ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 104.2 มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ไม่ใช่มหาวิทยาลัยทั่วไป (2)
- Home
- ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน
- ตอนที่ 104.2 มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ไม่ใช่มหาวิทยาลัยทั่วไป (2)
ตอนที่ 104 มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ไม่ใช่มหาวิทยาลัยทั่วไป! (2)
ฟางผิงขมวดคิ้วว่า “พี่หวังลงมือหนักเกินไปหรือเปล่า?”
นี่เป็นจุดที่เขาไม่เข้าใจ หรือแค่ต้องการทรัพยากรเพื่อทะลวงขั้นสอง?
แม้ทรัพยากรจะหายาก แต่ลงมืออย่างเหี้ยมโหดแบบนี้ ฟางผิงคิดว่าเกินไปอยู่บ้าง
ฉินเฟิ่งชิงเอ่ยเรียบนิ่ง “เขาลงมืออย่างไม่ปรานีจริงๆ แต่ก็มีเหตุผลเหมือนกัน มหาวิทยาลัยในเซี่ยงไฮ้พวกนี้ ได้เปรียบเรื่องทรัพยากร นายน่าจะเห็นแล้ว พวกเราสามารถใช้คะแนนแลกเปลี่ยนทรัพยากร เงื่อนไขยังไม่ได้สูงมาก แต่ถ้านายคิดว่าทุกมหาวิทยาลัยล้วนเหมือนกัน นั่นผิดแล้ว! บางมหาวิทยาลัยจัดสรรให้นายได้แค่เวทีเท่านั้น ทรัพยากรต้องพึ่งตัวเองทั้งหมด! “
“หลายปีมานี้มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ทั่วไป มักจะมีอัจฉริยะปะปนอยู่แล้ว สิ่งแรกที่ต้องทำคือท้าประลองมหาวิทยาลัยสองแห่งที่มีชื่อเสียง เพื่อรักษาความเกรงขาม เพื่อประคองตัวเองให้อยู่เหนือกว่า มหาวิทยาลัยดังต้องลงมืออย่างเหี้ยมโหดเช่นกัน! นายคิดว่าจะเหมือนเด็กน้อยเล่นกันอย่างนั้นเหรอ? การต่อสู้เกี่ยวพันถึงหลายเรื่อง นักศึกษาที่มาท้าประลองทุกปี ส่วนมากจะเป็นอัจฉริยะที่อยู่ขั้นสาม ปรากฏว่าตายอยู่ในมหาวิทยาลัยดังจำนวนไม่ใช่น้อยๆ หวังจินหยางที่มาท้าประลองด้วยขั้นหนึ่ง น่าจะเป็นระดับต่ำที่สุดของช่วงหลายปีนี้แล้ว”
“บางทีอาจจะไม่ใช่ความตั้งใจของเขาเพียงอย่างเดียว อาจมีมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียง รวมทั้งมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ทั่วไปแห่งอื่นๆ ร่วมด้วย ถ้าเขาไม่ลงมือขั้นเด็ดขาด นายคิดว่านักศึกษาธรรมดาแบบเขาจะเดินมาจนถึงตอนนี้ได้งั้นเหรอ? มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ไม่ได้ง่ายเหมือนที่นายคิดขนาดนั้น แม้ฉันจะไม่ค่อยกระจ่างเรื่องราวภายใน แต่ก่อนที่หวังจินหยางจะมา อาจจะทำข้อตกลงอะไรสักอย่างไว้กับมหาวิทยาลัยหนานเจียงหรือมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ที่อื่น สรุปแล้ว หลังจากเกิดเรื่อง แม้ทรัพยากรของมหาวิทยาลัยดังจะไม่ได้ถูกปรับลง แต่ทรัพยากรของมหาวิทยาลัยทั่วไปกลับเพิ่มมากขึ้น นี่อาจเป็นสาเหตุของเรื่องก่อนหน้านี้! หวังจินหยางอาจไม่ใช่คนบงการ แต่เขากลับเป็นเหมือนเสี้ยนหนามของมหาวิทยาลัยดัง พวกอาจารย์คงไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเขาอยู่แล้ว แต่นักศึกษาหลายคนล้วนเกลียดเข้ากระดูกดำ! มีข่าวลือออกมาว่า ภายหลังมหาวิทยาลัยดังอาจจะถูกลดทรัพยากร เพราะใช้ทรัพยากรไปมาก แต่กลับไม่อาจสั่งสอนนักศึกษาออกมาเป็นที่น่าพอใจ ฉันเล่าเรื่องพวกนี้ให้นายฟัง ที่จริงอยากบอกนายว่า ปัญหาของนายใหญ่มาก ยังใหญ่กว่าที่นายคาดคิดซะอีก!”
