ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 108 ใช้การฆ่าศัตรูเป็นเป้าหมาย (1)
ตอนที่ 108 ใช้การฆ่าศัตรูเป็นเป้าหมาย (1)
สองวันต่อมา
โรงฝึกนักศึกษาใหม่
จ้าวเสวี่ยเหมยมองพินิจฟางผิงอย่างแคลงใจอยู่บ้าง สุดท้ายจึงอดไม่ไหว “นี่ นายจะท้าประลองกับพวกปีสูงจริงเหรอ?”
“ถูกท้าประลองต่างหาก”
ฟางผิงวอร์มร่างกาย เอ่ยด้วยรอยยิ้มไปพลาง “เธอรู้เรื่องนี้ด้วย?”
“แน่นอน เล่าลือไปทั่วแล้ว บอกว่านายได้ทีเอาใหญ่ ท้าพวกเด็กใหม่ไม่พอ ยังคิดจะท้าพวกปีสูงอีก!”
ฟางผิงยิ้มขื่น “สร้างศัตรูให้ฉันน่ะสิ ฉันเพิ่งจะทะลวงด่าน เอาความมั่นใจจากไหนมาท้าประลองพวกปีสูงกัน?”
จ้างเสวี่ยเหมยเอ่ยอย่างแปลกใจ “งั้นทำไมถึงพูดแบบนี้กันล่ะ?”
“พวกปีสูงบางคนอยากหาเรื่องฉัน ครั้งก่อนนักศึกษาใหม่ส่วนใหญ่ก็ถูกฉันเล่นงาน จะโหมกระพือข่าวลือถือเป็นเรื่องปกติ”
จ้าวเสวี่ยเหมยไมใช่คนโง่เช่นกัน ขมวดคิ้วว่า “นายไม่ได้ท้าคนอื่น แต่คนอื่นเป็นฝ่ายมาท้านาย?”
“อืม”
“นายเพิ่งจะทะลวงด่าน แม้อาจจะแข็งแกร่งกว่าพวกเรานิดหน่อย แต่ส่วนมากพวกปีสูงต่างเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งตอนปลายแล้ว นายมั่นใจว่าจะเอาชนะได้?”
“อีกอย่าง…”
ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกัน หลู่เฟิ่งโหรวที่อยู่ในชุดฝึกก็เดินเข้ามา
เธอมองฟางผิงเป็นอันดับแรก ก่อนจะเอ่ยว่า “ฉันรู้เรื่องแล้ว นายเป็นคนตอบรับเอง คงไม่มีใครห้ามนายได้ เดิมทียังคิดว่านายเป็นพวกรักตัวกลัวตาย ตอนนี้ดูแล้ว แทบไม่ต่างอะไรจากศิษย์คนก่อนๆ”
ฟางผิงเอ่ยว่า “ขั้นหนึ่งเหมือนกันหมด ผมอยากลองดู คงดีกว่าถูกหาเรื่องไม่หยุดเป็นไหนๆ”
“อาจจะล่ะนะ”
หลู่เฟิ่งโหรวไม่พูดมากอีก วกกลับเข้าประเด็น “วันนี้มาหาพวกนาย เพราะพวกนายเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวแล้ว! จ้าวเสวี่ยเหมยหลอมกระดูกส่วนล่างสามสิบเอ็ดชิ้นแล้ว สองวันนี้ฟางผิงทำได้ดีเหมือนกัน น่าจะหลอมกระดูกชิ้นที่หนึ่งแล้ว ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดระหว่างคนธรรมดาก็คือการลงสนามรบ ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวสามารถเป็นกำลังหลักได้ การบุกโจมตีศัตรูก็เป็นหน้าที่ของพวกนายเช่นกัน”
“สนามรบ?” จ้าวเสวี่ยเหมยสงสัยอยู่บ้าง
หลู่เฟิ่งโหรวกลับไม่อธิบาย เอ่ยต่อว่า “ดังนั้นเวลานี้ผู้ฝึกยุทธ์ต้องเรียนรู้ที่จะฆ่าศัตรูและรักษาชีวิต!”
