ย้อนเวลากลับมาเป็นเทพยุทธ์ - ตอนที่ 32
บนสนามประลอง ตอนนี้การต่อสู้ของคู่ที่สามได้จบลงแล้ว ชัยชนะเป็นของฝั่งปีกสวรรค์ คู่ที่สี่กำลังเริ่มประลอง เป็นผู้บ่มเพาะขั้นที่ 2 กล้ามเนื้อ
“ลูกพี่จะลงมือเลยไหม”กงหนานก้มกระซิบเสียงเบา
เย่จื้อหยวนนิ่งเงียบไม่ตอบคำ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงแพ้การประลองไปแล้ว 2 รอบ ทั้งที่อีกฝ่ายเป็นแค่นักเลงข้างถนน พวกมันไม่น่าจะมีเคล็ดบ่มเพาะพลังและวิชาต่อสู้ที่แข็งแกร่งแท้ๆ
ไม่ต้องพูดถึงทรัพยากรในการบ่มเพาะที่มีราคาแพง พวกมันไม่น่าหามาให้ลูกน้องใช้ได้ทั่วถึงอย่างแน่นอน
ฝั่งของเขาเป็นนักศึกษาที่ได้เรียนรู้การบ่มเพาะมาอย่างดี พร้อมทั้งยังได้รับทรัพยากรบ่มเพาะที่มีคุณภาพเป็นประจำ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ทรัพยากรบ่มเพาะเป็นจำนวนมากแต่ก็ไม่ขาด
ทำไมพวกเขายังแพ้อีก เขาไม่เข้าใจจริงๆ
บนสนามประลองคู่นี้อายุพอๆกัน ฝั่งของเขาดูจะได้เปรียบด้านพลังและทักษะ แต่ฝั่งตรงความดูมีชันเชิงกว่า และทุกครั้งที่ตอบโต้ฝั่งของเขาจะเสียหายอย่างหนัก
ผ่านไปไม่นานฝั่งของเขาก็เริ่มหมดแรง
เย่จื่อหยวนกำหมัดแน่น
ถ้าเขาเลือกลงมือก่อนถึงแม้เขาจะชนะสงคราม แต่ชื่อเสียงของเขาจะเสียหาย ซึ่งมันแย่มากๆ
ในขณะที่เย่จื่อหยวนกำลังหัวเสียอยู่นั้นเอง ท้องฟ้าสีดำสนิทเริ่มกลายเป็นสีแดงเข้มอย่างช้าๆ โดยที่ไม่มีใครรู้ตัว หมอกสีเทาไม่ทราบที่มาค่อยๆก่อตัวขึ้นภายในเขตโรงงานร้างช้าๆ
ยิ่งเวลาผ่านไปหมอกสีเทาก็ยิ่งหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ
“หืม ทำไมมีควันอยู่ที่นี่”คนแรกที่สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติร้องขึ้นเสียงดัง
“หรือว่าจะเป็นยาพิษ!”
“แย่แล้ว! มีคนใช้ควันพิษ”
ผู้คนที่ยืนล้อมรอบสนามประลองอยู่ต่างแตกฮือ ด้วยความตื่นกลัว บางคนหันหลังวิ่งออกจากโรงงานร้างอย่างรวดเร็ว ใครบ้างไม่กลัวพิษ ถ้าเป็นพิษร้ายแรงอาจถึงตายเลยก็เป็นได้
“แก! กู๋เป่ย พวกแกทำอะไร”เย่จื่อหยวนหยิบผ้ามาปิดปากก่อนที่จะควานหาสิ่งของตรงหน้ารถ ก่อนที่จะหยิบหน้ากากกันแก๊สออกมาสวม หน้ากากกันแก๊สที่เหลือ 4 อันเขาส่งไปให้ลูกน้อง
ฝั่งกู๋เป่ยพอเห็นควันสีเทา เขาก็สั่งให้ลูกน้องหนีออกไปนอกโรงงานร้างก่อน ไม่ต้องสนใจรถ พอได้ยินเสียงตะโกนของเย่จื่อหยวน เขาก็หันไปเห็นเย่จื่อหยวนที่ใส่หน้ากากกันแก๊สเข้าพอดี ใบหน้าของเขาพลันแดงกล่ำด้วยความโกรธ
“บัดซบ! พวกแกเตรียมพร้อมขนาดนี้ หลักฐานก็อยู่บนหน้าพวกแกแท้ๆ ยังจะกล้ามาใส่ความพวกข้า พวกแกใช่ไหมที่ปล่อยควันพิษ”
“พวกเราไม่ได้ทำ พวกแกต่างหากที่ปล่อยควันพิษ!”กลุ่มเลือดมังกรที่ยังไม่ได้หนีไปหันกลับมาตะโกนโต้ตอบอย่างดุร้าย
“บัดซบหลักฐานเห็นชัดๆแบบนี้ ยังปฏิเสธอีก คุยกันดีๆไม่ได้แล้วพวกเราลุย ฆ่าพวกมันแล้วเอายาแก้พิษมา”หนุ่มเลือดร้อนฝั่งปีกสวรรค์ ร้องเสียงดังด้วยท่าทางห้าวหาญ เขาไม่กลัวควันสีเทาเลยแม้แต่น้อย
“สู้พวกมัน!”
