ย้อนเวลากลับมาเป็นเทพยุทธ์ - ตอนที่ 60
หลังจากจัดการชายร่างกำยำลงไปกรีดร้องบนพื้น จิวโมไป๋ก็เดินกลับมาหาเด็กสาว
“พวกเรารีบออกจากที่นี่กันเถอะ ถ้ามีคนมาอีกพวกเราจะไปจากที่นี่ลำบาก”
“ค่ะ”เด็กสาวพยักหน้ารับง่ายๆ แต่ก็ยืนนิ่งมองเขาด้วยตากลมโต ไม่เดินไปเก็บของในบ้าน
จิวโมไป๋เหมือนพึ่งจะรู้ตัว เขากวาดตามองห้องเล็กๆ ไม่มีเสื้อผ้าหรือสิ่งของจำเป็นอยู่ในบ้านเลยแม้แต่ชิ้นเดียว เขาสังเกตชุดเสื้อผ้าของเด็กสาวและหญิงสาวที่นอนอยู่ พวกมันเป็นชุดคุณภาพดี แต่มีร่องรอยสกปรกเล็กน้อย โดยเฉพาะชุดของหญิงสาวที่มีรอยฉีกขาดที่เกิดจากการต่อสู้
ในตอนที่เขาใช้จิตสัมผัสตรวจสอบร่างกายของหญิงสาว เขาตรวจสอบแต่ภายใน ไม่ได้ตรวจสอบภายนอกอย่างละเอียด เพราะมันเป็นการเสียมารยาท
เมื่อตรวจสอบดูแล้ว เขาก็เข้าใจได้ทันที จิวโมไป๋ไม่พูดอะไรอีก เขาแบกร่างของหญิงสาวขึ้นหลังและห่มด้วยผ้าย่มผืนบางทับอีกชั้นหนึ่ง ก่อนที่จะเดินออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็ว เด็กสาวเดินตามหลังไม่ห่าง ออกจากชุมชนแออัดก็พบถนนใหญ่อยู่ไม่ไกล จิวโมไป๋โบกรถโดยสารที่ผ่านมาพอดี ปลายทางไปที่ร้านอาหารครอบครัวจิว
ใช่เวลาไม่นานพวกเขาก็ไปถึงจุดหมาย จิวโมไป๋เดินไปด้านหลังร้าน ที่มีห้องพักสำหรับพนักงานช่วงกลางคืน มีห้องอยู่ 4 ห้อง ปกติแล้วจะไม่ค่อยมีคนเข้าพัก แต่เมื่อวานหนิงหานเป่ย ได้เข้ามาอยู่หนึ่งคนทำให้เหลือ 3 ห้อง
ขณะที่กำลังเข้าร้าน จิวโมไป๋บังเอิญพบกับพนักงานของร้านคนหนึ่ง ที่กำลังเดินเข้าร้านพอดี
“ช่วยผมแจ้งเจ้าของร้านให้ทีนะครับ ว่าผมพาคนมาอยู่ที่ห้องพัก และผมขออาหารอ่อนสำหรับเด็กและคนป่วย 2 ที่”
พนักงานคนนั้นพยักหน้าแล้ววิ่งออกไปทันที
จิวโมไป๋เปิดห้องด้านขวาสุด ภายในห้องว่างเปล่าไม่มีสิ่งของอื่นๆ นอกจากเตียงนอนที่ถูกปูไว้อย่างเรียบร้อย โต๊ะอาหารชุดเล็กๆ ตู้เสื้อผ้าและตู้เก็บของ และมีห้องน้ำเล็กๆด้านในสุด โชคดีที่ห้องถูกทำความสะอาดเรียบร้อนแล้ว ทำให้ไม่ต้องทำความสะอาดก็สามารถเข้ามาอยู่ได้เลย
จิวโมไป๋วางหญิงสาวลงบนเตียงอย่างเบามือ ก่อนที่จะหันมาทางเด็กสาวที่เดินตามไม่ยอมห่าง เขายิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“เดี๋ยวพี่จะรักษาแม่ของเธอ อีกไม่นานก็ฟื้นแล้ว ไปนั่งพักที่ตรงนั้นก่อนนะ”