“เทคนิคที่ใช้รักษาชีวิต ไม่มีอะไรมากไปกว่าการวิ่งหนีและตั้งรับ จากความสามารถของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่ง ถ้าเจอกับปัญหาที่ไม่อาจหนีพ้นจริงๆ ทั้งจะตั้งรับพละกำลังกลับเป็นรองอีกฝ่าย ดังนั้นเทคนิคฆ่าศัตรูจึงเป็นสิ่งที่ฉันต้องสอนพวกนาย!”
“พื้นฐานวิชาหมัดวิชาขา เรื่องพวกนี้เป็นเทคนิคฆ่าคนที่พื้นฐานที่สุด ประเด็นสำคัญอยู่ที่เรียนง่ายและฝึกง่าย กลอุบายของเคล็ดวิชาต่อสู้นั้นเป็นเรื่องง่าย แค่จะพิถีพิถันเรื่องความสมดุล และมีการระเบิดพลังที่จำกัด วันนี้ฉันจะสอนเคล็ดวิชาขาที่มีพลังสังหารมากกว่า!”
สิ้นเสียง หลู่เฟิ่งโหรวก็คำรามเบาๆ เตะไปที่หุ่นไม้ฝึกด้านข้าง!
มีเสียง ‘พลั่ก’ ดังขึ้นแผ่วเบา ไม่มีอะไรเคลื่อนไหวใหญ่โต
ฟางผิงและจ้าวเสวี่ยเหมยรีบหันไปดูหุ่นไม้ฝึก ตอนนี้หลู่เฟิ่งโหรวชักขากลับมาแล้ว
บนหุ่นไม้ฝึกปรากฏรอยทะลุ
ลูกเตะของหลู่เฟิ่งโหรว ไม่ได้ทำให้หุ่นไม้หักหรือเตะจนแตกเสียหาย เพียงแค่เตะจนทะลุเข้าไปเท่านั้น
ฟางผิงลองจินตนาการ หากเตะโดนคน ไม่ใช่ว่าเท้านี้จะทะลุเข้าไปหรอกเหรอ?
หลู่เฟิ่งโหรวไม่มีท่าทีจะอวดเรื่องที่เธอฝากรอยไว้บนหุ่นไม้แม้แต่น้อย เอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า
“นี่เรียกว่าการแทงเท้า เป็นเคล็ดวิชาขาอย่างหนึ่ง ชื่ออาจจะพื้นๆ แต่พลังสังหารนั้นมากกว่าเคล็ดวิชาขาพื้นฐานซะอีก! ต้องอาศัยการรวบรวมพลังเล็กน้อย! สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ พวกเราต้องหลอมกระดูกส่วนหนึ่งเป็นอันดับแรกอยู่แล้ว กระดูกส่วนนั้นเป็นส่วนที่แข็งที่สุด ให้บีบอัดปราณเพื่อระเบิดออกมา รวมกับต่อสู้โดยใช้ส่วนที่ผ่านการหลอมกระดูก จะสร้างพลังสังหารที่ไม่แตกต่างกับการใช้ปืน!”
“ฟังจากชื่อแทงเท้า พวกนายน่าจะรู้ความนัย ประเด็นสำคัญอยู่ที่การแทง เตะเท้าเข้าไปแทงอีกฝ่าย นี่คือเป้าหมายหลัก! แทงจุดสำคัญของศัตรู ขมับ ลำคอ หัวใจ จุดสงวนล้วนเป็นเป้าหมายหลักในการโจมตีทั้งสิ้น…”
จ้าวเสวี่ยเหมยตื่นตระหนกอยู่บ้าง เอ่ยเสียงแผ่วว่า “อาจารย์คะ ถ้าแทงโดนจุดสำคัญจริงๆ จะทำให้คนตายหรือเปล่า?”
หลู่เฟิ่งโหรวชำเลืองตามองเธอ เอ่ยอย่างเยือกเย็น “ไร้สาระ!”
“เคล็ดวิชาต่อสู้นั้นเป็นทักษะโจมตีที่ใช้ฆ่าคน! สร้างออกมาก็เพื่อวัตถุประสงค์นี้!”
