ย้อนเวลากลับมาเป็นเทพยุทธ์ - ตอนที่ 75
จิวโมไป๋ฝืนยันตัวลุกขึ้นเตรียมตัวต่อสู้อย่างยากลำบาก ร่างกายหอบเหนื่อยเล็กน้อย แม้ในตอนนี้เพลิงนิรันดร์จะไม่ทำให้เขาเจ็บปวดมากมายนัก แต่เพราะร่างกายของเขาสูญเสียเลือดและกล้ามเนื้อไปเป็นจำนวนมาก จากการถูกเพลิงนิรันดร์เผาผลาญจนร่างกายแห้งตอบ ร่างกายของเขาอยู่ในสภาพอ่อนแรง ถึงแม้เลือดจะหลอมรวมกับโลหิตมังกรพายุอัสนีไปแล้วก็ตาม มันก็ไม่ช่วยให้ร่างกายของเขาได้ฟื้นตัวมากนัก
นอกจากนั้นในตอนนี้ท้องของจิวโมไป๋ กำลังส่งเสียงร้องคำรามออกมาจนได้ยินเสียง ความหิวกระหายถาโถมออกมาจนเขาแทบคลั่ง ถ้าเขาไม่รีบหาอาหารกินล่ะก็ เขาจะต้องเป็นลมหมดสติไปอย่างแน่นอน ในสภาพนี้เขาไม่พร้อมที่จะต่อสู้เลยแม้แต่น้อย
แก๊กแก๊กๆ
ทันทีที่ปีนขึ้นมาได้โครงกระดูกสีขาว เหลือง เทาและดำ ก็พุ่งเข้าหาจิวโมไป๋ทันที เขารีบเรียกพลองผ่านฟ้าออกมาจากแหวนมิติและหมุนควงทุบทำลายโครงกระดูกด้านหน้า จนมันแตกกระจายเป็นชิ้นๆกระเด็นกลับไป ก่อนจะสลับท่าเท้าพุ่งทะยานเข้าหาโครงกระดูกที่กำลังปีนขึ้นมา และโหมกระหน่ำทำลายโครงกระดูกอย่างรุนแรง บางตัวที่ยังไม่ทันได้ปีนขึ้นมาก็ตกลงไปด้านล่างทันที ทำให้เขาได้มีโอกาศได้พัก
ในระหว่างนั้นจิวโมไป๋ยังคงท่องเคล็ดบ่มเพาะเตาหลอม 9 สุริยัน บทดูดซับเปลวเพลิงไม่ให้มันขาดช่วง แต่เพราะต้องเบนความสนใจไปทางอื่น ทำให้ความเร็วในการดูดซับเพลิงนิรันดร์ช้าลงไปหลายส่วน
ตูม! กร๊อบ
เสียงบดทำลายดังขึ้นติดๆไม่หยุด จิวโมไป๋หอบหายใจด้วยความเหน็ดเหนื่อย เพราะเสียเลือดและกล้ามเนื้อไปเป็นจำนวนมาก เขาอยู่ในช่วงที่ยากลำบากที่สุด ออกแรงไม่กี่ครั้งร่างกายก็เริ่มออกอาการ ทุกครั้งที่ออกแรงควงพลองหนัก128กิโลกรัม ร่างกายจะต้องสั่นระริก บางครั้งเขาถูกโครงกระดูกสีดำ ผลักกระเด็นจนต้องถอยออกมา
แก๊กๆ แก๊กๆ
แม้จะเหนื่อยแทบขาดใจ แต่โครงกระดูกก็ปีนขึ้นมาไม่หยุด ไม่ให้เขาได้พัก ยิ่งนานยิ่งมีโครงกระดูกปีนขึ้นมาเรื่อยๆ จนจิวโมไป๋ถูกดันถอยไปเรื่อยๆ พริบตาเดียวก็มีโครงกระดูกปีนขึ้นมามากกว่า 20 ตัวแล้ว
