ย้อนเวลากลับมาเป็นเทพยุทธ์ - ตอนที่ 50
ชั้นบนสุดของโรงแรม อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 988 เมตร
เมื่อก้าวผ่านประตู จิวโมไป๋ก็แปลกใจเล็กน้อย เพราะเขาพบสวนสไตล์โบราณ กินพื้นที่กว่า 95% ของชั้นบนสุดของโรงแรม และมีอาคารไม้โบราณหลังเล็กๆแห่งหนึ่ง เสาอาคารแต่ละต้นถูกแกะสลักลวดลาย ฝูงผีเสื้อเริงระบำตามหมู่ดวงดาว อย่างปราณีตงดงาม
จิวโมไป๋ยิ้มขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ เป็นการตกแต่งที่เอาแต่ใจอย่างแท้จริง เพราะอยู่บนอาคารสูงที่นี่จึงมีเมฆหมอกลอยผ่านไปมาอย่างนุ่มนวล ทำให้ดินแดนแห่งนี้ราวกับดินแดนแห่งการหลุดพ้น
ผู้บ่มเพาะพลัง ยิ่งระดับการบ่มเพาะสูงมากเท่าไหร่ พวกเขาจะยิ่งต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีพลังธรรมชาติหนาแน่น ยิ่งอยู่ในป่าเขาลึกเท่าไหร่ยิ่งดี มันจะให้ผลดีต่อการบ่มเพาะพลัง แต่เพราะภาระหน้าที่ จึงไม่สามารถหลบหนีไปอยู่อย่างสันโดษในป่าเขาได้ ทำได้เพียงสร้างสภาพแวดล้อมเสมือน เพื่อทำให้จิตใจได้สงบ ให้เขาใกล้วิถีชีวิตของผู้บ่มเพาะมากที่สุด
ช่างเป็นบุคคลที่น่าเศร้าอย่างแท้จริง
“เชิญ ท่านปู่อยู่ทางด้านนี้”ถังเจิ้งเฟย ผายมือไปทางด้านหนึ่ง มีสระน้ำขนาดเล็กทอดยาวไปถึงศาลาหินสีขาวสะอาด เขามองเห็นเงาร่างของชายชราคนหนึ่งกำลังนั่งตัวตรงดั่งคันทวน มือข้างหนึ่งกำลังถือเม็ดหมากสีดำ เขามองลงบนกระดานหมากอย่างสงบนิ่งไร้การเคลื่อนไหว
ถังเจิ้งเฟย เดินผ่านพื้นหินกลางสระที่ถูกปูเรียงยาวไปจนถึงศาลา ในระหว่างทางถังซื่อเหยาเดินเขามากระซิบอย่างแผ่วเบา
“ในขณะที่คุณปู่กำลังเดินหมาก ห้ามส่งเสียงดังรบกวนเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้น…”ถังซื่อเหยาเงียบไปครู่หนึ่งเพราะไม่รู้จะอธิบายังไงให้คนนอกเข้าใจดี
“ท่านจะอารมณ์ไม่ดี และอาจจะพูดอะไรร้ายกาจไปบ้าง นายก็อย่าได้พูดขัดท่าน”พูดเตือนด้วยความหวังดีจบ เธอก็เดินถอยไปด้านหลัง
“เข้าใจแล้ว”จิวโมไป๋ตอบกับเสียงเบา ในใจกำลังคิดอะไรบางอย่างเงียบๆ
เมื่อมาถึงศาลา ถังเจิ้งเฟยก็ไปยืนเงียบๆ อยู่นอกศาลา ไม่เข้าไปใกล้ชายชราในระยะ 20 เมตรของชายชราเพราะกลัวจะรบกวนสมาธิของอีกฝ่าย
จิวโมไป๋ใช้จิตสัมผัส กวาดตามองกระดานหมากรอบเดียว เขาก็เผลอขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างแปลกใจ ไม่นานก็คลายออกโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น