ฉินเฟิ่งชิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ได้ยินว่าเมื่อวานนายถูกอาจารย์หลู่รับเป็นศิษย์ เหมือนจะบังเอิญ อันที่จริงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ต่างหาก”
“หื้ม?”
“หรือนายมองไม่ออก อาจารย์คนอื่นๆ ไม่ได้กระตือรือร้นกับนายเหมือนที่คาดไว้?”
แม้ฉินเฟิ่งชิงจะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ กลับพูดเหมือนว่าเห็นด้วยตาตัวเอง “นายเป็นคนเดียวในรุ่นนี้ที่หลอมกระดูกสามครั้ง! ทั้งทักษะต่อสู้และจวงกงไม่ด้อยเลย ชาติกำเนิดธรรมดา ไม่มีเรื่องอะไรซับซ้อน นักศึกษาแบบนี้ ความจริงเป็นที่โปรดปราณของพวกอาจารย์ที่สุด! อย่างฟู่ชางติ่ง เขามีปู่ที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหก ที่จริงพวกอาจารย์ไม่ค่อยชอบสั่งสอนศิษย์ประเภทนี้ จากปีที่ผ่านๆ มา สถานการณ์อย่างนายนั้นต้องถูกพวกอาจารย์เรียกแย่งตัวแล้ว แต่เมื่อวานมีไหมล่ะ?”
ฟางผิงย้อนคิด ก่อนจะส่ายหัว เมื่อวานไม่มีเรื่องแบบนี้
“นี่ก็ถูกแล้ว!”
“เพราะมันไม่คุ้มค่า!”
ฉินเฟิ่งชิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์หลู่ค่อนข้างชอบความวุ่นวาย แต่เธอเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหกตอนปลาย ต่อให้ชอบเรื่องวุ่นวายยังไงคงไม่อาจทำให้พวกนักศึกษาอย่างเราลำบากไปด้วยหรอก เมื่อวานเป็นทั้งการบังคับและหลอกล่อ นายคิดว่าเธอรับนายเป็นศิษย์เฉยๆ หรือไง?”
ฟางผิงขมวดคิ้วแน่น ฉินเฟิ่งชิงถอนหายใจ “คงจะได้รับคำสั่งของใครมา ไม่อยากให้นายก่อเรื่อง ถึงให้อาจารย์หลู่ออกหน้ารับนายเป็นศิษย์ นายเป็นอัจฉริยะอยู่แล้ว อาจารย์คนอื่นไม่อาจรับเป็นศิษย์ แต่อาจารย์หลู่กลับไม่กังวลข้อนี้ อีกอย่าง ศิษย์ของอาจารย์หลู่มีโอกาสตายค่อนข้างสูง นี่ทำให้ไฟโทสะของคนกลุ่มหนึ่งสงบลงได้ น่าจะเป็นข้อตกลงที่ยอมกันครึ่งทางของผู้มีอำนาจในมหาวิทยาลัยเช่นกัน…”
ฟางผิงเผยสีหน้าเรียบนิ่ง ในใจกลับไม่ได้สงบอย่างที่แสดงออกไป
เนิ่นนานก่อนเขาจะเอ่ยว่า “รุ่นพี่ฉินพูดเรื่องพวกนี้กับผมทำไม?”
