ย้อนเวลากลับมาเป็นเทพยุทธ์ - ตอนที่ 74
โครงกระดูกจำนวนมหาศาลภายใต้หุบเหวเหมือนฝูงมดหนีน้ำท่วมออกจากรัง พวกมันแตกฮือพยายามปีนป่ายข้ามโครงกระดูกที่อยู่ใกล้ขอบหน้าผาที่สุดและตะเกียกตะกายไต่ขึ้นไป ราวกับเกรงกลัวโครงกระดูกม่วงตัวนั้น เพียงไม่นานก็มีโครงกระดูกจำนวนมากที่สามารถปีนข้ามหุบเหวได้สำเร็จจำนวนนับไม่ถ้วน
ทันทีที่พวกมันปีนขึ้นมาได้ ก็พุ่งหลบหนีไปที่ทางเข้าอย่างรวดเร็ว น่าแปลกที่ไม่มีโครงกระดูกตัวไหนพยายามปีนข้ามมาทางฝั่งที่เพลิงนิรันดร์อยู่เลยแม้แต่ตัวเดียว
จิวโมไป๋ยันตัวขึ้นนั่งสมาธิบนจุดพักเพื่อพักเหนื่อย ไม่นานเขาก็ก้มมองเหตุการณ์เบื้องล่างที่ไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงเลย เขาก็ตัดสินใจละความสนใจแล้วรีบรีบไต่เพดานหน้าผาไปต่ออย่างรวดเร็ว
เขาไม่รู้ว่าโครงกระดูกม่วงที่ตกลงไปด้านล่างจะเป็นยังไง เมื่อมันได้ดูดซับพลังชีวิตจากแก่นพฤกษาไปแล้ว ดังนั้นเขาต้องรีบจัดการกับเพลิงนิรันดร์ให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ที่เหนือการควบคุม
เมื่อถึงจุดที่ 20 เขาก็ทำการสร้างจุดพักอย่างรวดเร็วและนั่งพักเพียงครู่หนึ่ง ก็ไต่เพดานไปต่อ เขาจะพักเพียงแค่ครู่เดียวเมื่อถึงจุดที่เขาต้องสร้างและรีบปีนไปต่อทันทีเมื่อหายเหนื่อย ใช้เวลาไม่นานเขาก็มาถึงจุดพักที่ 24 เขาก็ข้ามหุบเหวเซ่นสังเวยมาได้สำเร็จ
จิวโมไป๋กินอาหารและนั่งพักไปเกือบ 8 ชั่วโมงเพื่อเตรียมตัว ก่อนที่เขาจะหย่อนเชือกโรยตัวลงไปด้านล่าง ทันทีที่เท้าแตะพื้น คลื่นความร้อนก็เผาไหม้พลังชีวิตในร่างของเขาจนสลายไปอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าตอนที่เขาอยู่บนหน้าผาอีกฝั่ง
ไม่รอช้าเขารีบท่องเคล็ดบ่มเพาะเตาหลอม 9 สุริยันอย่างรวดเร็ว ภายในทะเลสติ เตาหลอม 9 สุริยันที่เลือนรางหมุนวนอย่างอย่างช้าๆ ในครั้งนี้มันไม่ได้ถูกเผาไหม้ด้วยเปลวไฟตามปกติ เพราะไม่มีเปลวไฟลุกไหม้เหมือนทุกครั้งที่ท่องเคล็ดบ่มเพาะ แต่มันเหมือนกับว่าเตาหลอมกำลังพยายามดึงดูดเพลิงนิรันดร์ที่อยู่ด้านนอกให้เข้ามาที่ตำหนักยุทธ
คลื่นความร้อนสีเขียวเข้มที่ลุกไหม้อยู่ห่างไปไม่กี่ร้อยเมตรของเพลิงนิรันดร์ถูกดึงดูดเข้าหาร่างของจิวโมไป๋อย่างช้าๆ
ทันทีที่มีประกายเพลิงสีเขียวเข้มถูกดูดซับเข้าไปที่เตาหลอม คลื่นความเจ็บปวดที่ไม่อาจอธิบายได้ ก็กระหน่ำซัดเข้าใส่ ทำให้จิวโมไป๋แทบจะหมดสติไปในทันที เขากัดฟันข่มความเจ็บปวด ฝืนท่องเคล็ดบ่มเพาะเตาหลอม 9 สุริยัน บทดูดซับเปลวเพลิง ต่อไปไม่หยุด ทำให้ความเจ็บปวดมีแต่เพิ่มขึ้นไม่มีลดลง
