ย้อนเวลากลับมาเป็นเทพยุทธ์ - ตอนที่ 533 เข้ารับการทดสอบ หุบเขาพายุ
“นายท่าน ขึ้นมาครับ”ฟงอี้เฟยยิ้มซ่อนความอ่อนแอ ผายมือไปทางเข้ารถตู้สีดำ
จิวโมไป๋เดินเข้าไปในรถตู้ ฟงอี้เฟยจึงเข้าไปในรถและปิดประตูนั่งฝั่งตรงข้าม เขาอดไม่ได้ที่จะมองเสี่ยวไป๋และเสี่ยวเหมยที่อยู่บนไหล่ของจิวโมไป๋
อยู่ๆเขาก็รู้ถึงได้ถึงอันตรายจากสิ่งมีชีวิตขนฟูสองตัว ราวกับมองสิ่งมีชีวิตโบราณ สัมผัสแบบนี้ เขารู้สึกคุ้นเคย มันเหมือนกับสัตว์พิทักษ์ของตระกูลของเขา ที่เขาเคยพบเมื่อตอนยังเด็ก
เป็นไปไม่ได้
ฟงอี้เฟยพยายามขับไล่ความคิดนั้นออกไป สัตว์พิทักษ์ตระกูลของเขามีระดับการบ่มเพาะพลังขั้นที่ 9 กำเนิดปราณ มันมีอายุไขกว่าสองพันปี
แต่สัตว์ตัวเล็กทั้งสองดูบอบบาง ไม่น่าจะแข็งแกร่งได้เลย
เขาลอบกลืนน้ำลาย หันหน้าหนี เขาคงประสาทหลอนไปเอง เพราะเหนื่อย
ฟงอี้เฟยปลอบตัวเอง
จิวโมไป๋วางพลองสีทองบนโต๊ะเตี้ยด้านหน้า เขามองใบหน้าของฟงอี้เฟยและถาม
“ภารกิจของนาย คงยากมากใช่ไหม ได้พักผ่อนบ้างหรือยัง?”
ฟงอี้เฟยประหลาดใจเล็กน้อยที่จิวโมไป๋เป็นห่วงตัวเอง เขารู้สึกร้อนเล็กน้อยในใจ เขายิ้มและตอบ
“ไม่เป็นไรครับ หน้าที่ของผมแค่ค้นหาจิงมู่ไท่ที่หายตัวไปเท่านั้น ไม่ต้องออกแรงอะไรมากนัก”ฟงอี้เฟยตอบ ก่อนจะถอนหายใจออกมา”น่าเสียหายที่ร่องรอยของจิงมู่ไท่หายไปจนหมด ราวกับว่าเขาระเหยไปในอากาศ ทำให้ไม่สามารถหาตัวเขาได้ ถ้าสามารถหาตัวจิงมู่ไท่ได้ เราอาจจะหาตัวผู้บงการที่จ้างนักฆ่าสังหารตระกูลจิงทั้งหมดได้”
“นักฆ่าที่นายพูดถึง รู้ตัวตนแล้วหรือยัง?”จิวโมไป๋ถาม การสั่งหารทั้งตระกูลได้โดยไม่มีเบาะแส ไม่มีทางเลยที่จะเป็นนักฆ่าที่ไม่มีชื่อเสียง
ใบหน้าของฟงอี้เฟยกลายเป็นตึงเครียด เขาโน้มตัวมาข้างหน้าและกระซิบเสียงเบา
“ระบุตัวตนของนักฆ่าได้แล้วครับ เขาคือนักฆ่าอันดับที่ 4 ของโลก มีฉายาปีศาจไร้เงา ชื่อจริงๆของเขา เจฟฟ์ ทายาทของตระกูล เดธชาโดว์ ตระกูลเดธชาโดว์ เป็นตระกูลผู้ปลุกโลหิตปีศาจเร้นลับ ความสามารถ หายตัว เขาเป็นนักฆ่ามืออาชีพที่สามารถสังหารคนอย่างไร้ร่องรอย ไม่ทิ้งหลักฐานใดๆเอาไว้ ตอนนี้พวกเรายังไม่สามารถค้นหาเขาได้ แต่สามารถระบุได้ว่าเขายังไม่ออกนอกประเทศมังกร”
ฟงอี้เฟยมองจิวโมไป๋ ลังเลเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ
