ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠) - บทที่ 249 ความกล้า
บทที่ 249
ความกล้า
เสี่ยวไป่กำลังหลับอยู่ที่อีกฝั่ง หลังจากที่มู่หรงเสวี่ยช่วยเก็บกวาดเสร็จ เธอก็กลับมาเห็นเสี่ยวไป๋ที่กำลังหลับอยู่บนหญ้าและถึงขนาดน้ำลายไหลด้วย
มู่หรงเสวี่ยเตะไปที่เจ้าลูกบอลสีขาวและร่างกลมๆของมันก็กลิ้งเป็นวงกลมไปหลายรอบแต่ก็ยังไม่ตื่นขึ้นมา
มู่หรงเสวี่ยทำกับมันเหมือนเป็นลูกบอลและเสี่ยวไป๋ก็ลอยขึ้นสูงและตกลงไปในแม่น้ำทันที
หลังจากนั้นสักพักเสียงคำรามของเสี่ยวไป่ก็ดังขึ้นมาจากแม่น้ำ “บ้าเอ๊ย ไอ้ลูกหมาตัวไหนที่กล้ามาเตะท่านปู่อย่างข้าเนี่ย?”
หลังจากนั้นสักพัก เสี่ยวไป๋ก็รีบวิ่งมาอยู่ตรงหน้า มู่หรงเสวี่ยพร้อมด้วยพุงอ้วนๆที่ชนเข้ากับเท้าของมู่หรงเสวี่ย “เจ้าใช่ไหม?! ฝีมือเจ้าใช่ไหม?”
มู่หรงเสวี่ยชี้ขึ้นไปที่ท้องฟ้าและชี้กลับลงมาที่พื้นแล้วพูดออกมาอย่างใสซื่อ “ข้าไม่รู้เลยนะ…” ตอนนี้เธอควบคุมความแรงได้อย่างดีแล้วและไม่ทำให้เจ็บเลยสักนิด
เสี่ยวไป๋มองไปที่เธออย่างสงสัย “ไม่ใช่เจ้าจริงๆเหรอ?!” และมองไปยังคนรอบๆที่กำลังยุ่งว่าจะเป็นใครอีกที่กล้าทำแบบนี้
มู่หรงเสวี่ยอุ้มมันขึ้นมาแล้วจึงใช้พลังแห่งจิตวิญญาณเพื่อเป่าขนตามร่างกายของมันให้แห้ง “เจ้าวิ่งลงไปเองต่างหาก เดาว่าเจ้าน่จะละเมอเดินนะ” เธอพูดโกหกด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
เสี่ยวไป๋รู้สึกสบายจากพลังแห่งจิตวิญญาณอุ่นๆนี้มาก มันเหล่ตาเล็กน้อยและไม่ได้ทำท่าทางไร้สาระเหมือนเมื่อกี้แล้ว
มู่หรงเสวี่ยยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย บางครั้งเสี่ยวไป๋ของเธอนี่ก็ไร้เดียงสาจริงๆ
ภาพที่รอยยิ้มที่มุมปากดั่งดวงจันทร์ที่เพิ่งขึ้นและสายตาก็เปล่งประกายราวกับหยก ภาพนี้สะท้อนอยู่ในสายตาของคนทั้งสี่ จู่ๆจังหวะหัวใจของพวกเขาก็เต้นไม่เป็นจังหวะ ท่าทางของคนคนหนึ่งจะสวยงามได้ขนาดนี้เลยเหรอแต่มันก็ไม่ได้ทำให้พวกเขารู้สึกถึงความเป็นผู้หญิง แต่กลับเป็นความสวยแบบเทพนิยายมากกว่า
ไม่มีใครกล้าที่จะขัดภาพที่สวยงามเช่นนี้ จ้าวฉีและ จู้หมิงเดินกลับมาด้วยฝีเท้าที่เงียบกริบ พวกเขาเริ่มย่างเนื้อของอสูรฟันยักษ์อย่างเงียบๆ จนกระทั่งพวกเขาได้กลิ่นของเนื้อย่าง
“มู่เทียน เนื้อย่างพร้อมแล้ว มากินกันเถอะ!” หลินหนานหยิบเนื้อย่างมาเยอะเลย มู่หรงรับมาและพูดพร้อมรอยยิ้ม “ขอบคุณนะ!”
