ย้อนเวลากลับมาเป็นเทพยุทธ์ - ตอนที่ 59
“เธอชื่ออะไรนะ?”จิวโมไป๋ถามย้ำอีกครั้ง
เด็กสาวเอียงหน้างุนงงเล็กน้อย ก่อนที่จะตอบ
“หนูชื่อเตี๋ย เสวี่ยเจียว(ผีเสื้อ หิมะอ่อนโยน)ค่ะ”
จิวโมไป๋หลับตาลง ในอดีตเหตุผลที่เขาทำเหมือนเด็กสาวเป็นน้องสาว เพราะว่าในชื่อของทั้งสองมีคำว่า เสวี่ย(หิมะ) อยู่ภายในชื่อเหมือนกัน
เขาจำได้ว่าเด็กดื้อรั้นใช้ชื่อว่า เสวี่ยเตี๋ย(ผีเสื้อหิมะ)
เมื่อนึกถึงตรงนี้เขาก็รู้ตัวว่า เขาได้เข้ามายุ่งวุ่นวายเข้ากับเรื่องใหญ่อีกแล้ว
จิวโมไป๋ยิ้มแปลกๆเล็กน้อยแล้วลูบหัวเด็กสาวเบาๆ
“พี่ขอดูอาการแม่ของน้องได้ไหม”
เด็กสาวแสดงท่าทางลังเลออกมา แต่ก็ยอมหลีกทางให้ เพราะชายหนุ่มเป็นคนที่ช่วยเหลือเธอจากอันตราย
จิวโมไป๋เดินไปที่หน้าเตียง เขาใช้จิตสัมผัสตรวจดูร่างของหญิงสาวอย่างละเอียด พร้อมกับใช้มือจับชีพจรอย่างเบามือ พลังจิตวิญญาณถูกส่งเข้าไปอย่างช้าๆ
คิ้วของจิวโมไป๋ขมวดเข้าหากันอย่างตกใจ
ฝ่ามือสลายแก่นวิญญาณ!
ในตอนนี้เขามั่นใจแล้ว ว่าเด็กสาวเป็นทายาทของสำนักผีเสื้อดาราจริงๆ และหญิงสาวคนนี้ก็มีตำแหน่งสำคัญภายในสำนักอย่างแน่นอน
เมื่อเขาใช้จิตสัมผัส เขาก็พบระดับการบ่มเพาะที่ทรงพลังของหญิงสาว
แม้ว่าเธออยู่ในสภาพที่ไม่ได้สติ ระดับการบ่มเพาะของเธอยังแข็งแกร่งกว่าเถ้าแก่จ้าว เจ้าของร้านศาลาหยก และ ถังเทียนเหวิน ประมุขตระกูลถัง อยู่หลายส่วน
ถ้าเธออยู่ในสภาพที่พร้อมสมบูรณ์ที่สุด เธอน่าจะอยู่ขั้นไขกระดูกสูงเป็นอย่างน้อย!
และเหตุผลที่ทำให้เขามั่นใจ ว่าเธอคือบุคคลสำคัญของสำหนักผีเสื้อดาราก็คือ การที่เธอถูกโจมตีด้วยวิชาฝ่ามือสลายแก่นวิญญาณ
วิชาฝ่ามือสลายแก่นวิญญาณเป็นวิชาต่อสู้ระดับสูงของสำนักใจทมิฬ สำนักดั้งเดิมฝ่ายอธรรม พวกเขาเข่นฆ่าผู้คนจำนวนมากอย่างโหดเหี้ยม และใช้โลหิตของเด็กทารกมาเพิ่มความเร็วในการบ่มเพาะพลังของตัวเอง
ทำให้พวกเขาเป็นศัตรูตามธรรมชาติของ สำนักผีเสื้อดารา
เงื่อนไขการใช้วิชาฝ่ามือสลายแก่นวิญญาณ จะต้องสูญเสียระดับการบ่มเพาะพลังถาวรไป 2 ใน 5 ส่วน การที่คนของสำนักใจทมิฬถึงกับต้องยอมสูญเสียระดับการบ่มเพาะ ถ้าคู่ต่อสู้ไม่ใช้บุคคลสำคัญ ก็ต้องเป็นผู้บ่มเพาะพลังที่แข็งแกร่งกว่าจนต้องแลกชีวิต
จิวโมไป๋ลอบส่ายหัวเล็กน้อยก่อนที่จะถอนใจ คนที่ถูกฝ่ามือสลายแก่นวิญญาณ โอกาสเสียชีวิตมีมากกว่าเก้าในสิบส่วน ผู้ที่รอดส่วนมากจะเป็นผู้บ่มเพาะที่ทรงพลัง ทำให้พวกเขาสามารถต้านทานเอาไว้ได้ทัน