“เพราะว่าพวกเราอาจมีส่วนที่ทำให้ตระกูลจิงถูกทำลาย และนักฆ่ายังไม่ออกนอกประเทศ มีความเป็นไปได้ว่า นักฆ่ากำลังรอที่จะลงมือกับพวกเราอยู่ ดังนั้นนายท่านต้องระวังตัวด้วยนะครับ”
จิวโมไป๋พยักหน้ารับฟัง
เสี่ยวไป๋และเสี่ยวเหมยที่กำลังเดินไปมาในรถตู้ได้ยิน ก็แยกเขี้ยวยิ้มเยาะ
ฟงอี้เฟยที่ลอบมองทั้งสองอยู่ก็ตัวเกร็ง เบนสายตาหนี
จิวโมไป๋ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ก่อนจะดึงออก เป็นถุงปลาเส้นเผ็ด เขาเอามาแกะและวางให้ทั้งสองกิน จะได้ไม่ยุ่งวุ่นวาย
ฟงอี้เฟยถอนหายใจ เขาพูดถึงการทำภารกิจที่เขาทำทั้งหมดให้จิวโมไป๋ฟัง
ทั้งสองคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง รถตู้สีดำก็ขับมาถึง อาคารจอดเครื่องบินล่องหน พวกเขาขึ้นเครื่องบินล่องหนไปทางเหนือ เข้าไปในป่าสวรรค์โบราณไปหลายร้อยกิโลเมตร
พวกเขาก็ไปถึงลานกว้างใจกลางป่าที่ถูกถางตัดต้นไม้โดยรอบออก เพื่อเป็นที่จอดเครื่องบิน
พวกเขาลงจากเครื่องบินล่องหน เสี่ยวไป๋และเสี่ยวเหมยนั่งประจำที่บนโหล่ของจิวโมไป๋
โดยไม่ต้องใช้จิตสัมผัส ก็สามารถมองเห็นหน้าผาสูงร้อยกว่าเมตร หน้าผาแบ่งพื้นที่ป่าเป็นสองฝั่ง ยาวจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
ฟงอี้เฟยพาจิวโมไปตรงไปยังหุบเขาพร้อมกับอธิบาย
“นี้คือหุบเขาพายุ เป็นที่ตั้งของตระกูลฟง และตรงนี้คือทางเข้าหุบเขาพายุด้านหลัง ทางเข้านี้มีไว้สำหรับผู้ที่เข้าทดสอบรับศิษย์ของตระกูลเป็นผู้ติดตาม หรือผู้ที่ต้องการเข้าร่วมกับตระกูลฟง”
พวกเขาเดินไปถึงหุบเขาพายุ ก็เห็นกำแพงเหล็กสีดำเชื่อมระหว่างหน้าผาสองด้าน กำแพงเหล็กมีความกว้างแค่ 5 เมตร แต่ความสูงร้อยกว่าเมตรทำให้ กำแพงเหล็กดูแปลกประหลาด ด้านล่างกำแพงเหล็กมีประตูเหล็กเล็กๆเป็นทางเข้า
ด้านหน้าประตู มีชายห้าคนในชุดโบราณสีเทาด้าน พวกเขาทำหน้าที่เฝ้าทางเข้าหุบเขา
เมื่อพวกเขาเดินไปถึง ชายในชุดสีเทาทั้งห้าก็ทำความเคารพฟงอี้เฟย และลอบมองมายังจิวโมไป๋ ก่อนที่พวกเขาจะแสดงความเคารพไม่ต่างจากที่ทำกับฟงอี้เฟย
จิวโมไป๋อดไม่ได้ที่จะลอบชื่นชมพวกเขา ส่วนใหญ่แล้วศิษย์ของสำนักดั้งเดิม จะมีความรู้สึกเหนือกว่าผู้บ่มเพาะพลังคนอื่นๆ แม้แต่คนของตระกูลราชวงศ์ พวกเขาก็ยังถูกดูแคลน