“ค่ะ พี่ชาย”เด็กสาวพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง เธอเดินไปนั่งบนเก้าอี้ตรงโต๊ะอาหาร ดวงตากลมโตจับจ้องมาทางเขาไม่ยอมละสายตา
จิวโมไปหันกลับมาใช่จิตสัมผัสอีกครั้ง พร้อมส่งพลังจิตวิญญาณเข้าไปภายในร่างของหญิงสาว
เมื่อครั้งก่อนจิตวิญญาณของหญิงสาวได้หลอมรวมกันกว่า7ใน10ส่วนแล้ว ทำให้ใช่เวลาเพียงไม่นาน จิตวิญญาณก็หลอมรวมกันจนหมด
จิวโมไป๋ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขายังอยู่แค่ปรมาจารย์ทองแดง ทำให้เมื่อใช่พลังจิตวิญญาณไปมากขนาดนี้ไม่แปลกที่เขาจะอ่อนแรง
เมื่อถอนพลังวิญญาณออกมา จิวโมไป๋ก็เช็ดเหงื่อตรงหน้าผาก ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนมองไปทางร่างของหญิงสาว
นิ้วมือที่ผอมแห้งขยับอย่างแผ่วเบา จนแทบจะไม่สามารถสังเกตเห็นได้ ขนตาของหญิงสาวสั่นไหวเล็กน้อย เด็กสาวลุกจากเก้าอี้มายืนข้างเตียงอย่างตื่นเต้น สองมือเล็กๆกุมกันแน่น เธอมองใบหน้าที่มีสีสันของแม่ตัวเองด้วยคาดหวัง
ไม่ให้ต้องรอนานนัก เปลือกตาของหญิงสาวขยับไปมา ก่อนที่จะลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ เธอเหม่อมองฝ้าเพดานอย่างเลื่อนลอย
“คุณแม่คะ!”เด็กสาวร้องออกมาอย่างตื่นเต้น ก่อนที่จะพุ่งเข้าไปกอดร่างของหญิงสาว ดวงตาสองข้างของเด็กสาวเด็กก่ำ
หญิงสาวชะงักไปครู่หนึ่ง แววตาที่ว่างเปล่าปรากฏความซับซ้อนขึ้นวูบหนึ่ง
“ผีเสื้อน้อย ลูก…โอ๊ย!”หญิงสาวเผลอร้องออกมา ก่อนจับศีรษะด้วยความเจ็บปวด
“พี่ชาย! คุณแม่เป็นอะไรคะ”เด็กสาวตกใจหันมาถามจิวโมไป๋อย่างร้อนใจ
“ไม่เป็นไร แม่ของเธอพึ่งได้สติหลังจากสลบไปนาน ทำให้ความทรงจำสับสน ช่วงนี้อาจจะจำอะไรไม่ค่อยได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปจะค่อยๆกลับมาจำได้เอง… พักฟื้นไม่กี่วันก็กลับมาเป็นปกติแล้ว”จิวโมไป๋อธิบายง่ายๆ เขารู้ดีว่าการหลอมรวมวิญญาณเป็นการรักษาขั้นพื้นฐานเท่านั้น ต้องใช้ระยะเวลาหนึ่งเพื่อให้ความทรงจำกลับมา
ในตอนนี้หญิงสาวมีความทรงจำเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น
หญิงสาวที่ได้ฟังก็เงยหน้าขึ้นมาด้วยความสับสน เธอไม่คุ้นหน้าเด็กหนุ่มเลยแม้แต่น้อย เมื่อเธอมองไปรอบๆห้องที่เธอไม่คุ้นเคย
แต่ก่อนที่จะมีใครได้พูดอะไรต่อ ก็มีเสียงเคาะประตูจากด้านนอกพร้อมกับเสียงอ่อนโยนดังเข้ามา