ก่อนที่เหตุการณ์จะเริ่มบานปลาย เพราะอยู่ๆพื้นที่โดยรอบก็มีหมอกสีเทาประหลาดปรากฏขึ้น พวกเขาจะคิดว่าเป็นควันพิษก็ไม่แปลก
ในเวลาไม่นานก่อนที่ใครจะได้ทันตั้งตัว หมอกสีเทาพลันจับตัวกันอย่างรวดเร็ว ทั่วทั้งพื้นที่ก็เต็มไปด้วยหมอกสีเทาหนาแน่น ทำให้ผู้คนแทบจะไม่สามารถเห็นใบหน้ากัน เสียงพูดคุยพลันเงียบงันราวกับถูกตัดขาดออกจากโลกภายนอก
กลุ่มผู้คนมองซ้ายมองขวาด้วยความตกใจ เพราะคนที่เคยยืนอยู่ข้างๆพลันหายไป พวกเขาเห็นแต่หมอกเทาที่บดบังทัศนวิสัยจนหมด เมื่อเงยหน้าขึ้นจะเห็นท้องฟ้าสีแดงคล่ำ ดวงจันทร์สีเหลืองนวลกลายเป็นสีแดงเลือดน่าสะพรึงกลัว!
“เฮ! หายไปไหนกันหมด กงหนานแกอยู่ไหน!”เย่จื่อหยวนร้องเสียงดังด้วยความตกใจ อยู่ๆรอบข้างที่คึกคักพลันกลายเป็นหมอกหนาทึบ ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลยนอกจากหมอกสีเทา ยิ่งตะโกนเสียงดังเท่าไหร่ ดูเหมือนเสียงจะถูกดูดหายไปในอากาศ
ในตอนนั้นเอง จู่ๆบรรยากาศรอบข้างพลันเปลี่ยนไป เย่จื่อหยวนก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามปราม เส้นขนบนร่างกายลุกชันอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“บ้าเอ้ยย! เกิดอะไรขึ้นเมื่อกี้ยังมีคนอยู่เลย ตอนนี้หายไปไหนกันหมด”เย่จื่อหยวนกรีดร้องเสียงดัง มองซ้ายมองขวาเพื่อหาทางออก และดูเหมือนเขาจะพึ่งนึกขึ้นได้ว่าเขายืนอยู่ข้างๆรถ
เย่จื่อหยวนคลำหารถคันหรูของตัวเองอยู่นาน ก่อนที่จะเอื้อมมือไปโดนกระจกมอง เมื่อสัมผัสเจอเขาก็เกาะมันแน่น แม้จะมองไม่เห็นแต่เขาก็สัมผัสได้ว่ามันอยู่เบื้องหน้า มันเป็นรถของเขาจริงๆ โชคดีที่เขาเปิดหลังคารถไว้ทำให้ง่ายต่อการขึ้นไปบนรถได้ ในขณะที่กำลังจะกระโดดขึ้นรถ เย่จื่อหยวนก็ได้ยินเสียงร้องแหบแห้งดังมาจากด้านหลัง
ความรู้สึกเย็นยะเยือกค่อยๆคืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ
เย่จื่อหยวนตัวแข็งทื้อราวถูกแช่แข็ง ใบหน้าภายใต้หน้ากากกันแก๊ส เต็มไปด้วยหยดเหงื่อที่พุดขึ้นบนใบหน้า ราวกับกำลังอบไอน้ำ
อือ อื่อออ อือ อือ อื่ออ
เสียงกรีดร้องโหยหวนสั่นประสาทดังขึ้นอย่างแผ่วเบา เสียงร้องค่อยๆดังขึ้นดังขึ้นเรื่อยๆจากด้านหลังราวกับว่ามันกำลังจะเข้ามาหาเขา
ในตอนนั้นเองมีเงาสีดำค่อยๆทาบทับจากด้านหลัง เพราะทัศนวิสัยส่วนใหญ่เป็นสีเทา เมื่อมีอะไรโผล่ออกมามันจึงตัดกับฉากสีเทาอย่างชัดเจน เย่จื่อหยวนยืนนิ่งมองเงาสีดำที่ค่อยๆทาบทับเบื้องหน้าด้วยความกลัว เขาสัมผัสไอเย็นจากด้านหลังอย่างชัดเจน ผิวหนังของเขาเย็นเฉียวราวกับถูกน้ำแข็งเกาะ
น้ำตาค่อยๆผุดออกมาจากดวงตาเพราะความหวาดกลัว
บัดซบ ทำไมเขามาเจอเหตุการบ้าอะไรกัน
จู่ๆเงาดำก็หยุดลง บรรยากาศเย็นยะเยือกเบื้องหลังทำให้เย่จื่อหยวนไม่กล้าหายใจ เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ยิ่งเวลาผ่านไปความกลัวก็สิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวี เย่จื่อหยวนพยายามตั้งสติอยู่นาน ในที่สุดเขาก็ตั้งสติได้บ้างแล้ว ด้วยความอยากรู้หรือความกล้าก็ไม่รู้ เขาก็กลั่นใจค่อยๆ หันกลับมามองเบื้องหลังอย่างช้าๆ