แต่ศิษย์ของตระกูลฟงไม่มีความรู้สึกเหนือกว่าอยู่เลย
เขาเคยพบกับฟงอี้เฟยที่เคยแสดงท่าทางเย่อหยิ่งมาก่อน เขาจึงคิดว่าศิษย์คนอื่นๆในตระกูลฟงคงมีท่าทางไม่ต่างกัน เขาจึงอดแปลกใจไม่ได้ ที่เห็นท่าทางสุภาพนอบน้อมของศิษย์ตระกูลฟงทั้งห้า
ฟงอี้เฟยพยักหน้าให้กับศิษย์ทั้งห้า ก่อนจะหันมาหาจิวโมไป๋และชี้เข้าไปที่ประตู
“นี้คือทางเข้าการทดสอบ หลังจากผ่านประตูไปแล้วจะเข้าสู่หุบเขาพายุด้านหลัง และยังเป็นเขตพื้นที่ด้านหลังของตระกูลฟง พื้นที่ตรงนั้นจะแบ่งเป็นสองส่วน พื้นที่ส่วนแรกคือป่าพายุคลั่ง เป็นป่าดึกดำบรรพ์ เป็นพื้นที่ไม่มีมนุษย์เข้าไปรบกวน ทำให้ระบบนิเวศป่าไม้และสัตว์สมบูรณ์
และป่าแห่งนี้ยังมีปรากฏการธรรมชาติพิเสษ ที่ทำให้มีสายลมพัดกรรโชกอย่างรุนแรงตลอดทั้งปี สัตว์ที่อาศัยอยู่ที่นี่ จึงเกิดการพัฒนา เพื่อเอาตัวรอด ทำให้พวกมันมีความเร็วและความแข็งแกร่งสูงกว่าสัตว์ป่าดุร้ายทั่วไป และยังมีสัตว์ดุร้ายบางตัวที่พัฒนาจนไปถึงขั้นที่ 6 โลหิต หรือแม้แต่ขั้นที่ 7 ไขกระดูก ป่าพายุคลั่งมีระยะทางจากประตูไปยังพื้นที่ส่วนที่สองคือ 25 กิโลเมตร
พื้นที่ส่วนที่สอง เป็นหุบเหวพายุคลั่ง เป็นพื้นที่หุบเหวไม่เห็นก้น และมันยังโอบล้อมพื้นที่หลักของตระกูลฟงอีกด้วย หุบเหวพายุคลั่งมีหมอกหนาทึบปกคลุม บดบังวิสัยทัศน์การมองเห็น ทำให้มองเห็นแค่ระยะ 5 เมตรเท่านั้น และยังมีสายลมอันรุนแรง มันรุนแรงกว่าสายลมในป่าพายุคลั่ง ผู้บ่มเพาะพลังทั่วไป อาจถูกสายลมโจมตีจนเกิดบาดแผล คล้ายถูกมีดฟันได้ การข้ามหุบเหวพายุคลั่งจะต้องเดินบนโซ่เหล็ก ที่เชื่อมกับเสาหินที่อยู่ระหว่างหุบเหวสองด้าน ระยะทางของหุบเหวสองด้านอยู่ที่ 5 กิโลเมตร”
จิวโมไป๋ฟังอย่างเงียบๆ ไม่แสดงท่าทางใดๆ
ฟงอี้เฟยลอบมองจิวโมไป๋ก่อนจะพูดต่อ
“การทดสอบ ถูกแบ่งเป็นสองส่วน ในส่วนแรกนายท่านจะต้องไปถึงตระกูลฟงจากตรงนี้ภายในระยะเวลา 30 นาที”
จิวโมไป๋ชะงักไปครู่หนึ่ง สมองของเขาคำนวณ ระยะทางอย่างรวดเร็ว ในป่าที่มีสัตว์ป่าดุร้ายและสายลมอันแปลกประหลาด และระยะทาง 25 กิโลเมตร จะต้องทำเวลาให้ได้น้อยกว่า 30 นาที
และที่ทำให้เสียเวลาจริงๆ คงเป็นการผ่านหุบเหว ที่ต้องไต่โซ่เหล็กไปตามเสาหิน ที่มีหมอกหนาและสายลมรุนแรง
แต่สำหรับเขาแล้ว มันไม่ได้ยากเท่าไหร่นัก เพราะเขามีจิตสัมผัส การผ่านป่าและข้ามหุบเหว สำหรับเขาแล้วมันไม่ยากเลย