ค่ายกลดารากระจ่าง
หนึ่งในสุดยอดค่ายกลของสำนักดั้งเดิม สำนักผีเสื้อดารา เป็นสุดยอดค่ายกลที่ จะหลอกล่อเหยื่อให้ค่อยๆเข้าไปในกับดัก ทำให้พวกเขาค่อยๆหมดแรง และจับกุมเหยื่อไม่ให้หนีรอดไปไหนได้ เหมาะสำหรับการปราบปรามคนทั้งกองทัพ เป็นค่ายกลที่มีความลึกซึ้งยากจะเข้าใจ
แต่จุดอ่อนของมันคือ ไม่สามารถจบการต่อสู้ได้เร็ว จะต้องค่อยๆหลอกล่อให้เหยื่อติดกับ ก่อนที่จะทำให้หมดแรง ถ้าเหยื่อมีกระบวนท่าโจมตีที่ทรงพลัง หรือระดับการบ่เพาะสูงกว่าผู้สร้างค่ายกล ค่ายกลดารากระจ่างจะถูกทำลายลงอย่างง่ายดาย สรุปง่ายๆคือเป็นค่ายกลที่เอาชนะผู้บ่มเพาะที่อ่อนแอจำนวนมากแต่ไม่สามารถกักขังผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งได้
ในอดีตเขาเคยปะมือกับสำนักดั้งเดิมจำนวนมาก สำนักผีเสื้อดาราเป็นหนึ่งใน ผู้ที่เขาต้องต่อสู้มากที่สุด และเป็นกลุ่มคนที่เขาเบื่อหน่ายและเหนื่อยใจมากที่สุดด้วยเช่นกัน
เหตุผลที่สำนักผีเสื้อดาราต้องตามล่าเขาก็เพราะ เขาใช้ตัวตนของกระบี่เรือนเล้น สังหารคนชั่วช้ามากเกินไป…
สำนักผีเสื้อดารา เป็นสำนักที่เถรตรงถึงขีดสุด พวกเขาไม่สนใจว่าผู้ที่ถูกเขาสังหารเป็นคนชั่วช้าหรือเป็นคนดี พวกเขายึดถือเพียงความดีงามของมนุษย์ การฆ่าเป็นสิ่งที่ผิด มนุษย์ทุกคนต้องได้รับการให้อภัย เคล็ดวิชาต่างๆของสำนักจึงไม่เน้นสังหารโดยตรง แต่เป็นการทำให้คู่ต่อสู้อ่อนแอ
เขาเหนื่อยทั้งแรงและใจทุกครั้งที่ต้องปะมือกับสำนักนี้ เพราะกฏเหล็กที่เขาตั้งไว้ ของตัวตนกระบี่เลือนเร้นคือ ไม่สังหารคนดีที่ชอบธรรมและผู้บริสุทธิ์
คนในสำนักผีเสื้อดาราต่างก็เป็นคนดี ที่ดีจริงๆ จนเขาไม่อาจลงมือจัดการปัญหาอย่างเด็ดขาดได้ ทำให้กลายเป็นการต่อสู้ยืดเยื้อตลอดหลายสิบปี ในระหว่างนี้เอง เขาก็ได้ลอบศึกษาเคล็ดวิชาต่างๆของสำนักผีเสื้อดารา โดยเฉพาะค่ายกลและข่ายอาคม ที่เป็นวิชาที่สร้างชื่อให้แก่สำนัก
ถ้าพูดถึงเหตุผลที่เขาเชี่ยวชาญข่ายอาคม ก็ต้องยกความดีความชอบให้สำนักผีเสื้อดารา ถ้าพวกเขาไม่ตามจี้ ไม่ยอมปล่อยกว่าหลายสิบปี เขาคงไม่ลำบากลงทุนลงแรงศึกษาค่ายกลและข่ายอาคม เพื่อหลบหนี
เมื่อเขาเห็นหมากล้อม กำลังแสดงค่ายกลดารากระจ่างออกมา เขาอดไม่ได้ที่จะเหม่อมองอย่างใจลอย ความทรงจำต่างๆที่ยากจะลืมค่อยๆก่อตัวอย่างช้าๆ
