ย้อนเวลากลับมาเป็นเทพยุทธ์ - ตอนที่ 62
วันต่อมา
จิวโมไป๋บ่มเพาะพลังและจิตวิญญาณทั้งคืนโดยไม่พัก ทะเลปราณตำหนักยุทธเตาหลอม 9 สุริยันขยายกว้างขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาเริ่มสัมผัสชายขอบของขั้นผิวหนังสูง
ทะเลปราณตำหนักยุทธที่ 2 กระบี่เลือนเร้น ในตอนนี้มีขนาดทะเลสาบปราณ อยู่ในขั้นผิวหนังต้น
เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มพอใจ เพียงแค่วันเดียวเท่านั้น ระดับการบ่มเพาะของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่เหมือนที่เขากลัวว่า การบ่มเพาะจะช้าลงเพราะมีตำหนักยุทธ 2 หลัง ทำให้เขาคลายความอึดอัดลงเล็กน้อย
เขาบ่มเพราะต่อไปอย่างช้าๆไม่เร่งรีบ ไม่ทันไรก็ถึงช่วงเที่ยงวัน
ปัง เสียงเปิดประตูดังขึ้น ร่างของชายหนุ่มสามคนเดินเข้ามา ใบหน้าของพวกเขาดูเปล่งปลั่งสุขภาพดี ราวกับพึ่งกลับจากการท่องเที่ยวพักผ่อน
“กลับมากันแล้วเหรอ?”จิวโมไป๋ร้องทักทั้งสามเสียงดัง ก่อนที่จะลุกขึ้นเดินไปหาทั้งสามคน
“ฮ่าๆ โทษทีนะน้องเล็กที่ไม่ได้ติดต่อนาย ที่ๆพวกเราไป เขาปิดสัญญาณสื่อสารทุกอย่าง ทำให้พวกเราไม่สามารถติดต่อใครได้เลย”พี่ใหญ่หวังเสี่ยวเปาพูดขึ้น ขณะถือถุงกระดาษใบใหญ่เดินเข้ามาในห้อง
“ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเราหรอกน้องเล็ก อยู่ที่นั้นสบายมาก พวกเขาดูแลพวกเราอย่างดี จนพวกเราแทบจะไม่อยากกลับมาเลย”อูเหวินหัวเราะเบาๆ ขณะวางถุงกระดาษของตัวเองบนโต๊ะกลางห้อง
เฉินหูเดินตรงดิ่งมาที่เตียงนอนของจิวโมไป๋ ก่อนที่จะวางถุงกระดาษลงบนเตียง เขาหยิบกล่องขนาดกลางใบหนึ่งออกมาและเปิดมันบนเตียงของจิวโมไป๋ ด้านในกล่องมีขวดแก้วใส่ของเหลวหลากสี วางซ้อนกันอยู่
“น้องสี่ ฉันได้ยินว่านายฟื้นฟูตำหนักยุทธได้แล้ว ยินดีด้วย เอานี่ไปฝึกซะ จะได้ตามการบ่มเพาะของพวกเราได้ทัน”เฉินหูพูดก่อนที่จะหันมาส่งกล่องไปให้จิวโมไป๋
“มันคืออะไรเหรอ พี่สาม?”จิวโมไป๋แกล้งทำเป็นงุนงง เขาชำเลืองมองลงไปในกล่อง ขวดแก้วมีรูปสัญลักษณ์เตากลั่นโอสถโบราณที่ลุกไหม้ด้วยไฟเก้ารูปแบบติดอยู่ตรงมุมล่างของขวด
เขาก็เข้าใจได้ทันทีว่าโอสถพวกนี้ เป็นโอสถ 12 ชนิดที่เขาขายสูตรไปไม่กี่วันก่อน สมาคมปรุงยาเป็นหน่วยงานของรัฐบาล พวกเขาซื้อยอดผลิตและจำหน่ายโอสถของเขาไป คงเพื่อที่จะสนับสนุนรัฐบาล