“ข้าก็อยากกินเหมือนกันนะ!” เสี่ยวไป๋แตะไปที่ท้องและพูดออกมา
มู่หรงเสวี่ยฉีกเนื้อออกครึ่งหนึ่งและกินเข้าไป อย่างไรก็ตามเธอถึงกับตัวแข็ง เธอได้กลิ่นของเนื้อ กินกันเข้าไปได้ยังไงเนี่ย?
มีคำหนึ่งแวบขึ้นมาในหัวของเธอทันที: น่ารังเกียจ!!!
เพราะมันมีเพียงรสชาติของเนื้อและใส่เพียงเกลือเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีเครื่องปรุงอื่นใดอีก เมื่อเธอกินเข้าไป เธอจึงได้กลิ่นที่แรงของเนื้อซึ่งทำให้กลืนเข้าไปยากมาก
“แหวะ แหวะ แหวะ แหวะ!” เสี่ยวไป๋รีบคายเนื้อออกมาในทันที
มู่หรงเสวี่ยอยากที่จะเคาะไปที่หัวของมันแรงๆ ถึงมันจะไม่อร่อย แต่ก็ควรที่จะรักษาน้ำใจคนอื่นบ้าง พวกเขาอุตส่าห์ทำมาให้กิน
แต่เธอเองก็ถึงกับขมวดคิ้ว จ้องไปที่เนื้อที่อยู่ตรงหน้า แล้วแบบนี้เธอจะกินคำที่สองเข้าไปได้ยังไง
หลังจากที่พยายามอยู่นาน เธอก็ทำได้เพียงวางเนื้อที่อยู่ในมืออย่างไม่เต็มใจเท่าไรแล้วจึงลุกขึ้นเดินไปหาหลินหนาน พวกเขายังย่างเนื้อกันอยู่ มีหลายคนที่กินหมดไปแล้วชิ้นหนึ่งและดุเหมือนว่าพวกเขาจะอร่อยกันมันมาก นี่เป็นเธอคนเดียวเหรอที่มีปัญหาเรื่องต่อมรับรสเนี่ย?!!
“พวกเจ้าปรุงเนื้อยังไงเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยถาม
หลินหนานมองไปที่เนื้อในมือของเธอที่กัดไปแค่คำเดียวและถามออกมาอย่างอายๆ “ไม่อร่อยงั้นเหรอ?!! ข้าคิดว่ามันอร่อยมากเลยนะ ร้านอาหารข้างนอกยังไม่อร่อยเท่านี้เลย…”
มู่หรงแสยะยิ้ม นี่พวกเจ้าคลุกดินคลุกฝุ่นมากจนต่อมรับรสพังกันไปหมดแล้วหรือไงเนี่ย?!!! เธอเดินไปที่กองไฟแล้วพูดกับจ้าวฉีที่กำลังย่างเนื้ออยู่ “ข้าขอลองบ้างได้ไหม?”
จ้าวฉีตกใจจนแทบโยนเนื้อเข้าไปในกองไฟ รอยยิ้มของ มู่หรงเสวี่ยช่างสวยจริงๆจนเข้าสติหลุดไปชั่วขณะ จนกระทั่ง หลินหนานกระแอมเขาจึงได้สติกลับมาอย่างอายๆ “ได้เลย…” ถึงแม้จะย่างจนดำเป็นถ่านแต่พวกเขาก็ยังชอบอยู่ดี
หลินหนานคิดว่ามู่เทียนก็คงจะแค่นึกสนุกและอยากที่จะลองดู ไม่มีทางที่มู่เทียนคนนี้จะทำอาหารได้แน่ๆ ยังไงซะพวกเขาก็ไม่คิดว่าคนอย่างเธอจะทำได้
มู่หรงเสวี่ยรับเนื้อย่างมาจากมือของจ้าวฉี แล้วก็โบกมือและกองเครื่องปรุงที่เธอเอาติดตัวมาจากโลกที่แล้วก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าเธอ ทั้งหมดถูกบรรจุอยู่ในกระป๋อง โชคดีที่เธออยู่ในมิติลับมานาน เธอจึงเตรียมของใช้จำเป็นในชีวิตประจำวันมาด้วย
“เปิดฝาให้ข้าทีนะจ้าวฉี!” มู่หรงเสวี่ยเปิดฝาไม่ได้เพราะเธอกำลังถือเนื้ออยู่ในมือข้างหนึ่ง
จ้าวฉีมองไปที่ขวดและโหลพวกนี้ด้วยความสงสัยและเมื่อได้ยินเสียงที่ชัดเจนของมู่หรง เขาก็รีบตอบกลับมาทันที “โอเค!”