“แม่ขอเข้าไปได้ไหม”
“ครับแม่”จิวโมไป๋แปลกใจเล็กน้อยที่แม่ของเขามาที่นี่
ฮันหวูเหยาเดินเข้ามาพร้อมถาดอาหารในมือ ด้านหลังเป็นหนิงหานเป่ยที่ถือถาดใส่อาหารอีกหลายชนิดเดินตามมา
ทันทีที่เธอเดินเข้ามาในห้อง เธอก็เห็นสภาพที่น่าสงสารของสองแม่ลูก เธอก็แสดงสีหน้าสงสัยขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
จิวโมไป๋รีบเข้าไปถือถาดอาหารจากแม่ของเขา ไปวางบนโต๊ะ
“แม่ครับ เด็กสาวคนนี้ชื่อเตี๋ยเสวี่ยเจียว และคุณผู้หญิงคนนี้…”จิวโมไป๋ชะงักครูหนึ่ง
“แม่หนูชื่อ หยินลั่วปิง ค่ะ”เด็กสาวพูดตอบแทนแม่ของเธอ
“แม่ครับคุณลั่ว เธอสูญเสียความทรงจำชั่วคราว…”จิวโมไป๋อธิบายสถานะการณ์ทั้งหมดของสองแม่ลูก โดยข้ามเรื่องที่เขาจัดการแก๊งไม้สักไป
“กินอาหารกันก่อนเถอะ ถ้าขาดเหลืออะไร พวกคุณสามารถบอกพนักงานของร้านได้เลย”ฮันหวูเหยายิ้มให้อย่างอบอุ่นเป็นกันเอง ก่อนที่จะหันไปบอกให้หนิงหานเป่ยเรียกพนักงานหญิงมาที่นี่ เพื่อให้ไปซื้อเสื้อผ้าและสิ่งของที่จำเป็น
พูดคุยกันอีกสักพัก หยินลั่วปิงก็ดูจะฟื้นตัวได้เล็กน้อย แม้จะยังคงรู้สึกปวดหัวอยู่บ้างเมื่อใช้ความคิด
จิวโมไป๋ก็ขอตัวออกไปข้างนอก ก่อนจะไปเขาก็พูดคุยหยอกล้อกับเด็กสาวเล็กน้อย เมื่อเด็กน้อยแสดงอาการเสียใจเมื่อเขากำลังจะไป
ออกมานอกห้องเขาก็พบกับหนิงหานเป่ยที่กลับมาพอดี
“พี่หนิง วันนี้ต้องปรับปรุงร้านคงยุ่งมาก พี่ก็ยังไม่หายจากการบาดเจ็บเลย ทำไมไม่พักอีกสักสองสามวันล่ะ”จิวโมไป๋พูดทักทายอย่างสนิทสนม
“ไม่เป็นไรครับ คุณผู้หญิงให้ผมทำแค่งานเบาๆ ไม่ได้ออกแรงมากนัก”หนิงหานเป่ยพูดด้วยรอยยิ้ม
พวกเขาพูดคุยกันเล็กน้อยก่อนที่จะแยกกัน
เหตุผลที่เขายังไม่รีบร้อน ผลักดันให้หนิงหานเป่ย สร้างโลกเสมือนที่แท้จริง ก็เพราะว่าพวกเขายังไม่ได้สนิทกันมากนัก หนิงหานเป่ยคิดแค่ว่าพวกเขาเป็นผู้มีพระคุณ ไม่ได้มีความผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง
ทำให้ในอนาคตอาจเกิดความแตกแยกขึ้นได้ แม้เขาจะรู้ถึงความซื่อสัตว์ของอีกฝ่ายก็ตาม แต่เขาก็ไม่ประมาทป้องกันเอาไว้ก่อนดีกว่าแก้ในภายหลัง
เขาปล่อยให้หนิงหานเป่ย อยู่ที่ร้านสร้างความสัมพันธิ์กับครอบครัวเขาให้มากกว่านี้ จากนั้นเขาจะค่อยๆ พูดเรื่องการสร้างบริษัทโลกเสมือนของตัวเองขึ้นมา