จิวโมไป๋เรียกยันต์สีเขียวอ่อนออกมา และเผามันจนลุกไหม้ก่อนที่จะโยนยันต์แผ่นนั้นไปที่กลุ่มโครงกระดูกที่กำลังปีนขึ้นมา
พื้นที่ว่างเปล่าพลันก่อเกิดสายลมอันรุนแรง พัดโครงกระดูกที่ปีนขึ้นมา กระเด็นกลับลงไปพร้อมกับโครงกระดูกที่กำลังปีนขึ้นมาต้องตกลงไปด้านล่าง
ใบหน้าของจิวโมไป๋ในตอนนี้ซีดเผือกแทบไร้สีเลือดแล้ว แต่เขาก็ฝืนท่องเคล็ดบ่มเพาะต่อไม่หยุดเมื่อเขาได้โอกาศ เพลิงนิรัยนดร์ถูกดูบซับไปจนขนาดลดลงเรื่อยๆ
แต่ในตอนนั้นเอง ได้มีโครงกระดูกสีดำเข้มสนิทมีประกายสีม่วงเข้มเหมือนฝุ่นละออง กระโดดข้ามหุบเหวขึ้นมาและพุ่งเข้าชกใส่ร่างของจิวโมไป๋โดยไม่ทันได้ตั้งตัว
“อั๊ก!”จิวโมไป๋ยกพลองผ่านฟ้าขึ้นมาได้ทันท่วงที แต่ก็ต้องกระเด็นถอยไปเกือบ 4 เมตร ก่อนจะมองโครงกระดูกสีดำปนม่วงอย่างตกใจ เพราะมันอยู่ในขั้นที่ 3 เส้นเอ็นกลาง เป็นอย่างน้อย
โครงกระดูกตัวนี้แข็งแกร่งกว่าโครงกระดูกสีขาว เทา ดำ หลายเท่า
ในตอนนี้เขาไม่สามารถสู้ได้อย่างแน่นอน
จิวโมไป๋กวาดสายตาหาช่องทางเอาตัวรอดอย่างรวดเร็ว โดยที่มือยังคงกำพลองผ่านฟ้าแน่น เมื่อมองไปที่ประตูบานยักษ์ด้านหลังเพลิงนิรันดร์ จิวโมไป๋ก็ตัดสินใจหลบหนีทันที เขากัดฟันหมุนควงพลองผ่านฟ้าจะพุ่งทะยานเข้าไปหาร่างของโครงกระดูกสีดำม่วง ก่อนจะใช้กระบวนท่าทะลวงฟ้า ก่อเกิดคลื่นที่มองไม่เห็นห่อหุ้มปลายพลอง และกระแทกไปที่กลางหัวกระโหลกอย่างรุนแรง
โครม! เสียงโจมตีดังสนั่น พร้อมร่างของโครงกระดูกสีดำม่วงกระเด็นไปด้านหลังหลายสิบก้าว แต่เพียงไม่นานมันก็ยันตัวลุกขึ้นมาราวกับไม่เกิดอะไรขึ้น บนหัวกระโหลกของมันปรากฏเป็นหลุมลึกพร้อมรอยร้าวแตกกระจายไปทั้งหัวกระโหลก แต่มันก็ไม่ตายเพราะเพลิงสีเขียวเข้มยังคงลุกไหม้อยู่ในเบ้าตาที่กลวงโบ๋
จิวโมไป๋ไม่เสียเวลาคิด เขารีบเก็บพลองผ่านฟ้าไปในมิติเก็บของ จากนั้นก็หันหลังพุ่งอ้อมเพลิงนิรันดร์ไปทางด้านหลังแล้วกระโดดเกาะขอบรูปแกะสลักที่นูนออกมาบนบานประตูยักษ์ แล้วปีนขึ้นไปอย่างรวดเร็วจนสูงกว่าพื้น 30 เมตร อยู่ในจุดที่ห่างจากเพลิงนิรันดร์ไม่มากนัก เพราะไม่อย่างนั้นเขาจะไม่สามารถดูดซับเพลิงนิรันดร์ได้