หลังจากที่จ้าวฉีเปิดฝาเรียบร้อย มู่หรงเสวี่ยและจ้าวฉีก็เริ่มตัดเนื้อด้วยมีด เพื่อที่จะเพิ่มรสชาติ เธอจึงเริ่มทาซอสบาร์บีคิวและอื่นๆลงไปที่เนื้อ
ไม่นานกลิ่นของเครื่องปรุงก็กระจายฟุ้งไปทั่ว
คนอื่นๆอดไม่ได้ที่จะต้องกลืนน้ำลายตาม
เจ้าลูกบอลสีขาวรีบลอยมาอยู่ข้างๆมู่หรงเสวี่ยทันที “เอามาให้ข้า…” มันเคยกินฝีมือของมู่หรงเสวี่ยมาก่อนแล้ว ไม่ว่าจะลองกินกี่ครั้งมันก็ยังรู้สึกถึงความอร่อยที่หาที่ไหนไม่ได้เลย
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า!” สุดท้ายมู่หรงเสวี่ยก็ทาน้ำผึ้งแล้วเอาไปย่างเพิ่มอีกเล็กน้อย เนื้อของเจ้าอสูรฟันยักษ์กลายเป็นสีทองเปล่งประกายทันทีซึ่งดูน่ากินอย่างมาก ก่อนที่มู่หรงเสวี่ยจะทันได้หันเป็นชิ้นๆ เสี่ยวไป๋ก็กระโดดลงมาและกัดซะก่อนแล้ว
“มันร้อน ร้อน!” เสี่ยวไป๋รู้สึกร้อนจนกระโดดตัวลอย
“สมควรแล้วนิ! ใครใช้ให้เจ้าตะกละขนาดนี้ล่ะ…” แต่ มู่หรงเสวี่ยก็ยังหยิบน้ำแห่งจิตวิญญาณออกมาจากมิติลับและส่งให้เสี่ยวไป่อยู่ดี
หลังจากที่ดื่มน้ำแห่งจิตวิญญาณเข้าไปเสี่ยวไป๋ก็รู้สึกดีขึ้นมากแล้วมันก็หันกลับมาที่เนื้อ
มู่หรงเสวี่ยพูดไม่ออกจนต้องยื่นเนื้อที่ใหญ่กว่าตัวของเสี่ยวไป่ให้ไปแล้วจึงหยิบเนื้อชิ้นใหม่ขึ้นมาและเอาไปย่างอีกครั้ง
หลินหนานและคนอื่นๆมองเสี่ยวไป๋กินเนื้อด้วยความสนใจอย่างมาก และต่างก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉา เสี่ยวไป๋ดูเหมือนจะรู้สึกได้ จึงรีบเอามือบังเนื้อจากทุกคนทันที
ถึงแม้ทุกคนอยากที่จะกินบ้างแต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะพูด
แน่นอนว่ามู่หรงเสวี่ยก็ย่างเนื้อเผื่อทุกคนด้วยแต่แล้วก็หยุด เธอรู้สึกเหมื่อยแขนไปหมด “คนอื่นถ้าอยากกินก็ย่างเอาเองนะ ใช้เครื่องปรุงที่อยู่ตรงนี้ได้ตามสบายเลยนะ…”
เธอหยิบเนื้อส่วนของตัวเองมาและนั่งลงกิน
หลินหนานเดินเข้ามาและยื่นกล่องให้เธอ “เอ้านี่ มู่เทียน!”
มู่หรงกัดเนื้อกินแล้วจึงถามออกมา “อะไรเหรอ?”