“แค่ไม่อยากให้นายไร้เดียงสาเหมือนนกกระทาตัวน้อยๆ ฉันมีโอกาสเจอนายไม่เยอะ แต่กลับเห็นว่านายมีปัญหาใหญ่อยู่ นายใช้ชีวิตแค่ผ่านไปเป็นวันๆ เท่านั้น! นายไม่เข้าใจความโหดร้ายของผู้ฝึกยุทธ์แม้แต่น้อย ความตั้งใจเลื่อนลอย ปากบอกว่าจะต่อสู้แข่งขัน ความจริงกลับเป็นผู้ชมอยู่ด้านข้าง คนอย่างนายไปอยู่กับอาจารย์หลู่ อาจจะตายไวด้วยซ้ำ นายคิดว่าที่แห่งนี้คือสวรรค์? คิดว่ามหาวิทยาลัยคือแดนสุขาวดีบนโลก? ยังคิดว่าพวกอาจารย์เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยทั่วไป พวกรุ่นพี่เป็นรุ่นพี่ในมหาวิทยาลัยที่เคยเห็นทั่วไป? เด็กน้อย ตื่นสักทีเถอะ บางเรื่องนั้นซับซ้อนและอันตรายกว่าที่นายคาดคิดเสียอีก!”
“รู้หรือเปล่าทำไมตรงนี้ถึงเรียกว่า ‘ที่หลบภัย’? ทั่วทั้งมหาวิทยาลัย มีแค่ที่นี่พอจะนับได้ว่าเป็นสถานที่บริสุทธิ์ ที่อื่นๆ ล้วนไม่ใช่ทั้งนั้น! หากนายอยากเป็นคนธรรมดา ไร้ความสามารถ คงไม่เป็นไร! แต่หลอมกระดูกสามครั้ง ยังเกี่ยวพันกับหวังจินหยางที่เป็นศัตรูกับทุกคน นายคิดว่าจะสามารถใช้ชีวิตอย่างราบรื่นในนี้ถึงสี่ปี?”
ฟางผิงอดนึกถึงเรื่องเมื่อวานไม่ได้ ตอนที่เขาเลือกหลู่เฟิ่งโหรวแล้ว ถังเฟิงเพิ่งจะเตือนกลายๆ ว่าโอกาสตายมีค่อนข้างสูง
ตอนแรกคิดว่าบอกให้เขาฟัง ตอนนี้มานึกดู น่าจะบอกให้นักศึกษาคนอื่นได้ยินมากกว่า
ฟางผิงเลือกหลู่เฟิ่งโหรวไม่เป็นไร แต่นักศึกษาคนอื่น ทางที่ดีอย่าเลือกดีกว่า
ไม่งั้นคนอย่างถังเฟิงที่อยู่ขั้นหกตอนปลาย จะเพิ่งจำเรื่องนี้ได้หลังจากที่ฟางผิงเลือกไปแล้วหรือไง?
อีกอย่างตั้งแต่แรกหลู่เฟิ่งโหรวก็พุ่งเป้ามาที่เขา ฟางผิงคิดว่าเธออยากจะรับอัจฉริยะซะอีก
แต่ภายหลังการแสดงออกของหลู่เฟิ่งโหลวนั้นไม่ได้เหมือนอาจารย์ทั่วไป
ทั้งไม่ได้มองเรื่องที่เขาหลอมกระดูกสามครั้งแล้วต่างไปจากคนอื่น พอเชื่อมโยงเข้ากับคำพูดของฉินเฟิ่งชิง เขาจึงรู้สึกว่าเธอทำเหมือนปฏิบัติภารกิจเสร็จแล้วก็ไม่คิดสนใจเรื่องอื่นอีก
ตอนแรกคิดว่าทั้งหมดเป็นเรื่องบังเอิญ ทั้งเป็นตัวเลือกที่เขาตัดสินเอง
แต่เมื่อหวนคิดอีกครั้ง เหมือนว่าผลจะถูกกำหนดให้เป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกแล้ว
ถังเฟิงแสดงออกว่าไม่ได้ถูกใจเขา อาจารย์ขั้นหกคนอื่นๆ ก็ไม่ได้ดูกระตือรือร้น
มีแค่หลู่เฟิ่งโหรวที่แม้จะไม่น่าเชื่อถือ แต่ยังคงเป็นมิตร
นึกมาถึงตอนนี้ ฟางผิงคับข้องใจอยู่บ้าง เอ่ยอย่างหงุดหงิด “ผมไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ด้วยซ้ำ พี่หวังยังอยู่แค่ขั้นสาม ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหกขั้นเจ็ดพวกนี้มีความจำเป็นต้องทำแบบนี้เหรอ?”