แต่หญิงสาวคนนี้ถูกฝ่ามือสลายแก่นวิญญาณ ทำลายวิญญาณไปแล้ว ก็เท่ากับตายไปครึ่งตัว ที่เธอยังไม่เสียชีวิตในทันที เพราะเคล็ดบ่มเพาะของสำหนักผีเสื้อดารา มีส่วนคล้ายกับการฝึกจิตวิญญาณ ทำให้วิญญาณของเธอแข็งแกร่งกว่าคนปกติ จึงสามารถรักษาวิญญาณของตัวเองเอาไว้ได้
จิวโมไป๋ส่งพลังจิตวิญญาณค้นหาเศษเสี่ยววิญญาณของหญิงสาว เขาหวังให้มีเหลืออยู่ เพราะเขาจะสามารถฟื้นฟูพลังวิญญาณกลับมาได้
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ดวงตาของจิวโมไป๋ก็ทอประกายขึ้น เขาพบเศษเสี่ยววิญญาณกลุ่มใหญ่ อยู่ไม่ไกลจากตำแหน่งของตำหนักยุทธมากนัก เขาลอบชื่นชมหญิงสาวอย่างมาก ที่เธอยังคงประคองวิญญาณของตัวเองเอาไว้ได้ ไม่ปล่อยให้มันสูญหายไป การฟื้นฟูวิญญาณจึงง่ายมาก ไม่ต้องทำอะไรให้ยุ่งยาก
เขาแค่ใช้พลังจิตวิญญาณชักนำวิญญาณของหญิงสาว ให้กลับมาหลอมรวมกันเท่านั้น
เตี๋ยเสวี่ยเจียว ยืนมองอยู่ด้านข้าง เธอรู้สึกกังวลเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นท่าทางจริงจังของชายหนุ่มที่ช่วยเหลือเธอเอาไว้ เธอเลือกที่จะไม่ส่งเสียงรบกวน
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อเธอมองใบหน้าแม่ของเธอที่มีสีสันขึ้นมาเล็กน้อย เด็กสาวก็กำมือแน่นเต็มไปความตื่นเต้น แต่เธอก็ไม่พูดออกมา เพราะไม่อยากทำลายสมาธิของชายหนุ่ม
ด้านข้างกลุ่มแก๊งของชายร่างผอม พวกเขาไม่กล้าส่งเสียงดังออกมาแม้แต่น้อย ไม่ใช้เพราะว่าพวกเขาไม่อยากส่งเสียงรบกวน แต่เพราะพวกเขารู้แล้วว่ายิ่งพูดหรือขยับตัวมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเจ็บ ทำให้พวกเขานอนนิ่งในท่าทางแปลกประหลาด สองตาเบิกกว้าง แม้แต่หายใจยังไม่กล้ารุนแรง
ในตอนนั้นเอง เสียงฝีเท้าวุ่นวายจำนวนมาก มุ่งตรงมาที่บ้านทรุดโทรมอย่างเร่งร้อน
ชายร่างกายกำยำวิ่งเข้ามาในบ้านอย่างรวดเร็ว เขาก็เห็นชายร่างผอมนอนลืมตาค้างอยู่บนพื้น เขาก็ชะงักครู่หนึ่ง ก่อนที่จะรีบร้อนเขาพุ่งตัวเข้าไปตรวจสอบทันที
“รองหัวหน้าอี! คุณเป็นยังไงบ้าง”
“อะ..อย่…”ชายร่างผอมตาเหลือก พยายามจะเปล่งเสียงลมออกมาห้ามปราม
แต่…มันไม่ทันเสียแล้ว ชายร่างกำยำคว้าร่างของชายร่างผอม พร้อมยกขึ้นอย่างแรง
“อ๊ากกกกกกก”ชายร่างผอมกรีดร้องสุดเสียง ลำคอของเขาแหบแห้งอยู่แล้ว ทำให้เสียงที่ถูกส่งออกมาจากลำคอ ราวกับเสียงกรีดร้องของภูตผีปีศาจ