เมื่อปีนขึ้นมาได้จุดหนึ่งจิวโมไป๋ก็ถอนหายใจ แล้วหยิบอาหารออกมาจากแหวนมิติและกินอย่างรวดเร็ว เหมือนหลุมดำที่ไม่มีสิ้นสุด จิวโมไป๋กินอาหารไปเป็นจำนวนมากแต่ก็ไม่อิ่ม เขาได้แต่กินอาหารต่อไปไม่หยุด สายตามองไปที่กลุ่มโครงกระดูกที่ปีนขึ้นมาเรื่อยๆจนตอนนี้มีมากกว่าพันตัวเข้าไปแล้ว
พวกมันวิ่งอ้อมเพลิงนิรันด์แล้วมาหยุดอยู่ด้านล่าง ใต้ร่างของจิวโมไป๋แล้วพยายามปีนขึ้นมา แต่ก็ไม่สำเร็จจนกระทั้งมีโครงกระดูกเพิ่มขึ้น พวกมันก็เยียบตัวปีนขึ้นมาแต่ไม่นานก็ล้มลงไปใหม่ ทำให้จิวโมไป๋มีโอกาศเพิ่มพลัง
หลังจากกินอาหารสำหรับคนหนึ่งคนกิน 1 เดือน ร่างกายของจิวโมไป๋ก็ถูกฟื้นฟูจนกลับมามีเนื้อหนังแม้จะยังดูผอมบางอยู่ก็ตาม แต่ก็ไม่อ่อนแอเหมือนเมื่อครู่
ในตอนนั้นเอง โดยไม่ทันตั้งตัว พลังงานในร่างค่อยๆเดือดขึ้นเรื่อยๆ ราวกับมีระเบิดอยู่ในร่าง
ภายในทะเลสติ ทะเลปราณด้านล่างกำลังก่อเกิดคลื่นอันบ้าคลั่ง ตำหนักยุทธ์ทั้ง 2 อยู่ๆก็เปร่งแสงสว่างเจิดจ้า ในตอนนั้นเองตำหนักยุทธ์พลันเกิดละอองแสงทั่วตำหนัก จากนั้นทั้ง 2 ตำหนักพลันขยายขนาดขึ้น 2 เท่า ก่อนที่แสงสว่างจะค่อยๆจางหายไป
บนตัวตำหนักทั้ง2 หลัง ปรากฏลวดลายโบราณที่เป็นภาษาที่ไม่รู้จัก ตัวอักษรบนตำหนักยุทธเตาหลอม 9 สุริยันปรากฏเป็นแสงสีเขียวเข้มราวกับเพลิงนิรันดร์ ตัวอักษรบนตำหนักยุทธกระบี่เลือนเล้นปรากฏแสงสีเทาเลือนราง ลวดลายบนตำหนักทั้ง 2 ดูสลับซับซ้อนและลึกลับ
ในเวลาเดียวกันจิวโมไป๋กรีดร้องเสียงดังลั้น ผิวหนังบนร่างพลันปรากฏตัวอักษรโบราณลวดลายสีทองอ่อนๆเรียงกันเหมือนเกล็ดมังกรทอง ร่างของจิวโมไป๋ในตอนนี้เหมือนกำลังสวมเสื้อคลุมเกล็ดมังกรสีทองที่งดงามอยู่
พลังอันลึกลับค่อยๆสงบลง ร่างกายของเขาถูกฟื้นฟูกลับมาเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง
จิวโมไป๋ลืมตาขึ้นมองเกล็ดแสงสีทองบนผิวหนังของตัวเอง ที่ค่อยๆอ่อนลงจนหายไปอย่างช้าๆ ด้วยความตื่นเต้นยินดี มันมีจริงๆระดับที่เหนือกว่าระดับสร้างฐานขั้นปลาย
สร้างฐานขั้นสูงสุด!