ที่พวกเขามอบโอสถให้ผู้ที่ถูกสอบสวน เพื่อเป็นค่าชดเชยที่ทำให้เสียเวลา…
“โอสถพวกนี้ เป็นค่าชดเชยที่พวกเราต้องถูกกักบริเวณและถูกสอบสวนอยู่หลายวัน เป็นโอสถใหม่ที่กำลังจะเข้าตลาดในอีกไม่กี่วันข้างหน้า น้องเล็กนายเอาไปใช้ก่อนเลย นายพึ่งฟื้นฟูตำหนักยุทธได้ไม่นาน ตอนนี้นายยังอ่อนแออยู่มาก”หวังเสี่ยวเปาวางกล่องของตัวเองบนเตียงของจิวโมไป๋เช่นกัน
“พี่ใหญ่พี่รอง เยอะขนาดนี้ฉันใช้ไม่หมดหรอก”จิวโมไป๋โบกมือปฏิเสธ ในใจรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เขาเข้าใจความสำคัญของโอสถพวกนี้ดี ในช่วงเวลานี้ ที่โอสถทั้ง 12 ชนิดยังไม่เข้าสู่ตลาด พวกเขาถือว่าเป็นกลุ่มแรกที่จะได้ใช้พวกมันก่อน มันหมายถึง พวกเขามีโอกาสที่จะสร้างแข็งแกร่งได้เร็วกว่าคนอื่น
การที่พี่ใหญ่ พี่รอง มอบมันให้เขาถือว่าเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่มาก
“ไม่เป็นไรนายเอาไปใช้ก่อนได้เลย พวกเราใช้โอสถของน้องสามก่อนได้ โอสถที่พวกเขาให้เรามามีโอสถ 12 ชนิด ชนิดล่ะ 30 ขวด ถึงพวกเราจะใช้กับน้องสาม ก็ยังใช้ได้อีกหลายวัน ในเวลานั้นโอสถพวกนี้ก็คงเข้าสู่ตลาดแล้ว พวกเราสามารถหามาได้ง่ายๆ น้องเล็กเอาไปใช้ได้เลยไม่ต้องคิดมาก”หวังเสี่ยวเปาพูดด้วยท่าทางปกติอย่างไม่ใส่ใจ
“นายรีบบ่มเพาะเร็วๆเถอะไม่ต้องห่วงพวกเรา ในตอนนี้นายมีระดับการบ่มเพาะน้อยที่สุด สมควรแล้วที่พวกเราจะต้องช่วยเหลือนาย”อูเหวินพูดขึ้นขณะที่กำลังเปิดกล่องของตัวเองช้าๆ เขาเองก็ทำเหมือนไม่ใส่ใจเช่นกัน
แต่จิวโมไป๋รู้ถึงฐานะของอูเหวินดี เขาเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีใครสนับสนุน เขาจึงต้องทำงานพาร์ทไทม์ ในช่วงกลางวัน เพื่อให้มีเงินมาหารค่าเช่าห้องบ่มเพาะพลังกับพี่ใหญ่และพี่รอง
การที่เขายอมแบ่งโอสถของตัวเองให้คนอื่น ถือว่าเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่อย่างมาก
จิวโมไป๋ได้แต่เงียบไม่พูดอะไร เขาซาบซึ้งที่ทั้งสามคนเป็นห่วงเขา
“พวกพี่ อยากจะแข็งแกร่งขึ้นไหม”จิวโมไป๋อยู่ๆก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังเต็มไปด้วยพลัง
ทั้งสามคนหยุดการกระทำของตัวเอง ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองสบตาจิวโมไป๋