“นี่ไม่ใช่เรื่องของพวกนาย นี่เป็นการประชันระหว่างมหาวิทยาลัยดังและมหาวิทยาลัยธรรมดา ทั้งเป็นการแย่งชิงทรัพยากรด้วยเช่นกัน พวกผู้ฝึกยุทธ์อาจจะไม่ดึงเรื่องราวมาเกี่ยวข้องกับพวกนาย หรือจะบอกว่าไม่สนใจพวกนาย แต่หวังจินหยางถูกดึงเข้าไปแล้ว แถมนายยังมีความสัมพันธ์กับอีกฝ่าย บังเอิญมาที่มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้พอดี แสดงฝีมืออย่างโดดเด่น…องค์ประกอบหลายอย่างทำให้เกิดภาพรวมแบบนี้ออกมา ไม่ใช่ว่ามีคนตั้งใจเล่นงานนาย ในความคิดของฉัน มหาวิทยาลัยกำลังปกป้องนายมากกว่า อย่างน้อยก็หวังให้นายไม่ถูกดึงไปเกี่ยวข้องด้วย ไม่งั้นคงไม่จำเป็นต้องให้อาจารย์หลู่รับนายไว้หรอก”
“รุ่นพี่หมายความว่า ผมเลือกอาจารย์หลู่ ถือเป็นการปกป้องอย่างหนึ่ง?”
“ใช่ เพราะอาจารย์หลู่แข็งแกร่งพอ มีผู้อำนาจคอยหนุนหลัง โดยปกติแล้ว ถ้าเป็นเรื่องเล็กๆ แทบจะไม่มีใครอยากจะสร้างความลำบากใจให้เธอ”
“งั้นถ้าผมไม่เลือกอาจารย์หลู่ล่ะ?”
“ไม่รู้สิ ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดอาจจะบาดเจ็บหนักจากเรื่องไม่คาดฝัน จำต้องลาออกไป เรื่องพวกนี้พบเห็นได้บ่อย อยากเป็นเสือที่ดุร้าย กลับมีใจเล็กเป็นนกกระทา นายจะอ่อนเกินไปแล้ว คิดให้กระจ่างเองเถอะ ฉันพูดเยอะขนาดนี้ ถือว่าคืนน้ำใจให้หวังจินหยาง…”
ฟางผิงแปลกใจอีกครั้ง น้ำใจ?
ฉินเฟิ่งชิงเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “เวลานั้นเขาทำกระดูกซี่โครงฉันหักไม่กี่ซี่ หลบเลี่ยงจุดสำคัญของฉัน นี่ถือเป็นน้ำใจ ฉันไม่ได้พูดเล่น แต่นายกับหวังจินหยางนั้นห่างชั้นกันมากจริงๆ”
ฟางผิงไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง คุกรุ่นอยู่ในใจ ฉันห่วยขนาดนั้นเลยหรือไง?