ออกจากร้านอาหารครอบครัวจิว เขาก็ตรงไปที่โกดังเก็บของทันที เมื่อมาถึงโกดังของร้าน เขาก็เห็นบริษัทส่งของกำลังขนย้ายสิ่งของเข้ามา
เขาขอใช้โกดังที่อยู่ลึกสุด ทำให้ต้องเสียเวลาขนย้ายมากขึ้นเล็กน้อย ไม่นานทุกอย่างก็เสร็จ
จิวโมไป๋ปิดประตูโกดังจนแน่น ไม่ให้ใครรบกวน ก่อนที่จะมอง เตาเมฆาม่วงบูรพา เป็นอย่างแรก ก่อนที่เขาจะใช้จิตสัมผัสค่อยๆห่อหุ้มเตา ลวดลายที่เจือจางพลันเปล่งประกายสีม่วงอ่อนขึ้นเล็กน้อย
จิวโมไป๋ดึงพลังจิตวิญญาณกลับ ก่อนที่เขาจะถอนหายใจเล็กน้อย ระดับการบ่มเพาะจิตวิญญาณของเขายังคงอ่อนแอเกินไป ทำให้ยังไม่สามารถใช้เตาเมฆาม่วงบูรพาได้
แต่เขาก็ไม่เสียใจเท่าไหร่นัก เพราะอีกไม่นานเขาก็ใช่ได้แล้ว ปลอบใจตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง จิวโมไป๋ก็เดินไปหยิบ แร่สะเก็ดดาราห่วงมิติสีน้ำตาล ขนาดลูกเทนนิสออกมา ก่อนที่จะเดินไปหยิบ กล่องเครื่องมือแกะสลักที่เขาซื้อมาในตอนที่กำลังเดินหาเตากลั่นโอสถ
ภายในมีอุปกรณ์แกะสลักจำนวนมาก จิวโมไป๋ใช้ค้อนและที่ตัดปลายแหลม ทำการแบ่งแร่สะเก็ดดาราห่วงมิติ เป็น 5 ส่วนเท่าๆ
จากนั้นเขาก็นั่งสมาธิท่องเคล็ดบ่มเพาะจิตวิญญาณ หัวใจพิสุทธิ์ อย่างช้าๆ เพื่อฟื้นฟูพลังจิตวิญญาณที่เสียไป ไม่นานเขาก็ลืมตาขึ้นมาก่อนที่จะเลือกมีดลับหินออกมา และหยิบแร่สะเก็ดดาราห่วงมิติ ชิ้นหนึ่งขึ้นมาทำการขัดอย่างปราณีตบรรจง
พลังจิตวิญญาณที่ห่อหุ้มบนมีดขัด ทำให้เขาสามารถขัดแร่สะเก็ดดาราห่วงมิติกลายเป็นรูปร่างที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว แต่พลังสามาธิที่ต้องใช้ ทำให้เหงื่อของติวโมไป๋ไหลออกมาอย่างกับสายน้ำ
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ เขาก็ขัดแร่สะเก็ดดาราห่วงมิติ กลายเป็นรูปทรงคล้ายเหรียญ เขาก็หยิบอุปกรณ์คล้ายมีดเจาะแต่มีส่วนปลายแหลมเป็นวงกลม ขึ้นมาค่อยๆเจาะแบ่งส่วนกลางออกจนกลายเป็นรูปร่างของแหวน
จิวโมไป๋หยิบที่ขัดขนาดเล็กออกมา ขัดด้านในของแหวนให้เรียบเนียนอย่างเบามือ
วิธีสร้างแหวนที่เขาทำ ถือว่าเป็นวิธีที่เรียบง่ายที่สุด และเป็นวิธีที่เสียเปล่าที่สุดด้วยเช่นกัน ถ้าเขานำ แร่สะเก็ดดาราห่วงมิติ ไปหลอมกลั่นด้วยวิธีของช่างตีเหล็ก เขาจะได้แร่สะเก็ดดาราห่วงมิติคุณภาพสูงคุณสมบัติแฝงของมันจะยิ่งมีประสิทธิ์ภาพมากขึ้น และเมื่อนำไปขึ้นรูปด้วยแบบแปลนแหวน มันจะทำให้แหวนที่ได้มีคุณภาพสูงอย่างมาก