“ถามอะไรแปลกๆน้องเล็ก ในยุคนี้มีใครบ้างที่ไม่อยากแข็งแกร่ง”เฉินหูพูดขึ้นเป็นคนแรก เขาเป็นคนโผงผาง ตรงไปตรงมา ทำให้เขาพูดออกมาโดยไม่ต้องคิด
พี่ใหญ่และพี่รองพยักหน้าเงียบๆเห็นด้วยกับเฉินหู
จิวโมไป๋หยิบโอสถกลั่นตำหนักยุทธออกมา 3 ขวด และวางลงบนโต๊ะกลางห้อง
“พวกพี่เชื่อใจฉันไหม”จิวโมไปถามขึ้นอีกครั้ง ในครั้งนี้น้ำเสียงของเขาจริงจังขึ้นไปอีกหนึ่งส่วน
ทั้งสามงุนงงเล็กน้อยก่อนที่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ฮ่าๆ อย่าถามอะไรไร้สาระ พูดมาเถอะ ไม่ว่านายจะพูดอะไร พวกเราพี่น้องก็เชื่อนายอยู่แล้ว”หวังเสี่ยวเปาพูดขึ้น
จิวโมไป๋พยักหน้า
“ผมจะบอกพวกพี่ว่า… ผมได้พบอาจารย์คนหนึ่ง เขาเป็นผู้บ่มเพาะพลังระดับสูง”จิวโมไป๋พูดอย่างช้าๆ สามพี่น้องที่ตอนแรก ไม่ค่อยสนใจนักก็เกร็งตัวขึ้นมาฟังอย่างตั้งใจ
ในยุคสมัยแห่งการบ่มเพาะ การพบกับอาจารย์ที่มีการบ่มเพาะที่แข็งแกร่งนั้น มันยากมาก ยากยิ่งกว่าถูกหวย เพราะพวกเขาจะอยู่ในสถานที่ ที่เต็มไปด้วยพลังธรรมชาติ ซึ่งสถานที่เหล่านั้น ส่วนใหญ่มักจะอยู่ในหุบเขาหรือป่าลึก ยากที่ผู้บ่มเพาะธรรมดาจะเข้าไปได้
การพบพวกเขาจึงเป็นเรื่องยากมาก วิธีที่มีโอกาสมากกว่าหาอาจารย์ที่ปลีกตัวสันโดษอยู่ในหุบเขา คือเข้าสำนักดั้งเดิม…
ผู้บ่มเพาะต่างก็เคยได้ยิน เกี่ยวกับสำนักดั้งเดิมกันมาบ้างไม่มากก็น้อย แต่การเข้าสำนักดั้งเดิม สำหรับพวกเขาที่ไม่มีพื้นหลังที่แข็งแกร่ง มันเป็นเพียงแค่ความเพ้อฝันเท่านั้น
เมื่อได้ฟังคำพูดของจิวโมไป๋ พวกเขาก็คิดไปว่า ที่จิวโมไป๋สามารถรักษาตำหนักยุทธได้ ก็เพราะอาจารย์ที่เขากำลังพูดอยู่เป็นคนรักษาให้
“ท่านอาจารย์ได้รับฉันเป็นศิษย์และได้สอนเคล็ดบ่มเพาะที่แข็งแกร่งให้”เมื่อจิวโมไป๋พูดถึงประโยคนี้ สามพี่น้องก็โหร้องขึ้น
“ยินดีด้วยน้องเล็ก!”
“ฮ่าๆ ต่อไปก็ไม่มีใครกล้ามาพูดจาร้ายๆกับนายอีกแล้ว”
“นายต้องตั้งใจ พยายามบ่มเพาะให้มาก อนาคตพวกเราคงต้องพึ่งนายแล้ว”
สามพี่น้องแสดงความยินดีโดยไม่มีท่าทางอิจฉาอยู่เลยแม้แต่น้อย
จิวโมไป๋ยิ้มอย่างอ่อนโยน มิตรภาพเช่นนี้เป็นมิตรภาพที่หาไม่ได้อีกแล้ว ในยุคสมัยที่ความแข็งแกร่งคือพลัง มันเป็นมิตรภาพที่บริสุทธิ์ของหนุ่มสาว
รอจนคนอื่นๆสงบลง เขาก็พูดอีกครั้ง
“ผมได้ขออาจารย์ ให้ท่านถ่ายทอดเคล็ดบ่มเพาะพลัง ให้พวกพี่ด้วย…”
“อะไรนะ!!!”