อย่างที่ผู้บ่มเพาะพลังทุกคน รู้กันว่าทุกระดับสร้างฐานของการบ่มเพาะพลัง มีทั้งหมด 9 ขั้นและในละขั้นจะแบ่งเป็น ต้น กลาง ปลาย จากนั้นจะเลื่อนไปในขั้นต่อไป ไม่เคยมีใครไปในระดับที่สูงกว่าขั้นปลายได้
ในอดีตจิวโมไป๋ได้มีโอกาศพบเจอกับสุสานลึกลับ ในมิติระดับกลาง มิติหมื่นสนามรบ มิติที่มีขนาดใหญ่กว่าโลกหมื่นเท่า ภายในมิติมีการต่อสู้และสงครามขนาดใหญ่อยู่ตลอดเวลา มันเป็นการต่อสู้ระหว่างผู้แข็งแกร่งของมิติระดับกลางมากมายที่เข้ามาแสวงหาโชค และมีจำนวนไม่น้อยที่ต้องทิ้งร่างให้ถูกฝังไว้ที่มิติแห่งนี้
จึงไม่แปลกที่จะมีสุนสานลึกลับจำนวนนับไม่ถ้วนกระจัดกระจายไปทั่วมิติ เพื่อให้ผู้แสวงโชคคนอื่นได้เข้ามาเสี่ยงชีวิต และก็ถูกสังหาร จนในที่สุดมิติหมื่นสนามรบการเป็นวงจรต่อสู้ฆ่าฟันไม่รู้จบ
สุสานที่เขาพบ เป็นของผู้ที่ถูกเนรเทศลงมาจากมิติชั้นสูง คนผู้นี้มีบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับมิติชั้นสูงมากมาย โดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับ ระดับสร้างฐานขั้นสูงสุดเอาไว้
ในมิติชั้นสูง มีคนจำนวนมากที่อยู่ระดับเทพยุทธ แต่มีจำนวนเล็กน้อยเท่านั้นที่ได้ทะลวงก้าวผ่านระดับเทพยุทธ ไปอยู่ในระดับที่สูงกว่า และพวกเขาเหล่านั้นล้วน ทำลายขีดจำกัดขั้นในระดับสร้างฐาน เป็นขั้นสูงสุด อย่างน้อยก็ 4 ครั้ง ผู้ที่สามารถทำลายขีดจำกัดน้อยลงมาก็เป็นเทพยุทธที่แข็งแกร่งกว่าเทพยุทธคนอื่นๆอย่างเทียบไม่ติด
การทำลายขีดจำกันขั้นในระดับสร้างฐาน จึงเป็นความใฝ่ฝันของผู้บ่มเพาะพลังทุกคน ที่อยากจะทำให้สำเร็จสักครั้ง แต่มีน้อยจริงๆที่ทำสำเร็จ
โชคร้ายที่ในตอนที่เขาได้รับบันทึกเขาอยู่ในระดับปราณปฐพี ทำให้เขาไม่สามารถทดลองได้ว่ามันมีจริงหรือไม่
เมื่อเขาได้มีโอกาศได้ย้อนเวลากลับมา เขาจึงต้องทดลองดูว่า เขาจะทำลายขีดจำกัดขั้นได้จริงๆหรือไม่ ซึ่งผลที่ออกมาทำให้เขาเชื่อแล้วว่ามีจริงๆ
เมื่อทำใจให้สงบลง จิวโมไป๋ก็พบว่ามันยากมาก ที่จะทำลายขีดจำกัดขั้นสร้างฐานในขั้นอื่นๆ เพราะจากบันทึกยิ่งขั้นสร้างฐานสูงขึ้น ยิ่งยากที่จะทำลายขีดจำกัด เพราะมันต้องใช้ทรัพยากร โชค พรสวรรค์ และความอดทน
มันจึงเป็นเหตุผลที่ในมิติล่าง กลาง หรือ มิติชั้นสูงเขตรอบนอก ไม่มีใครรู้เกี่ยวกับการทำลายขีดจำกัดขั้นสร้างฐานเลยแม้แต่น้อย