ภาพกลุ่มหนุ่มสาวของสำนักผีเสื้อดารา ไล่จับเขาตั้งแต่มิติระดับล่างจนถึงมิติระดับสูง ภาพหญิงสาวผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มที่แม้จะมีใบหน้างดงาม แต่ฝีปากของเธอนั้นเผ็ดร้อน เธอก่นด่าเขาตลอดเวลาที่ไล่ล่า 10 วัน 10 คืนไม่มีหยุด จนเขาอดนับถือไม่ได้ว่าเธอขุดคำด่ามาจากไหนมากมาย ทุกครั้งที่เจอกันคำแรกที่เจอกันต้องเป็น…
‘หยุดนะ!เจ้าโจรใจทราม’
‘เด็กดื้อรั้น คนนั้นจะเป็นยังไงบ้างนะ’จิวโมไป๋ยกยิ้มอย่างแผ่วเบา แฝงไปด้วยความเศร้าไม่รู้จบ เขาคิดถึงสำนักที่ล้มสลายกลายเป็นเศษซาก ผู้คนบริสุทธิ์ล้มตายอย่างน่าอเนจอนาถ
เพราะต้องการช่วยชีวิตพี่สาม เขาถึงกับต้องสังเวยชีวิตของคนทั้งหมด เขามันเป็นคนที่บาปหนาจริงๆ
ถ้าเด็กดื้อรั้นคนนั้นรู้ว่า ผู้คนบริสุทธิ์จำนวนมากต้องตายเพราะเขา เธอจะต้องตามมาสาปแช่งเขาไม่ได้ผุดได้เกิดอย่างแน่นอน
ภาพทุกอย่างกลายเป็นอดีต ไม่รู้ว่าตอนนี้เด็กคนนั้นจะเป็นยัง…
“เธอรู้ไหมว่าจะต้องเดินหมากต่อไปยังไง”เสียงหนักแน่นดุจขุนเขาดังขึ้น เรียกสติของจิวโมไป๋ให้กลับมา เขาเงยหน้าขึ้นมองสบเข้ากับดวงตาที่เต็มไปด้วยพลัง ราวกับอายุไม่อาจบั่นทอนจิตวิญญาณของชายชราให้ลดลงไปได้
“ผมไม่ทราบ”จิวโมไป๋ส่ายหน้าอย่างแผ่วเบา
“มานั่งตรงนี้ ฉันจะสอนเธอเดินหมากกระดานนี้เอง”ถังเทียนเหวินยกยิ้มขึ้น ใบหน้าแก่ชราดูมีเมตตาราวกับพระสงฆ์ที่ออกบวช เขาชี้ไปที่นั่งหินอ่อนฝั่งตรงข้าม
ใบหน้าของถังเจิ้งเฟยพลันแปรเปลี่ยนไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอิจฉา เขารีบก้มหน้ามองลงพื้นพยายามซ่อนสีหน้าของตัวเอง
ถังซื่อเหยายืนยิ้มเงียบๆ ไม่สนใจถึงการเปลี่ยนแปลงภายในศาลาเลยแม้แต่น้อย
จิวโมไป๋มองสบตากับชายชราครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเดินไปนั่งฝั่งตรงข้าม
ทันทีที่เขานั่ง หมอกสีขาวประกายดวงดารานับไม่ถ้วนพลันปรากฏขึ้น จิวโมไป๋นั่งมองกระดานหมากเบื้องหน้าราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ชายชราขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนที่จะตบลงบนโต๊ะหินแกร่งอย่างแรง เม็ดหมากทั้งสองสีแยกกลับลงไปในที่เก็บหมาก หมอกประกายดาราก็หายไปในทันทีที่เม็ดหมากออกจากกระดาน
“มามา ฉันจะสอนเธอเดินหมากตั้งแต่แรกเอง ถ้าเธอเดินมากกระดานนี้ได้ เธอจะได้รับประโยชน์มากมายในอนาคต”