ย้อนเวลากลับมาเป็นเทพยุทธ์ - ตอนที่ 394 แผนร้าย
เมื่อร่างของทาคาฮิโระถูกนำออกไปจากสนามประลอง บรรยากาศของสนามประลองก็กลายเป็นตึงเครียดทันที ทุกสายตาจับจ้องมายังร่างของจิวโมไป๋ที่ยืนอยู่บนสนามประลอง
จิวโมไป๋หันไปพยักหน้าทำความเคารพให้กับผู้อาวุโสร่างกำยำ ก่อนจะเดินลงจากสนามประลองไปหาเจ้าอาวาสหงหมิง ที่กำลังยืนอย่างสำรวมอยู่ข้างสนามประลอง ไม่สนใจเหล่าผู้อาวุโสของสำนักดาบสายฟ้าคำรณที่มองมาอย่างมุ่งร้าย
หงหยุนและหงเฟยมองจิวโมไป๋ด้วยแววตาซับซ้อน เพราะจิวโมไป๋ได้รับสิทธิ์ไปแล้ว แต่พวกเขาทั้งสองยังต้องต่อสู้กันอีก
ผู้อาวุโสร่างกำยำ กระแอมเสียงดังเรียกสายตาทุกคน ให้กลับมาที่เขาก่อนจะกล่าวด้วยเสียงอันดัง
“ตารางการประลองเพื่อชิง’สิทธิ์’ที่เหลือตำแหน่งสุดท้ายเสร็จแล้ว!”
บนอากาศกลางสนามประลองมีโฮโลแกรมสีเหลี่ยมจัตุรัสปรากฏขึ้นทุกด้านมีตารางการประลองให้ทุกคนได้เห็น โดยมีหงหยุนและหงเฟยอยู่คนละด้าน พวกเขาจะต้องเอาชนะลูกศิษย์ของสำนักดาบสายฟ้าคำรณที่เหลือทั้งหมด ถ้าพวกเขาสามารถเอาชนะได้ พวกเขาจะต้องต่อสู้กันเองในรอบสุดท้าย
ถ้าพวกเขาแพ้ในระหว่างทาง ศิษย์คนนั้นจะได้รับสิทธิ์แทน และจะต้องต่อสู้กับศิษย์คนอื่นๆ เพื่อไปต่อสู้ในรอบสุดท้าย
ผู้อาวุโสร่างกำยำไม่รอให้เสียเวลา เขาประกาศเสียงดัง
“คู่ที่ 1 ขึ้นสนามประลอง!”
ห้องพยาบาล
เมื่อแพทย์เดินออกจากห้อง ประตูห้องพยาบาลก็เลื่อนปิดสนิท เพื่อไม่ให้ใครเข้ามารบกวนการรักษา
ในถังสารอาหารที่มีไว้รักษาการบาดเจ็บรุนแรง ทาคาฮิโระลืมตาขึ้น สารอาหารสีเขียวลดลงอย่างรวดเร็ว พวกมันถูกทาคาฮิโระดูดซึมด้วยความเร็วสูง ถ้าคนอื่นเห็นพวกเขาจะต้องตกตะลึง เพราะสารอาหารในถังสารอาหารที่ทาคาฮิโระแช่ ผู้บ่มเพาะพลังสามารถอยู่ได้ 6 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ
แต่ทาคาฮิโระสามารถดูดซับพวกมันทั้งหมดภายใน 1 นาที!
