชั้น
หลังจากที่เขาผ่านหอทดสอบ 3 ชั้น เขาได้รับสิทธิ์ ให้ศึกษาคัมภีร์ในศาลาคัมภีร์ ชั้นละ 1 เล่มได้
เมื่อเข้าไปในชั้นที่ 1 ของศาลาคัมภีร์ ภาพเบื้องหน้าก็เปลี่ยนไปกลายเป็นห้องขนาดใหญ่ มีชั้นวางคัมภีร์นับไม่ถ้วน เรียงกันเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบ
จิวโมไป๋กวาดตามองดู เขาก็สังเกตว่าพื้นที่ชั้นที่ 1 แบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนหน้าและส่วนหลัง
ตรงหน้าของเขามีโต๊ะเล็กๆและมีเก้าอี้นั่ง 2 ตัว ดูเหมือนจะมีไว้เพื่อเจ้าหน้าที่ศาลาคัมภีร์ ด้านหลังโต๊ะเล็กเป็นบันไดขึ้นไปชั้นที่ 2 ของศาลาคัมภีร์
จิวโมไป๋เดินไปส่วนหน้าของชั้นวางคัมภีร์ และหยิบคัมภีร์จากชั้นวางตรงหน้ามาดู
‘พุทธอำพัน’
แค่อ่านชื่อจิวโมไป๋ก็รู้ได้ทันที ว่าส่วนหน้าของชั้นที่ 1 เป็นคัมภีร์สำหรับนักบวช เป็นคัมภีร์ธรรมะ พุธ เต๋า หรือความเชื่ออื่นๆ จิวโมไป๋วางคัมภีร์ลง เขาไม่สนใจศึกษาคัมภีร์ธรรมะมากนัก
เพราะมันต้องอาศัยการศึกษาเชิงลึก ต้องใช้ความเข้าใจที่สูงมาก เขาไม่มีความสามารถมากพอ
จิวโมไป๋เดินผ่านชั้นคัมภีร์ไปเรื่อยๆ จนสายตาของเขาถูกคัมภีร์เล่มหนึ่งดึงดูด เขาเดินไปหยิบมันขึ้นมาดูด้วยความสนใจ
‘หัวใจพิสุทธิ์’
จิวโมไป๋ชะงักด้วยความประหลาดใจ เขาลูบไปที่ชื่อคัมภีร์ และเขาพลิกคัมภีร์ดู มีแต่ชื่อคัมภีร์ ไม่มีเขียนอธิบายอะไรเลย จากนั้นเขาก็หยิบคัมภีร์อื่นๆขึ้นมาดู ทุกเล่มเป็นเหมือนกัน มีแต่ชื่อคัมภีร์ ไม่มีอะไรอธิบายถึงความสามารถของวิชาในคัมภีร์
ไม่บอกด้วยซ้ำว่าเป็นวิชาต่อสู้ วิชาท่าร่าง วิชาบ่มเพาะพลัง หรือวิชาบ่มเพาะจิตวิญญาณ
จิวโมไป๋ถอนหายใจเล็กน้อย การเลือกคัมภีร์ที่นี่เหมือนการเสี่ยงดวง ถ้าเลือกไม่ดี เลือกคัมภีร์ที่ไม่สามารถฝึกได้ก็ซวยไป
การผ่านหอทดสอบแต่ละชั้นจะเลือกคัมภีร์ได้เพียง 1 เล่ม พลาดแล้วพลาดเลย นึกเสียใจที่หลังก็ไม่ได้
จิวโมไป๋ถือคัมภีร์’หัวใจพิสุทธิ์’ พลางระลึกถึงอดีต ไม่นานเขาก็จำได้ ว่าเขาได้รับเคล็ดบ่มเพาะพลังหัวใจพิสุทธิ์ที่คลังเคล็ดวิชาของหน่วยลับ ในช่วงที่เขากำลังศึกษาเกี่ยวหับเคล็ดบ่มเพาะจิตวิญญาณ เขาบังเอิญพบว่า ในคลังหน่วยลับก็มีเคล็ดบ่มเพาะจิตวิญญาณ
ในตอนนั้นเขาก็ยังประหลาดใจ เพราะเคล็ดบ่มเพาะพลังหัวใจพิสุทธิ์ เป็น 1 ใน 10 เคล็ดบ่มเพาะจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุด เขาสงสัยว่าใครกัน ที่สามารถนำมันมาไว้ที่คลังหน่วยลับได้ เขาตามหาอยู่นานก็ไม่พบ สุกท้ายเขาก็เลิกสนใจ
ในตอนนี้ เขาพอจะคาดเดาได้แล้วว่า คนที่กำจัดผีน้ำและเข้ามาโบราณสถานวัดดอกบัว จะต้องแลกเคล็ดบ่มเพาะพลังหัวใจพิสุทธิ์ไป ในชั้นที่ 1 ของศาลาคัมภีร์ และนำไปส่งที่หน่วยลับ เพื่อได้รับคะแนนพิเศษ
จิวโมไป๋เสียบคัมภีร์’หัวใจพิสุทธิ์’กลับไปในชั้น ก่อนจะเดินลึกเข้าไป เมื่อผ่านไปชั้นด้านหลัง บรรยากาศก็เปลี่ยนไป มีกลิ่นอายต่อสู้รุนแรง