ที่จิวโมไป๋สามารถทำลายขีดจำกัดขั้นสร้างฐานได้ ก็เพราะเขามีความรู้ในอนาคต ทำให้เขามีเคล็ดวิชาต่างๆที่สมบูรณ์ และเขารู้ถึงจุดที่มีทรัพยากรที่มีค่าเช่น โลหิตมังกรพายุอัสนี หัวใจพฤกษาบรรพกาล และเพลิงนิรันดร์ ทำให้เขาไม่ต้องพึ่งโชค เหมือนคนอื่นๆ
ในขั้นต่อไป เขาก็ไม่รู้ว่าจะทำลายขีดจำกัดสร้างฐานได้สำเร็จอีกหรือไม่ ก็ต้องดูกันต่อไป…
จิวโมไป๋กลับมาเพ่งสมาธิดูดซับเพลิงนิรันดร์ ในทันทีที่เริ่มบทดูดซับเปลวเพลิง เพลิงนิรันดร์ที่ถูกดูดซับจนเหลือ 2 ส่วนพลันถูกดูดเขาตำหนักยุทธ์เตาหลอม 9 สุริยันอย่างรวดเร็วจนหมด ไม่มีแรงต่อต้านเลยแม้แต่น้อย
ภายในตำหนักยุทธ์เตาหลอม 9 สุริยัน ด้านล่างของเตาหลอมเลือนลาง มีเพลิงนิรันดร์สีเขียวเข้มลุกไหม้อยู่จากการพยศที่รุนแรง มันค่อยๆอ่อนแอลงอย่างช้าๆจนในที่สุดมันก็ยอมจำนน
และในตอนนั้นเองทะเลปราณพลันสั่นไหวอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้มันไม่ได้บ้าคลั่งจนทะเลปราณปั่นป่วน แต่มันกระแทกขอบเขตทะเลปราณอย่างสงบเงียบเชียบไร้ซึ่งการต้านทานใดๆ เขตแดนทะเลปราณขยายขนาดขึ้น 15 เท่าโดยไม่มีผลกระทบใดๆทั้งสิ้น
หยดน้ำปราณค่อยๆไหลเขาเติมเต็มเขตแดนทะเลปราณอย่างช้าๆ
บนท้องฟ้าทะเลจิตวิญญาณปรากฏสีเงินอ่อนๆค่อยๆกลืนกินทะเลจิตวิญญาณสีทองแดงอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานทะเลจิตวิญญาณกลายเป็นสีเงินอ่อนไม่มีสีทองแดงอีกและในตอนนั้นเอง ขอบเขตทะเลจิตวิญญาณพลันขยายขนาดขึ้น 15 เท่าในทันที ไร้ซึ่งการต่อต้านใดๆเช่นกัน
การบ่มเพาะพลังขั้นที่ 2 กล้ามเนื้อ
การบ่มเพาะจิตวิญญาณระดับ เงินต้น
จิวโมไป๋สูดลมหายใจอย่างแรง ดวงตาเปล่งประกายเจิดจ้า ร่างกายเอ่อล้นเต็มไปด้วยพลัง เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงดังลั้น
โดยปกติแล้วเมื่อทะเลปราณและทะเลจิตวิญญาณทะลวงเลื่อนขั้นในทุกๆครั้ง คนส่วนมากเขตแดนทะเลภายในจะขยายขึ้น 6-10 เท่า แล้วแต่รากฐานที่พวกเขาได้สร้างหรือพรสวรรค์ของแต่ละคน
ในอดีตเขาสามารถขยายเขตแดนทะเลภายในได้ 11 เท่า ถือว่าเป็นคนที่มีพรสวรรค์ที่หาได้ยาก
เขาจำได้ว่าเซียวหนานจิ้น ที่ถูกเรียกว่าสุดยอดอัจฉริยะของกระกูลเซียว ขยายเขตแดนทะเลภายในได้ 12 เท่า
และอัจฉริยะในตำนาน จี้หยางเฟย ขยายเขตแดนทะเลภายในได้ 14 เท่า