ถึงจะไม่มีจิตสัมผัส ผู้บ่มเพาะพลังที่แข็งแกร่งและมีประสบการณ์ต่อสู้หรือเดินป่าจริงๆ มันก็ไม่ได้ยากอะไรที่จะผ่านป่าและหุบเขาภายในเวลา 30 นาที มันจะต้องมีอุปสรรค์บางอย่างเพิ่มเข้ามา
“การทดสอบ ไม่ได้มีแค่นี้ใช่ไหม” จิวโมไป๋หันมาถาม
ฟงอี้เฟยพยักหน้า
“การทดสอบส่วนแรกเพียงแค่ไปให้ถึงตระกูลฟงภายใน 30 นาทีเท่านั้นจริงๆครับ แต่ในป่าพายุคลั่งนอกจากสัตว์ดุร้ายแล้ว ยังมีศิษย์ในอันดับ 81ถึง120 จำนวน 40 คน ดักรอซุ่มโจมตีอยู่
และบนยอดเสาหินที่อยู่ระหว่างหุบเหว มีศิษย์หลักอันดับ 10 ถึง12 จำนวน 3 คน ป้องกันยอดเสาหิน ป้องกันผู้ทดสอบไม่ให้ผ่านหุบเขาไปได้”
“ทำไมอันดับของคนที่ซุ่มโจมตีถึง…”จิวโมไป๋ถาม
“พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่อ่อนแอที่สุดของศิษย์ในและศิษย์หลักครับ ที่ให้พวกเขาเป็นผู้ป้องกัน เป็นเพาะนี้เป็นแค่การทดสอบครั้งแรก ความยากจะไม่ยากเกินไปครับ
แต่ศิษย์เหล่านี้ นายท่านไม่สามารถประมาทได้ พวกเขาเป็นศิษย์ชั้นยอดของตระกูลที่โดดเด่นกว่าศิษย์คนอื่นๆ ศิษย์หลักของตระกูลมี 12 คน และศิษย์ในมี 120 คนเท่านั้น
การที่จะขึ้นเลื่อนตำแหน่งที่สูงขึ้นจะต้องเอาชนะศิษย์ที่มีตำแหน่งก่อนหน้า เพื่อขึ้นไปแทนที่เท่านั้น พูดได้ว่าแม้จะเป็นอันดับ 120 ของศิษย์ใน คนๆนั้นก็ต้องมีความแข็งแกร่ง ที่จะสามารถแย่งชิงตำแหน่งนี้จากศิษย์นับร้อยนับพันได้ ดังนั้นจึงไม่สามารถประมาทพวกเขาได้”ฟงอี้เฟยพูดเตือนด้วยน้ำเสียงจริงจัง
จิวโมไป๋พยักหน้า
“ไม่มีอะไรแล้วใช่ไหม”
ฟงอี้เฟยคิดเล็กน้อย ก่อนจะนึกอะไรได้”ที่หุบเหวพายุคลั่ง นายท่านไม่ต้องกังวลว่าจะทำให้ศิษย์ที่เฝ้าอยู่ตกลงไปแล้วจะมีอันตราย อันที่จริงแล้วหุบเหวไม่ได้ลึกมากนัก เพราะหมอกหนาจึงมองไม่เห็นด้านล่างเท่านั้น และด้านล่างยังเป็นแม่น้ำ ดังนั้นถึงจะตกลงไปก็ไม่เป็นอันตรายใดๆ”
จิวโมไป็พยักหน้า
ฟงอี้เฟยก้มลงมองดูเวลา ก่อนจะเงยหน้าขึ้น
“ถ้านายท่านพร้อมการทดสอบแล้ว ก็บอกผมได้เลยนะครับ”
“อย่าเสียเวลาอีกเลย”จิวโมไป๋ส่ายหน้า ก่อนจะหยิบเสี่ยวไป๋และเสี่ยวเหมยที่เกาะเขาแน่นลงพื้น
“พวกแกตามฟงอี้เฟยไปก่อน หลังจากผ่านการทดสอบแล้วฉันจะไปรับ”จิวโมไป๋พูดอย่างมั่นใจ เขาไม่คิดว่าตัวเองจะไม่ผ่านการทดสอบด้วยซ้ำ