โดยปกติแล้วการจะใช้บทดูดซับเปลวเพลิงได้นั้น ก็ต่อเมื่อมีระดับการบ่มเพาะอยู่ที่ระดับปราณก่อเกิดขั้นต้น และเปลวไฟที่ดูดซับต้องเป็นสมบัติมนุษย์ระดับ 1 เท่านั้น เพราะเมื่ออยู่ระดับปราณก่อกำเนิด เตาหลอม 9 สุริยันจะสามารถสร้างรูปร่างได้อย่างสมบูรณ์ ไม่เลือนร่างเหมือนตอนที่อยู่ในระดับสร้างรากฐาน ทำให้มันมีความทนทานยากที่จะถูกทำลาย ทำให้สามารถหลอมรวมเปลวเพลิงที่เป็นสมบัติมนุษย์ระดับ 1 ที่อยู่ในระดับเดียวกันได้โดยไม่มีอันตรายต่อร่างกายและตำหนักยุทธ์
เคล็ดบ่มเพาะเตาหลอม 9 สุริยัน เขาสร้างมันขึ้นมาด้วยตัวเอง เพื่อที่จะดูดซับเปลวไฟ 9 ชนิด เมื่อเขาสามารถดูดซับเปลวเพลิงทั้ง 9 เมื่ออยู่ระดับการบ่มเพาะปราณนภาขั้นปลาย เขาจะสามารถหลอมรวมเปลวเพลิงทั้ง 9 เพื่อสร้างเปลวเพลิงที่แข็งแกร่งที่สุดในมิติทั้งมวลและ ทะลวงผ่านไปเป็นเทพยุทธ์
ในอดีตก่อนที่จะตายจิวโมไป๋มีระดับการบ่มเพาะพลังปราณปฐพีปลาย เขาดูดซับเปลวเพลิงตามขั้นตอน เริ่มจากเพลิงสีชาดสมบัติระดับมนุษย์ 1 จนถึงเพลิงผลาญธุลีสมบัติปฐพีระดับ 6 เพราะเขาไม่อยากเสี่ยงดูดซับเปลวเพลิงข้ามระดับ เพราะมันเสี่ยงที่เคล็ดบ่มเพาะจะถูกทำลาย เพราะฝืนดูดซับเปลวเพลิงที่ทรงพลังเกินไป
การที่เคล็ดบ่มเพาะถูกทำลายก็เหมือนถูกทำลายการบ่มเพาะ ถ้าโชคดีตำหนักยุทธถูกทำลายโดยสมบูรณ์ ก็ยังสามารถกลับมาบ่มเพาะพลังได้ แต่ต้องเริ่มต้นใหม่ตั้งแต่แรก แต่ถ้าตำหนักยุทธถูกทำลายไม่สมบูรณ์ ก็จะกลายเป็นคนพิการไร้ค่าไปในทันที
ถึงเขาจะสามารถฟื้นฟูตำหนักยุทธได้ แต่มันก็ต้องเสียเวลาบ่มเพาะใหม่หลายปี กว่าจะกลับมาแข็งแกร่งเหมือนเดิม
เพลิงนิรันดร์ เป็นสมบัติปฐพีระดับ 6 ตามปกติแล้ว จิวโมไป๋ไม่สามารถดูดซับเปลวเพลิงของมันได้ แต่เพราะเขาเป็นผู้สร้างเคล็ดบ่มเพาะเตาหลอม 9 สุริยัน ขึ้นมาด้วยตัวเอง เขาจึงรู้วิธีที่จะสามารถดูดซับมันได้
แต่มันแลกมาด้วยการใช้ชีวิตของเขาเป็นเดิมพัน ถ้าเขาพลาดเขาจะกลายเป็นโครงกระดูกเหมือนโครงกระดูดอื่นๆที่อยู่ที่นี่
จิวโมไป๋สูดหายใจเฮือกใหญ่ เพลิงนิรันดร์ค่อยๆไหลเข้ามาในตำหนักยุทธอย่างช้าๆ สวนทางกับพลังชีวิตที่ถูกเผาไหม้ไปอย่างไม่อาจหักห้ามได้
โชคดีที่เขาพบเพลิงนิรันดร์ถ้าเป็นเปลวเพลิงชนิดอื่น เขาคงกลายเป็นกองขี้เถ้าไปแล้วตั้งแต่เริ่มดูดซับเปลวเพลิง
เพลิงนิรันดร์เป็นเปลวเพลิงที่เผาไหม้พลังชีวิตและเลือดเนื้ออย่างช้าๆ มันไม่เหมือนเปลวเพลิงชนิดอื่นที่จะเผาไหม้อย่างหมดจด ทำให้เขามีโอกาศที่จะดูดซับมันได้ก่อนที่จะเสียชีวิต ซึ่งเขามีวิธีแก้ไขมันไว้ก่อนแล้ว