คัมภีร์ในชั้นหลัง มีชื่อที่ดูแล้วก็รู้ได้ทันทีว่า ไม่ได้เป็นคัมภีร์ธรรมะ
เขาลองหยิบคัมภีร์ออกมา
‘ดาบสายฟ้าสะบั้นจันทรา’
‘เพลิงอรุณแผดเผา’
‘คู่หยินหยาง’
ชื่อคัมภีร์ บ่งบอกอะไรได้หลายอย่าง ที่เขารู้แน่ๆคือทุกคัมภีร์มีกฏแห่งธาตุแฝงอยู่ ทำให้อย่างน้อยคัมภีร์ในชั้นที่ 1 จะต้องเป็นคัมภีร์ระดับสูง
จิวโมไป๋อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ นี้เพียงแค่ชั้น 1 เท่านั้น ชั้นที่ 2 จะต้องมีคัมภีร์ที่เหนือกว่าอย่างแน่นอน
เขาเดินไปด้านในมากขึ้นและหยิบคัมภีร์ออกมาพลิกดูหลายเล่ม แต่ก็ไม่สนใจอะไรมากนัก
เขาเป็นผู้มีความสามารถในการปรับปรุงเคล็ดวิชาอันดับต้นๆ
แม้แต่ผู้บ่มเพาะพลังครึ่งก้าวเทพยุทธ์ ยังต้องมาขอให้เขาช่วยปรับปรุงเคล็ดวิชาให้ ทำให้เขาได้ผ่านตาเคล็ดวิชามากมาย และเขาได้สร้างเคล็ดวิชาที่เหมาะสมกับตัวเองเอาไว้แล้ว
เคล็ดวิชาทั้งหมดชั้นที่ 1 ของศาลาคัมภีร์ จึงไม่ทำให้เขาสนใจเท่าไหร่นัก
จิวโมไป๋ถอนหายใจ ดูเหมือนจะเสียเวลาเปล่า
เขาเดินไปเรื่อยๆ สุดท้ายตัดสินใจเลือกวิชามาซักหนึ่งเล่ม เพื่อเอาไปศึกษา
คัมภีร์ในนี้อย่างน้อยก็เป็นของโบราณ อาจมีแนวคิดที่ลึกซึ้งบางอย่าง ที่ช่วยให้วิสัยทัศน์ของเขาเพิ่มขึ้น มันอาจช่วยพัฒนาความสามารถในการสร้างและปรับปรุงเคล็ดวิชาของเขาให้ก้าวหน้ามากขึ้นก็ได้
คิดได้แล้ว จิวโมไป๋ก็หยิบคัมภีร์ขึ้นมาหลายเล่ม เพื่อเลือกคัมภีร์ที่มีชื่อน่าสนใจ
แต่แล้วสายตาก็ไปพบกับคัมภีร์สีเหลืองอ่อนดูแตกต่างจากคัมภีร์ทั่วไป เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอันลึกซึ้ง เพียงแค่กวาดตามอง เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกยิ่งใหญ่และน่าเคารพจากคัมภีร์เล่มนี้
จิวโมไป๋เอื่อมมือไปหยิบคัมภีร์สีเหลืองอ่อนออกจากชั้นวางทันที
‘บันทึกคมกระบี่ เล่มที่ 1’
จิวโมไป๋ขมวดคิ้ว ชื่อธรรมดามาก เป็นชื่อที่ไม่มีอะไรน่าสนใจเลย ถ้าเขาไม่รู้สึกถึงความลึกซึ้งของคัมภีร์เล่มนี้ เขาจะปล่อยผ่าน ไม่สนใจ จิวโมไป๋เริ่มลังเล แต่เขาก็ไม่ปล่อยคัมภีร์’บันทึกคมกระบี่ เล่มที่ 1′ คิดอยู่นานเขาก็ตัดสินใจเลือกมันมา
คัมภีร์ในชั้นที่ 1 ไม่มีอะไรน่าสนใจ
แม้ว่าจะเลือกผิด เขาก็ไม่เสียใจ
จิวโมไป๋เดินกลับไปส่วนหน้า เพื่อขึ้นไปชั้นที่ 2 แต่เมื่อเขาเดินผ่านชั้นคัมภีร์ออกมา เขาก็ต้องชะงัก กระบี่เลือนเร้นพลันปรากฏที่มือขวาในพริบตา มือซ้ายถือคัมภีร์’บันทึกคมกระบี่ เล่มที่ 1’อยู่
ตรงหน้าของเขา มีชายแต่งตัวซอมซ่อกำลังนั่งหลับตาหลังโต๊ะ ด้วยท่าทางสะบายที่สุด
ชายซอมซ่อค่อยๆลืมตาขึ้นและเหลือบตามามองมายังจิวโมไป๋ ก่อนที่สายตาจะก้มลงไปมองคัมภีร์’บันทึกคมกระบี่ เล่มที่ 1′ แววตาของเขาพลันเป็นประกายวูบหนึ่งก่อนจะหายไป
“ใจกล้าไม่เลว”
—