ชายร่างกำยำตกใจเสียงกรีดร้อง เผลอปล่อยมืออย่างไม่ตั้งใจ
โครม! ร่างของชายร่างผอมตกลงไปกองกับพื้นอีกครั้ง ด้วยท่าทางแปลกประหลาด
“อ๊าาากก ไอ้ลูกเต่า! แกปล่อยมือ… มือได้ยังไง อ๊าาากกก เจ็บบบ ฮืออพ่อจ๋าแม่จ๋าช่วยลูกด้วยยย”ชายร่างผอมร้องจนแทบหมดแรงแต่ก็ไม่สามารถสลบได้ สติยังคงแจ่มชัดอย่างน่ากลัว…
จิวโมไป๋สัมผัสได้ว่ามีคนเข้ามาในบ้าน เขาก็ถอดจิตสัมผัสกลับมา ก่อนที่จะลุกขึ้นมายืนด้านหน้าเด็กสาวที่กำลังสั่นกลัว เขาลูบหัวเล็กๆอย่างปลอบโยน
“ไม่ต้องกลัวมีพี่ชายอยู่ตรงนี้ ไม่มีใครทำอะไรเธอและแม่ได้แน่”
เด็กสาวพยักหน้าเบาๆก่อนที่จะถอยไปยืนอยู่หน้าเตียงนอน
เขาลอบสำรวจ คนที่พึ่งเขามาใหม่อย่างรวดเร็ว ขั้นผิวหนังสูง 9 คน ขั้นกล้ามเนื้อต้น 1 คน จิวโมไป๋เลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างแปลกใจ เพราะเขาได้ยินจากชายร่างผอมว่า พวกเขาเป็นแก๊งที่คุมเขตตลาดสมุนไพรเทียนไห่ พวกเขาจะต้องเป็นกลุ่มแก๊งขนาดกลางเป็นอย่างน้อย
แต่ทำไม เมื่อน้องชายหัวหน้าแก๊งถูกทำร้าย ถึงส่งแค่ขั้นกล้ามเนื้อต้นมาเพียงแค่หนึ่งคน?
ประมาท? หรือมีเรื่องอื่นให้ทำอยู่เลยปลีกตัวมาไม่ได้?
ชายร่างกำยำไม่รู้ว่าทำไม รองหัวหน้าของเขาถึงแสดงความเจ็บปวดขนาดนี้ เมื่อเห็นว่ามีคนอื่นอยู่ในห้อง เขาก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคือคนที่ทำร้ายรองหัวหน้า
“แก!ทำอะไรรองหัวหน้า”ชายร่างกำยำร้องขู่พร้อมส่งสัญญาณให้ลูกน้องของเขาล้อมทางออก ไม่ให้ชายหนุ่มหนี แต่เพราะอาคารมันเล็กมากทำให้ มีเพียงไม่กี่คนที่ได้เข้ามาข้างใน
จิวโมไป๋รู้ดีว่าในสถานที่คับแคบแบบนี้ เขาไม่สามารถใช้ท่าเท้าได้สะดวก มันทำให้เขาเสียเปรียบ ดังนั้นเขาจึงบุกเข้าไปก่อน โดยที่ไม่ให้ใครได้ตั้งตัว
“ฮ่าๆ คิดว่าคนเดียวจะเอาชนะพวกเราได้เหรอ”ชายร่างกำยำหัวเราะลั้นก่อนที่จะยกเท้าเตะใส่ ร่างของจิวโมไป๋ที่พุ่งเข้ามา
จิวโมไป๋ยิ้มโหดเหี้ยม ก่อนขยับท่าร่างอย่างรวดเร็ว เพียงเสี่ยววินาทีร่างของเขาพลันหายไปจากสายตาดั้งหมอกควัน
ปังง! จิวโมไป๋คว้าร่างของลูกร้องคนหนึ่ง ดึงมาขวางลูกเตะ แรงเตะของขั้นกล้ามเนื้อต้น ทำให้ใบหน้าของลูกน้องคนนั้นบิดเบี้ยว เต็มไปด้วยความเจ็บปวด