ทำให้เขามาที่นี่ เพื่อตรวจสอบดูว่าข่าวลือที่เขาได้ยินมาเป็นความจริง
เมื่อพบว่าเป็นเพลิงนิรันดร์จริงๆ เขาจึงกล้าที่จะเดิมพัน ดูดซับมันมาเป็นของตัวเอง แม้จะต้องแลกด้วยชีวิต เพราะอย่างน้อยเขาก็ยังมีความหวังที่จะดูดซับมันได้แม้จะน้อยนิดก็ตาม
ภายในตำหนักยุทธเตาหลอม 9 สุริยัน เตาหลอมอันเลือนรางหมุนวนดูดซับเพลิงสีเขียวเข้มจนมีประกายเพลิงสีเขียวลุกไหม้มากขึ้นทีละน้อย แต่ทุกครั้งที่เปลวเพลิงสีเขียวลุกไหม้ขึ้น เตาหลอมก็สั่นระริกราวกับจะแตกหัก มันส่งผลให้จิวโมไป๋รู้สึกเจ็บปวดเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ แต่เขาก็ยังคงดูดซับเพลิงนิรันด์ต่อไป
ในตอนนั้นเองกองเพลิงนิรันดร์ที่อยู่ด้านหน้า เหมือนรู้ว่ามันกำลังถูกจิวโมไป๋ดึงพลังบางส่วนของมันไป จากกองไฟเล็กๆพลันลุกโชนขึ้นเป็น 10 เท่าในพริบตา ส่องสว่างไปทั่วถ้ำ มันทำให้โครงกระดูกที่อยู่ในหุบเหวเซ่นสังเวยแตกตื่น พากันปีนป่ายเร็วขึ้นอีก
พลังชีวิตของจิวโมไป๋ก็ถูกดเผาไหม้หายไปเหมือนเขื่อนแตก เลือด เนื้อ ถูกดูดออกไปจนร่างกายแห้งตอบเหี่ยวย่นเหมือนคนชราอายุร้อยปี สติใกล้เลือนราง ในใจกรีดร้องหวังว่าสิ่งที่เขาคิดจะเป็นจริง
และเหมือนโชคชะตาจะไม่ได้เล่นตลกกับเขา โลหิตมังกรพายุอสนีที่อยู่ตรงหัวใจ ที่ตอนนี้มันถูกหลอมรวมกับเลือดของจิวโมไป๋ไปเป็นจำนวนมาก ทำให้มันเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยพลันตอบสนองอย่างรุนแรง เลือดในร่างกายที่กำลังถูกเผาไหม้จนหมด หยุดชะงักลงในทันที ความเดือดพล่านพร้อมกับพลังอันรุนแรงทำให้เลือดที่หมุนเวียนเหลืออยู่ในร่างพลันกรีดร้องตอบสนอง
ราวกับว่ามันกำลังดูหมิ่นเปลวเพลิงนิรันดร์ที่บังอาจเผาไหม้โลหิตที่ทรงพลังของมัน
ในตอนนี้เลือดส่วนมากที่ถูดเผาไหม้หายไปเป็นเลือดเดิมของจิวโมไป๋ ที่ไม่ถูกหลอมรวมกับเลือดมังกรทำให้ความเข้มข้นของเลือดมังกรในร่างมีมากกว่าเลือดมนุษย์ แม้จะเป็นเพียงโลหิตมังกรพายุอสนีหยดเดียวแต่ความเข้มข้นของสายเลือดแตกต่างกันราวกับสวรรค์และโลก ทำให้โลหิตมังกรพายุอสนีกลืนกินโลหิตเดิมและหลอมรวมอย่างรวดเร็ว
ภายในสถานะการณ์ที่แปลกประหลาด เลือดในร่างของจิวโมไป๋กลายเป็นเลือดมังกร ที่มีความบริสุทธิ์ถึง 60 % โดยที่เขาไม่ต้องกลั่นโลหิตเมื่ออยู่ในขั้นที่ 6 โลหิต
มันหมายความว่าเมื่อจิวโมไป๋บ่มเพาะถึงขั้นที่ 6 โลหิต เขาสามารถกลั่นโลหิตโลหิตมังกรพายุอสนี ทำให้สายเลือดของเขาแข็งแกร่งและบริสุทธิ์ขึ้นได้อีก
“อ๊ากกกกกกกก!!!”