แต่เขาไม่สามารถทำได้เพราะขาดอุปกรณ์ ถ้าไปที่ร้านตีเหล็กก็จะเป็นการเปิดเผยความสามารถ
เขาจึงต้องเลือกที่จะใช่วิธีสร้างแหวนที่ง่ายที่สุด
เมื่อขัดแหวนจนเรียบเนียนสวยงาม ไม่มีร่องรอยบิดเบี้ยวใดๆ จิวโมไป๋ก็ยิ้มอย่างพอใจ เขานั่งฟื้นฟูพลังจิตวิญญาณอีกพักใหญ่ เมื่อพลังจิตวิญญาณฟื้นฟูจนเต็ม
จิวโมไป๋ก็หยิบมีแกะสลักขนาดเล็กออกมา ในครั้งนี้จิวโมไป๋เร่งพลังสมาธิจนถึงขีดสุด จนปลายมีดแกะสลักปรากฏพลังจิตวิญญาณสีทองแดงเข้ม เขาค่อยๆแกะสลักลงบนแหวนอย่างช้าๆและเบามือที่สุด ไม่มีส่วนที่เสียเปล่าเลยแม้แต่น้อย
ใบหน้าของเขาซีดเผือกอย่างรวดเร็ว จิวโมไป๋ได้แต่อดทน ฝืนแกะสลัก สลับกับฟื้นฟูจิตวิญญาณอย่างเหน็ดเหนื่อย
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ด้านนอกก็ถึงช่วงเย็น จิวโมไป๋ก็สามารถแกะสลักแหวนจนเสร็จ เขาไม่ดูผลงานของตัวเอง แต่กับนั่งฟื้นฟูจิตวิญญาณอย่างเร่งด่วน
ครู่ใหญ่ต่อมา จิวโมไป๋ลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ พลังจิตวิญญาณพลันส่องประกายผ่านดวงตา จิตสัมผัสขนาดขึ้น 25 เมตร! เขาหัวเราะเบาๆ ด้วยความพอใจ ยิ่งจิตสัมผัสขยายกว้างเท่าไหร่ มันก็บ่งบอกถึงระดับการบ่มเพาะจิตวิญญาณที่พัฒนามากขึ้นเท่านั้น
จิวโมไป๋หยิบแหวนสีน้ำตาลอ่อน ขึ้นมาตรวจสอบดู ทันทีที่ส่งพลังเข้าไปในแหวน เขาเห็นพื้นที่มิติขนาด 30 ตารางเมตร กว้างพอๆกับห้องๆหนึ่ง จิวโมไป๋ก็พยักหน้าพอใจ ก่อนที่จะกัดนิ้วจนเลือดไหลออกมา เขาใช้พลังปราณและจิตวิญญาณห่อหุ้มหยดเลือดก่อนที่จะประทับลงไปบนแหวน
ลวดลายอาคมที่ซับซ้อนบนแหวนเปล่งแสงสีเขียวอ่อนวูบหนึ่งก่อนที่จะสงบลง
หลังจากนี้นอกจากเขาจะเสียชีวิตแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถเปิดแหวนมิติเก็บของวงนี้ได้อีก อนาคตเขาไม่ต้องคิดหาวิธีทำลายหลักฐานให้ยุ่งยาก แค่เก็บไว้ในแหวนมิติเก็บของก็ไม่มีใครตรวจสอบได้แล้ว
จิวโมไป๋จัดการเก็บกวาด กองแร่ต่างๆ และเตาหลอมเมฆาม่วงบูรพาเข้าไปในแหวนมิติ ก่อนที่จะเดินออกจากโกดังกลับไปที่ร้านอาหารครอบครัวจิว เขาไปห้องของสองแม่ลูกก่อนเป็นอันดับแรก แต่น่าแปลกที่ไม่มีใครอยู่ในห้อง เขาถามพนักงานที่ผ่านมา เขาก็รู้ว่าทั้งสองถูกแม่ของเขาพาไปรับประทานอาหารบนชั้นที่สาม