ศิษย์ทั้งห้าที่เฝ้าทางเข้าหุบเหว ต่างก็ชื่นชมในความมั่นใจของจิวโมไป๋
เสี่ยวไป๋และเสี่ยวเหมยเงยหน้ามองจิวโมไป๋ด้วยความไม่พอใจ แต่พวกมันก็ไม่ดื้อรันจะตามเข้าไป
จิวโมไป๋เงยหน้าขึ้นมองฟงอี้เฟยและพยักหน้า
“ผมจะเริ่มจับเวลาเลยนะครับ”ฟงอี้เฟยกดกำไลข้อมือ ส่งสัญญาณออกไป
กำไลข้อมือของจิวโมไป๋ก็สั่นเบาๆ ก่อนที่ตัวจับเวลาจะปรากฏขึ้น
29.59
ผู้เฝ้าทางเข้าหุบเขาก็เปิดประตูเหล็ก
เอี๊ยดดดด เสียงเหล็กเสียดสีกัน ส่งเสียงแหลมสูง เพราะไม่ได้เปิดประตูนาน ทำให้ประตูฝืดอย่างมาก
จิวโมไป๋เดินผ่านประตูเหล็กเข้าไป พื้นที่สองด้านเป็นหน้าผาสูง ทางเดินขนาดสามคนเดิน ทอดยาวไปหลายสิบเมตร
ผิวของหน้าผาเรียบเสมอกัน เหมือนถูกตัดด้วยพลังบางอย่างมากกว่าเกิดจากปรากฏการธรรมชาติ
จิวโมไป๋ไม่สนใจที่จะสำรวจ เขาเดินอย่างไม่รีบร้อน ไม่นานก็ออกจากหน้าผา เขาเห็นป่าอันมืดมน เสียงร้องคำรามของสัตว์ร้ายดังขึ้นมาจากภายในป่า
จิตสัมผัสของเขาขยายออกไป ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะกลับมาสงบอย่างรวดเร็วจนแทบมองไม่เห็น เขาลอบยิ้มแผ่วเบา และก้าวเท้าเดินเข้าไปในป่าอย่างใจเย็น
ยังไม่ทันทีจะเดินเข้าไปลึก เสียงแหวกอากาศก็ดังขึ้นอย่างฉับพลัน
ฟึบ จิวโมไป๋เอียงหัวไปทางซ้าย มีดอันแหลมคมพุ่งผ่านแก้มขวาไปเล็กน้อย ไปปักต้นไม้ที่อยู่อีกด้าน จิวโมไป๋หมุนตัวเหวี่ยงพลองสีทองออกไปยังทิศทางที่มีดบินพุ่งออกมา
ผัวะ! เสียงกระแทกดังขึ้น ร่างลึกลับกระเด็นออกจากพุ่มไม้ด้านข้าง ไปชนต้นไม้ที่ขวางอยู่อย่างจัง
ปัง!
“อัก! ไม่จริง แกเห็นฉันได้ยังไง”ชายในชุดสีเขียวเข้มกระอักเลือด เงยหน้ามองจิวโมไป๋ด้วยความตกใจ เขาคิดว่าทักษะในการพรางตัวของเขายอดเยี่ยม เขาจึงมาซุ่มรอที่ทางเข้า เพื่อจัดการกับจิวโมไป๋ในครั้งเดียว และเอาคะแนนผลงานทั้งหมดไป
แต่เขาไม่คิดเลยว่าจะถูกจิวโมไป๋จัดการอย่างรวดเร็วแบบนี้
จิวโมไป๋ไม่ตอบ เขาเดินไปต่อ โดยไม่สนใจที่จะมองคนที่เขาพึ่งเอาชนะเสียด้วยซ้ำ ร่างของเขาค่อยๆหายเข้าไปในป่าอันมืดมิด
“บัดซบ!”ชายเสื้อเขียวรู้สึกอับอาย ชกกำปั้นลงพื้นด้วยความโกรธ ก่อนจะกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง ใบหน้าของเขาซีดเผือด เขาทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงนั่งรอทีมรักษามารั