ทั้งผลกระทบจากชาติก่อน นอกจากจะทำให้เขาได้ประสบการณ์ชีวิตมากมาย ยังนำผลกระทบด้านลบมาให้เขาด้วย…อย่างเช่นคุ้นชินที่จะอยู่แบบสบายๆ
คนที่อยู่ในโลกธรรมดาคนหนึ่งมายังโลกที่คล้ายคลึงกัน สิ่งที่คิดในหัวยังคงเป็นความสงบสุขเท่านั้น
ไม่ใช่การแย่งชิงนองเลือดเหมือนคนทั่วไปพวกนี้
ฉินเฟิ่งชิงไม่สนใจเขาอีก เอ่ยพลางหาวหวอด “ฉันพูดพล่ามมาเยอะแล้ว เอาล่ะ พอแค่นี้แล้วกัน อีกอย่างสมาคมผู้ฝึกยุทธ์เปิดรับสมาชิกใหม่ ความหมายของฉันคือไปไม่ได้ก็ไม่ต้องไป ไม่ใช่เรื่องใหญ่ หากอ่อนแอ คงได้แค่อยู่รับใช้ในสมาคม ไปล่ะ”
ทิ้งคำพูดไว้ ก่อนฉินเฟิ่งชิงจะจากไป
เรื่องทั้งหมดที่เกิดเมื่อสักครู่ ไม่เหมือนกับที่ฟางผิงคาดไว้แม้แต่น้อย เขาคิดว่าฉินเฟิ่งชิงมาดึงตัวคนเข้าสมาคมซะอีก ปรากฏว่าเขากลับเล่าเรื่องที่เคยถูกหวังจินหยางจัดการมาก่อน
เขาคิดว่าฉินเฟิ่งชิงมาเพื่อแก้แค้น แต่กลับมาตักเตือนเขาแทน มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ไม่ได้สวยงามเหมือนที่เขาจินตนาการ
สุดท้ายยังเตือนเขาว่าไม่จำเป็นต้องไปสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ เพราะถ้าอ่อนแอไป คงไม่เกิดประโยชน์อะไร
เรื่องทั้งหมดนี้อยู่ตรงข้ามกันคนละขั้วกับที่เขาคาดไว้ ทั้งชั่วพริบตานั้นทำให้เขาตระหนักถึงปัญหาหนึ่ง!
อย่าได้เห็นนักศึกษาศิลปะการต่อสู้พวกนี้เป็นคนทั่วไป พวกเขาผ่านร้อนผ่านหนาวมามากกว่าที่เราคิดไว้!
ยังจำได้ว่า ตอนที่เจอฉินเฟิ่งชิงครั้งแรก อีกฝ่ายเพิ่งกลับจากการทำภารกิจ ถือดาบที่มีกลิ่นคาวเลือดเล่มนั้นมาด้วย…
คนแบบนี้ นายกลับมองเขาเป็นนักศึกษาปีสามธรรมดา มันเหมาะสมไหมล่ะ?
มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ไม่ใช่มหาวิทยาลัยทั่วไป หรือจะพูดว่าไม่ใช่มหาวิทยาลัยสายสังคมทั่วไป ถ้ายังทำตัวเหมือนก่อนหน้านี้ อาจจะเกิดปัญหาได้
ครั้งนี้ฟางผิงตระหนักถึงสิ่งหนึ่งได้อย่างแท้จริง!
มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ มีผู้ฝึกยุทธ์มากมาย ขั้นหกขั้นเจ็ดยังมีไม่น้อย ในสายตาโลกภายนอกเหมือนเป็นเขตปกครองแห่งหนึ่ง ยังควบคุมอุตสาหกรรมผลิตยาบำรุง สร้างอาวุธ ครอบครองเม็ดเงินมหาศาล สถานที่รวบรวมทุกสิ่งไว้ด้วยกันแบบนี้ จะมองเป็นมหาวิทยาลัยธรรมดาได้งั้นเหรอ?
นี่ไม่ใช่แค่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง อย่างน้อยความหมายของมันคงไม่ใช่แบบนั้น แต่เป็นสถานที่ใหญ่โตกว่านั้น…
หวนนึกถึงหลี่เฉิงเจ๋ออีกครั้ง ผู้ที่สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วไปมาแปดปีแล้ว กลับให้ความยำเกรงกับตัวเองที่เป็นนักศึกษาใหม่ของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ ความจริงฟางผิงควรจะตระหนักถึงเรื่องนี้ได้ตั้งนานแล้ว
—————