“อ๊ากกกกกกกกก”
…
นอกจากเย่จื่อหยวนแล้ว คนอื่นๆถือว่าโชคดีอย่างมาก พวกเขาไม่ถึงกับถูกหมอกบดบังจนมองไม่เห็นอะไรเลย เพราะจิวโมไป๋ทำช่องเล็กๆไว้ให้พวกเขาได้วิ่งผ่านไปจนออกไปจากโรงงานร้างได้
พอออกไปได้แล้ว เมื่อพวกเขาหันกลับมามองจะเห็นว่าโรงงานร้างตอนนี้ถูกบกคลุมไปด้วยหมอกควัน ไม่สามารถมองผ่านเข้าไปด้านในได้
เหตุการณ์นี้มันดูลี้ลับทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัว บางคนกดกำไลข้อมือแจ้งโทรเหตุฉุกเฉิน
มีคนไม่น้อยที่ตื่นเต้นอยากกลับเข้าไปสำรวจ ซึ่งมันก็ไม่แปลก เพราะโลกในยุคสมัยรุ่งอรุณ บางพื้นที่เริ่มมีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ ส่วนใหญ่มักจะเป็นเพราะพืชหรือสัตว์กลายพันธ์
สุสานหรือที่ซ่อนสมบัติจะเป็นสถานที่ ที่มักจะเกิดเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ เพราะส่วนใหญ่สุสานหรือที่ซ่อนวมบัติจะถูกฝังไว้ตรงจุดที่มีพลังธรรมชาติหนาแน่น ทำให้สมบัติที่ถูกฝังไว้เกิดการสะสมของพลังธรรมชาติ กลายเป็นของวิเศษ ซึ่งมันจะส่งผลให้บริเวณนั้นเกิดเหตุการณ์เหนือธรรมชาติขึ้น
เมื่อมีการณ์ค้นพบสถานที่ที่มีเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ ผู้บ่มเพาะทุกคนจะรีบมุ่งเข้าไปสำรวจเพราะมักจะมีสิ่งมีค่าอยู่เสมอ
เหตุการณ์หมอกสีเทาที่ดูลี้ลับนี้ จึงทำให้มีผู้คนไม่น้อยคิดว่ามันเป็นเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ ใต้ดินของโรงงานร้าง อาจมีสมบัติวิเศษซ่อนอยู่ก็เป็นได้
ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยอยากกลับเข้าไปสำรวจดู
กู๋เป่ยที่หนีออกมาได้แล้ว ยืนอยู่หน้ากลุ่มลูกน้องมองเข้าไปในหมอกสีเทาด้วยแววตาอยากที่จะอธิบาย
“ลูกพี่ครับผมไปตรวจสอบมาแล้ว เย่จื่อหยวน ยังไม่ออกมา”
เมื่อฟังรายงานแล้ว กู๋เป่ยก็กัดฟันพูด
“คนที่มีการบ่มเพาะขึ้นที่ 3 เส้นเอ็นขึ้นไป ตามฉันกลับไปสำรวจด้านใน!”
จบคำกู่เป่ยก็เดินเข้าไปในม่านหมอกสีเทาทันที ด้านหลังของเขามีคนประมาณสิบกว่าคนเดินตามเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ผู้คนฝั่งเลือดมังกรเห็นดังนั้นพวกเขาก็ไม่อยากพลาดโอกาศ รีบเดินตามเข้าไป พวกเขาก็เคยได้ยินเกี่ยวกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติมาเช่นกัน เมื่อเห็นมันอยู่เบื้องหน้าขนาดนี้ ใครจะยอมปล่อยโอกาศให้หลุดมือไปได้
สีหน้าของพวกเขาวาววับเต็มไปด้วยความตื่นเต้นท้าทาย
ทางด้านจิวโมไป๋เมื่อเผารูปสลักและเปิดใช้งานข่ายอาคมแล้ว เขาก็ทำลายหลักฐานจนหมดสิ้น ก่อนที่จะหลบหนีออกมาโดยที่ไม่รอดูผลงานของตัวเอง
เป้าหมายหลักของเขาในครั้งนี้คือจัดการเย่จื้อหยวน ส่วนคนอื่นเขาได้ทำทางออกให้แล้ว คงไม่มีใครโง่อยู่ข้างในอีก ไม่อย่างนั้นละก็…
อีก 4 ชั่วโมงข่ายอาคมจึงจะหมดประสิทธิภาพ ในช่วงเวลานี้ ใครเข้าไปในข่ายอาคม เขาก็ไม่สามารถช่วยได้แล้ว
หลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้นเขาก็ไม่ใส่ใจนัก ขอแค่พี่น้องของเขาหลุดออกจากการควบคุมของกลุ่มเลือดมังกรได้ก็พอ