ไม่เสียเวลาอีก จิวโมไป๋คว้าคออีกคนกระแทกเข้ากับพนังห้อง จนอาคารทั้งหลังสั่นสะท้านราวกับจะพังลงมาก ร่างๆนั้นหมดสติทันที แต่จิวโมไป๋ไม่ปล่อยมือ เขาใช้พลังความแข็งแกร่งของร่างกาย ยกร่างหนักหลายกิโลกรัม ขว้างไปกระแทกกลุ่มคนที่ยืนออกันอยู่หน้าประตู จนพวกเขากระเด็นออกจากบ้าน
“หืม”ชายร่างกำยำกำลังตกใจที่เตะลูกน้องคนสนิทอยู่ ไม่ทันไรลูกน้องของเขาคนอื่นก็ถูกจัดการซะล้มไม่เป็นท่า
จิวโมไป๋เหวี่ยงร่างของลูกน้องคนสุดท้ายออกจากบ้าน ก่อนที่จะเดินเข้าหาร่างของชายร่างกำยำ พร้อมส่งรอยยิ้มปีศาจไปให้
…
ตึกสูงขนาดกลางไม่ไกลจากบ้านทรุดโทรมมากนัก
ชายหนุ่มในเสื้อคลุมขาวสะอาด กำลังนั่งบนหน้าต่างพร้อมเอนหลังพิงกับขอบหน้าต่างด้านข้าง ด้วยท่าทางเกียจคร้าน แต่แววตาของเขากับคมกริบดุจกระบี่ เขากำลังจับจ้องไปที่บ้านทรุดโทรมโดยไม่ละสายตา
“น่าสนใจจริงๆ”ชายหนุ่มกล่าวชมเชยไม่หยุด ขณะมองร่างหนึ่งถูกโยนออกมาจากบ้านหลังนั้น
“อืม มันก็น่าประหลาดใจอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่เกี่ยวกับงานที่พวกเราต้องทำ”หญิงสาวในเสื้อโค๊ทสีน้ำตาลตัวยาวพูดขึ้นจากด้านหลัง น้ำเสียงของเธอเรียบเฉยจนคล้ายไม่แยแส
“เชื่อฉันเถอะ สัญชาตญาณของฉันไม่เคยพลาด ถ้าเราติดตามเด็กคนนั้นต่อไปต้องมีเรื่องสนุกเกิดขึ้นแน่”ชายหนุ่มยกรอยยิ้มขึ้นอย่างมีเสน่ห์ ถ้าไม่ติดที่น้ำเสียงของเขา ดูเหมือนจะกำลังหาเรื่องสนุกทำ หญิงสาวคงจะยอมเชื่อไปแล้ว
“นายคงไม่ได้กำลังเบื่อภารกิจ เลยหาเรื่องอู้หรอกใช่ไหม?”หญิงสาวถามด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้นเล็กน้อย
“เชื่อฉันเถอะน่า เดี๋ยวก็ดีเอง”ชายหนุ่มไม่สนใจท่าทางของหญิงสาวเลยแม้แต่น้อย เสียงกรีดร้องสยองขวัญดังขึ้นอีกครั้งในบ้านทรุดโทรม
ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะยิ้มสนุกสนานออกมา
หญิงสาวรู้ตัวว่าถูกละเลยอีกครั้งเธอก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา ก่อนที่จะมองไปด้านหลัง มีร่างเกือบ 20 ร่างกำลังนอนเรียงรายอย่างน่าอนาถ
“คุณผู้หญิงปล่อยผมไปเถอะ”ชายคนหนึ่งร้องอ้อนวอนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“ต่อไปผมจะสั่งสอนน้องชายให้ดี ไม่ให้เขาก่อเรื่องอีกแล้ว ได้โปรดปล่อยผมไปเถอะ”
หญิงสาวไม่ตอบ เธอโบกแส้ที่มองไม่เห็น ฟาดร่างของชายคนนั้นกระเด็นไปติดกำแพง ทิ้งรอยเลือดสีแดงสดสาดกระจายไปทั่ว ราวดอกซากุระสีเลือด