“นอกจากแกนคริสตัลของมันแล้ว เขาของอสูญฟันยักษ์ก็มีค่ามากเหมือนกันเพราะมันเป็นส่วนแหลมคมที่แข็งที่สุดในร่างกายของมันซึ่งสามารถเอาไปทำเป็นอาวุธชั้นดีได้แล้วก็ขายได้ราคาดีด้วย…” หลินหนานอธิบาย
หลังจากที่ได้ฟัง มู่หรงเสวี่ยไม่ได้รับมาแต่พูดออกไปเสียงเบา “เจ้าเอาไปเถอะ เราเป็นเพื่อนกัน อีกอย่างเราต้องหาค่าเรียนด้วย เก็บเอาไว้เถอะ ข้าไม่ได้อยากได้ของพวกนี้หรอก…”
มือที่กำลังถือกล่องอยู่ของหลินหนานเกร็งขึ้นและดวงตาเขาก็เริ่มที่จะเอ่อล้น มีหลายคนที่ “ปาก” บอกว่าเป็นเพื่อนเขาแต่มีเพียงไม่กี่คนที่คิดว่าเขาเป็นเพื่อนด้วย “หัวใจ” จริงๆ ในตอนนี้ เขาพร้อมที่จะมอบกายและหัวใจให้เด็กหนุ่มที่อยูตรงหน้าจริงๆ เขารู้สึกดีใจจริงๆที่ก่อนหน้านี้เขาเลือกที่จะมาเป็นอัศวินให้กับเขา
อีกสามคนที่เหลือต่างก็สังเกตเห็นท่าทางของหลินหนานในตอนนี้ ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้เอ่ยปากพูดขอบคุณ แต่ในหัวใจของพวกเขาก็ถูกสลักได้ด้วยชื่อของมู่เทียนเอาไว้แล้ว
“กล้าดียังไงถึงได้นั่งกินเนื้อย่างกันอย่างสบายใจแบบนี้? กล้ามากเลยนะไอ้หนู!” เสียงแก่ดังขึ้นมาไม่ไกลมากนัก
มูหรงเสวี่ยและคนอื่นๆที่กำลังนั่งกินเนื้อย่างรีบลุกขึ้นและอยู่ในท่าเตรียมพร้อมทันที
“ไปลงนรกซะเถอะ” เมื่อสิ้นเสียงคำราม พลังแห่งจิตวิญญาณที่ดุร้ายผสมกับเสียงโหยหวนของหมาป่าก็พุ่งตรงมาที่มู่หรงเสวี่ยและคนอื่นๆ หลินหนานที่อยู่ใกล้กับมู่หรงเสวี่ย รีบเข้ามาอยู่ขวางอยู่ตรงหน้ามู่หรงเสวี่ยทันที เขาคิดที่จะใช้ความแข็งแกร่งของตัวเองเพื่อกันการโจมตีนี้
มู่หรงเสวี่ยตะลึงไปชั่วขณะ รีบรวบรวมพลังแห่งจิตวิญญาณทั้งหมดของร่างกายและดึงหลินหนานไปอยู่ข้างหลังพร้อมตะโกนออกมา “ปกป้องคนอื่นๆด้วย!”
“อัญเชิญฟินิกซ์!”
ร่างกายของมู่หรงเสวี่ยเปล่งประกายแสงจ้า นกฟินิกซ์บินโฉมลงมาจากท้องฟ้า ด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณที่เตรียมพร้อม มันบินพุ่งตรงไปที่อีกฝ่ายด้วยความเร็วที่น่ากลัว ต้นไม้มากมายที่อยู่ใกล้เคียงต่างก็ทนแรงลมไม่ไหวจนต้องล้มเอน
การปะทะของพลังแห่งจิตวิญญาณทั้งสองแตกออกเป็นลูกบอลไฟขนาดใหญ่และจู่ๆ ลมแรงหลังจากการระเบิดก็แทบจะพัดหลินหนานกระเด็น
หลังจากที่มู่หรงเสวี่ยตะโกนบอก หลินหนานก็รีบเข้าไปอุ้มเสี่ยวไป๋ที่ยังนั่งกินเนื้ออยู่ทันทีพร้อมทั้งดังหวูเสี่ยวเหมยที่อ่อนแอที่สุดให้มาหลบที่ด้านหลังเขา เขายังไม่ลืมที่จะเรียกคนที่เหลืออีกสองคน “รีบกลับมา…”
ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ไม่เพียงมู่หรงเสวี่ยคนเดียวที่รู้สึกประหลาดใจแต่อีกฝ่ายเองก็ประหลาดใจมากด้วยเหมือนกัน
ไม่นานกลุ่มควันก็ค่อยๆจางหายไปและร่างของชายแก่ก็ปรากฏขึ้นมา!! “ยังไม่ตายอีกเหรอ?!”
ชายแก่สวมเพียงเสื้อคลุมสีดำ เขาดูน่าจะอายุประมาณ 50 เขามีดวงตาหลี่เล็กซึ่งให้ความรู้สึกไม่น่าคบหาเท่าไร
“พวกเราไม่เคยมีเรื่องหรือเกลียดชังอะไรกัน ทำไมถึงได้มาโจมตีเราแบบนี้?!” มู่หรงเสวี่ยถามอย่างเย็นชา!
“เจ้าทำร้ายลูกสาวของท่านเซี่ย แค่รอเวลาที่จะต้องตายเถอะ!” ชายแก่ถูกอาจารย์เซี่ยจ้างมา