เมื่อสารอาหารสีเขียวถูกดูดซึมไปจนหมด ประตูกระจกของถังอาหารก็เลื่อนเปิด ทาคาฮิโระที่อยู่ในสภาพกึ่งเปลือยสวมเพียงชุดคลุมสีขาวบางๆเท่านั้น เขาไม่สนใจเดินออกมาจากถังสารอาหาร ไปที่ตู้เก็บของด้านข้าง เขาเปิดตู้หยิบชุดสำนักและกำไลข้อมือออกมาใส่ เมื่อเสร็จแล้ว เขาก็สูดลมหายใจก่อนจะกดลงไปที่กำไลข้อมือ
เพียงวินาทีเดียว ฝ่ายตรงข้ามก็รับสัญญาณ ภาพโฮโลแกรมขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น
ยังไม่ทันที่ภาพจะปรากฏ ทาคาฮิโระก็ทรุดลงคุกเข่าข้างเดียวทำความเคารพอย่างนอบน้อม
“นายท่าน”
ภาพโฮโลแกรมเปลี่ยนเป็นสีดำ ไม่มีภาพอย่างอื่น ก่อนที่เสียงของเด็กสาวอ่อนเยาว์แต่เย็นยะเยือกน่าขนลุกดังออกมา
“พูดมา”
ทาคาฮิโระสูดลมหายใจก่อนจะรายงานกระชับรวดเดียว
“ชายคนนั้นอ่อนแอ เกินกว่าคนที่นายท่านต้องการตามหาครับ”
เสียงจากอีกด้านเงียบไม่พูดอะไร เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ก่อนที่เสียงของผู้ชายวัยกลางคนจะดังขึ้นแทนเสียงของเด็กสาว
“หมายเลข 9 ภารกิจของนายถูกเลื่อนให้เร็วขึ้น ตอนนี้ปีศาจแมวสูญเสียความสามารถไปแล้ว ในการเข้าโบราณสถานครั้งนี้ เป็นโอกาสดีที่จะกำจัดรุ่นหลังของสำนักดาบสายฟ้าคำรณให้จบสิ้นในคราวเดียว นายต้องจัดการภารกิจให้เรียบร้อยหมดจด ห้ามเกิดความผิดพลาดขึ้น”
เสียงปลายสายเงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะกระซิบพูดออกมาอย่างแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน
“นายท่านไม่อยู่ในสภาพที่ดีนัก ถ้านายทำภารกิจผิดพลาด นายไม่มีโอกาสแก้ตัวอีกต่อไป”จบคำสัญญาณติดต่อก็ถูกตัดทันที
ทาคาฮิโระกำหมัดแน่น แผ่นหลังเย็นเฉียบ ก่อนที่เขาจะตั้งสติสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ ดวงตาเป็นประกายครู่หนึ่งก่อนจะหายไป
เวลาผ่านไป 2 ชั่วโมง การประลองจบลง
หงหยุนและหงเฟยสามารถเอาชนะศิษย์อันดับต้นๆของสำนักดาบสายฟ้าคำรณและมาประลองกันในรอบสุดท้ายได้
พวกเขาต่อสู้กันโดยไม่ออมมือ แม้ว่าทั้งสองจะเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน พวกเขาต่อสู้กันอย่างดุเดือด
ทั้งสองต่อสู้อยู่นานก็ไม่สามารถตัดสินผู้ชนะได้ อาจเพราะพวกเขาฝึกฝนมาด้วยกันและวิชาที่ฝึกฝนก็เหมือนกัน ทำให้การต่อสู้ยืดเยื้อ การประลองกินเวลา 1 ชั่วโมง พูดได้ว่าเวลา 2 ชั่วโมง พวกเขาทั้งสองใช้ครึ่งหนึ่งเพื่อต่อสู้กัน
จนในที่สุด หงหยุน ศิษย์พี่ก็สามารถเอาชนะได้ เนื้อตัวของเขาเต็มไปด้วยเลือดและรอยช้ำตามร่างกาย
“จบการประลอง ผู้ได้สิทธิ์คนสุดท้าย หงหยุน!”ผู้อาวุโสร่างกำยำประกาศเสียงดัง
ทุกคนมองไปยังหงหยุนด้วยแววตาไม่ยอมรับ แต่ก็ไม่พูดอะไรเพราะกฎยอมเป็นกฎ ในการท้าทายพวกเขาแพ้จริงๆ
เหล่าผู้อาวุโสมองศิษย์ของตัวเอง ที่พ่ายแพ้ด้วยความไม่สบอารมณ์ พวกเขาเริ่มวางแผนในใจ เพื่อที่จะเคี้ยวเข็ญศิษย์ของตัวเองให้หนักขึ้น
เมื่อการประลองจบลง
พันเอกนาคามูระ ก็เดินมาหาเจ้าอาวาสหงหมิงและพาพวกเขาออกไปทันที
หงหยุนและหงเฟยถูกพาไปรักษาบาดแผล
เจ้าอาวาสหงหมิงและจิวโมไป๋ถูกพาไปเรือนรับรอง ที่อยู่ไม่ไกล เพื่อรอให้คนที่บาดเจ็บฟื้นตัวและรอคนที่ได้รับสิทธิ์คนอื่นๆ
พันเอกนาคามูระพาพวกเขามาถึง ก็หายไปทันทีโดยไม่พูดอะไร
พวกเขาจึงนั่งลงพูดคุยกันเพื่อรอเวลา
ผ่านไปไม่นานก็มีกลุ่มคนเดินเข้ามา
กลิ่นหอมของดอกไม้ที่มีรสเย้ายวน ลอยตามลมเข้ามาก่อนที่คนจะเข้ามา
คิ้วของจิวโมไป๋ขมวดเล็กน้อย
เจ้าอาวาสหงหมิงสงบนิ่ง ราวกับไม่รู้สึกถึงสิ่งแปลกปลอม
—