ในตอนนี้จิวโมไป๋สามารถขยายเขตแดนทะเลภายในได้ 15 เท่า จึงไม่แปลกที่เขาจะหัวเราะออกมา
ความสำคัญของการขยายเขตแดนทะเลภายใน 15 เท่าในทุกๆครั้งที่ทะลวงขั้น มันหมายถึงความจุของเขตแดนทะเลภายใน จะทวีคูณขยายขนาดยิ่งขึ้นทุกๆครั้ง ซึ่งมันทำให้คนๆนั้น สามารถดึงพลังจากเขตแดนทะเลภายในได้มากกว่า คนที่มีความจุเขตแดนทะเลภายในน้อยกว่า
ถ้าคนในระดับการบ่มเพาะและฝีมือในการต่อสู้เท่ากัน เกิดการต่อสู้ยืดเยื้อกินเวลา คนที่มีความจุเขตแดนทะเลภายในมากกว่าย่อมได้เปรียบ เพราะเขาสามารถออกกระบวนท่าได้มากกว่า…
โครงกระดูกด้านล่างค่อยๆสงบลง เหมือนเสียการควบคุม ดวงตาที่ลุกไหม้อย่างบ้าคลั่งค่อยๆสงบลง พวกที่อยู่ไกลออกไปหยุดการไล่ล่า และยืนนิ่งไม่ไหวติ่ง ส่วนพวกที่อยู่ใกล้จิวโมไป๋ ก็พุ่งตามขึ้นมาแต่ไม่รุนแรงเหมือนตอนแรก จิวโมไป๋ถอนหายใจเล็กน้อย เหลือมอง โครงกระดูกสีดำม่วง เกือบ 20 ตัว ที่กำลังพุ่งเขามา และมีอีกเกือบ 40 ตัวที่อยู่ไกลๆที่ในตอนนี้พวกมันไม่ให้ความสนใจเขาแล้ว
ถึงเขาจะเลื่อนขั้นแล้ว แต่เขาก็ไม่มั่นใจเลยว่าถ้ามันบุกเข้ามาพร้อมกันเขาจะสู้ด้วยได้ไหม การที่พวกมันหยุดไปแบบนี้ เขาก็พอใจแล้ว
จิวโมไป๋รีบปีนขั้นไปจนถึงเพดาน โครงกระดูกด้านล่างก็ไม่ติดตามเขามาต่อ พวกมันหยุดนิ่งอยู่เฉยๆไม่ทำอะไร ถ้าไม่มีดวงตาที่กำลังลุกไหม้ เขาอาจคิดว่ามันเป็นแค่โครงกระดูกธรรมดาที่ไร้ชีวิต
จิวโมไป๋ไต่เพดานจนไปถึงจุดพักเขาก็มีโอกาศได้พักจริงๆ เขานอนหลับไปทันที
เวลาผ่านไปจิวโมไป๋ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมองกำไลข้อมือที่ส่งเสียง ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ ไม่หยุด เขากดไปที่กำไลข้อมือไม่นานก็มีภาพโฮโลแกรมฉายขึ้นด้านหน้า
“หืม”ในภาพเป็นภาพจาก 1 ในกล้องวงจรติด ที่เขาติดตั้งไว้รอบเกาะ มันกำลังฉายภาพในเวลากลางคืนที่ไม่มีแสงอะไรเลย เพราะเป็นคืนเดือนมืด ในภาพมีกลุ่มคนในชุดดำน้ำสีดำสนิท 8 คน กำลังปีนขึ้นมาจากทะเลสาบด้านล่างและไต่ขึ้นหน้าผาขึ้นมาอย่างเงียบเชียบระมัดระวัง
“ในที่สุดก็มีคนทนไม่ไหว”จิวโมไป๋พูดเสียงเย็นก่อนที่จะไต่เพดานไปตามทางกลับอย่างรวดเร็ว
—
ตอนนี้ยาวกว่าปกติ 2 เท่า ถือเป็นคำขอโทษที่ลงช้านะครับ
ขอบคุณที่ติดตามมาโดยตลอดนะครับ^^