จิวโมไป๋เผลอตัวโห่ร้องตะโกนเสียงดังลั้นด้วยความพลุ่งพล่าน เลือดเหนียวข้นเต็มไปด้วยพลังในร่างไหลเวียนผ่านเส้นเลือดต่างๆ ทำให้ร่างกายของเขากลับมาเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังกว่าก่อนที่จะถูกเผาไหม้โลหิตไปเกือบสองเท่า
แม้ร่างกายของเขาจะแห้งเหียว แต่เขาก็สามารถฟื้นฟูกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ในอนาคต
ในตอนนี้เพลิงนิรันดร์ไม่สามารถเผาไหม้เลือดเนื้อของจิวโมไป๋ได้อีก และความเจ็บปวดจากการดูดซับเปลวเพลิงก็ลดน้อยลงหลายเท่าในระดับที่เขาทนได้ เขาจึงใช้โอกาศนี้ในการดูดซับเพลิงนิรันดร์อย่างไม่รอช้า ตำหนักยุทธในตอนนี้กำลังถูกเผาไหม้ด้วยเพลิงนิรันดร์สีเขียวเข้ม เปลวเพลิงที่ถูกดูดซับไม่พยศรุนแรงเหมือนตอนแรก
จิวโมไป็เผลอตัวโห่ร้องออกมาไม่หยุด แผนที่เขาวางไว้สำเร็จจริงๆ ถ้าเขาสามารถดูดซับเปลวเพลิงนิรันดร์ได้สำเร็จ ในอนาคตเขาจะสามารถดูดซับเปลวเพลิงที่ทรงพลังอื่นๆได้โดยไม่ต้องกลัวว่าตำหนักยุทธ์จะถูกทำลาย อนาคตของเขาจะไร้ขีดจำกัด
โดยที่จิวโมไป๋ไม่ได้สังเกต รูปแกะสลักมังกรตรงเสาตำหนักทั้งสี่ต้นของตำหนักยุทธเตาหลอม 9 สุริยัน และ ตำหนักยุทธกระบี่เลือนเร้น ดูเด่นชัดขึ้นราวกับว่ามันมีชีวิตขึ้นมาดวงตาของรูปแกะสลักเป็นประกายเจิดจ้าเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง
ทะเลปราณสีเลือดมีประกายทองจางๆ แต่เพียงไม่นานก็หายไป
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ขนาดของเพลิงนิรันดร์ค่อยๆเล็กลงอย่างช้าๆ อีกเพียงไม่นานจิวโมไป๋ก็จะสามารถดูดซับมันได้สำเร็จ แต่เหมือนเพลิงนิรันดร์จะไม่ยอมแพ้ มันลุกไหม้อย่างเกรี้ยวกราดสีเขียวเข้มกลายเป็นสีเขียวขุ่นมัว ทั่วห้องโถงสว่างจ้าไปด้วยแสงสีเขียวเข้มอันน่าสยองขวัญ ราวกับอยู่ในนรก
ในตอนนั้นเองโครงกระดูก ที่กำลังปีนป่ายข้ามหุบเหวอีกฝั่ง เหมือนถูกสะกดดวงตาสีเขียวพลันลุกไหม้ พวกมันหมุนตัวเปลี่ยนทิศพุ่งเข้ามาปีนมาทางฝั่งเพลิงนิรันดร์ราวคลื่นทะเล ทั้งๆที่ตอนแรกมันไม่กล้าแม้แต่จะมองมาทางนี้ด้วยซ้ำ
จิวโมไป๋เปิดตาขึ้นหันกลับไปมอง เมื่อเห็นฝูงโครงกระดูกจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังจะปีนขึ้นมาใบหน้าของเขาพลันเปลี่ยนสี
—
ขออภัยผู้อ่านทุกคนที่ผมหายไปนานนะครับ ในช่วงที่ผ่านมาผมมีธุระส่วนตัวที่ต้องจัดการ ทำให้ผมไม่สามาถเขียนนิยายได้ ตอนนี้ผมมีเวลาเขียนนิยายแล้ว จากนี้ผมจะเริ่มเขียนนิยายอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ และจะไม่หายไปไหนอีกแล้ว
ขอบคุณที่ติดตามมาโดยตลอดครับ