“พวกนายฟังให้ดี ฉันจะสอนเทคนิค ‘รวมพลัง’ ‘บีบอัดพลัง’ ‘ระเบิดพลัง’ ให้พวกนายอันดับแรก จากนั้นจะสอนกระบวนท่าพื้นฐานและท่าที่ใช้บ่อยๆ รอพวกนายทำได้แล้ว ก็จะเอาไปฝึกเป็นประจำทุกวันได้ ส่วนฟางผิง…สามารถใช้รองเท้าเนื้อแข็งหรือพวกที่ปลายแหลมควบคู่ได้…”
ฟางผิงได้ยินแบบนี้ อดตะลึงไม่ได้ เขารู้ว่าหลู่เฟิ่งโหรวพูดถึงการท้าประลองที่กำลังจะเกิดขึ้น
ให้เขาสวมรองเท้าปลายแหลมเนื้อแข็งอย่างนั้นเหรอ?
หากการแทงเท้ามีอานุภาพเหมือนเมื่อครู่ที่หลู่เฟิ่งโหรวแสดงออกมา ให้เตะแทงคนทะลุ คงไม่ใช่การต่อสู้ธรรมดาแล้ว
หลู่เฟิ่งโหรวเห็นเขาอ้ำอึ้ง จึงเอ่ยเสียงแข็งทันที “อ่อนหัด! อย่ามองทุกการประลองว่าเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ ขึ้นไปบนเวที นั่นคือการต่อสู้ การต่อสู้ที่ชี้เป็นชี้ตาย ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นเพื่อนร่วมรุ่น เพื่อนสนิทหรือผู้มีพระคุณของนาย แม้วันหนึ่งนายจะต้องขึ้นเวทีพร้อมหวังจินหยาง จำเอาไว้ว่า สิ่งที่นายต้องตระหนักคือการเอาชนะเขาหรือกระทั่งฆ่าเขา! ในสถานการณ์ที่ไม่เป็นอันตรายต่อตัวเอง จะเลือกออมมือก็ได้! แต่ถ้าคิดจะออมมือตั้งแต่ก่อนขึ้นเวที คนที่ตายคงต้องเป็นนาย! ครั้งนี้เหมือนกัน แม้พวกนายต่างเป็นนักศึกษา บอกว่าเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้…”
หลู่เฟิ่งโหรวชะงักไป ผ่านไปครู่หนึ่งค่อยเอ่ยว่า “การแลกเปลี่ยนความรู้ไม่ทำให้คนตายหรือไง? ในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ ทุกปีแทบจะมีนักศึกษาตายจากการแลกเปลี่ยนความรู้ บางครั้งเป็นเพราะไม่อาจออมมือหรืออุบัติเหตุ บางครั้งก็ไม่ใช่อุบัติเหตุ ส่วนใช่หรือไม่ใช่ มีแค่คนลงมือเท่านั้นที่กระจ่างใจดี เส้นทางผู้ฝึกยุทธ์ล้วนเป็นเช่นนี้ อุบัติเหตุเกิดได้ทุกเมื่อ เขาบอกว่าเป็นอุบัติเหตุ ก็คงต้องเป็นอุบัติเหตุ! ในเมื่อนายยอมรับการประลอง ต้องเตรียมตัวให้พร้อม ถึงนายจะคิดหรือไม่คิดฆ่าคน แต่ฉันกล้ามั่นใจ บางคนไม่ได้มองการแลกเปลี่ยนความรู้เป็นการประลองง่ายๆ ทั่วไป!”
“อีกอย่าง อย่าหวังให้ฉันออกหน้า ฉันเป็นอาจารย์ การแลกเปลี่ยนความรู้ของพวกนักศึกษาคือความสมัครใจ อาจารย์เป็นคนของมหาวิทยาลัย ไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่ง! หากนายเกิดเรื่องไม่คาดฝัน ฉันจะฆ่านักศึกษาพวกนั้นได้เหรอ? พวกเขาก็เป็นลูกศิษย์ฉันเหมือนกัน แม้ฉันจะเข้าข้างพวกนายมากกว่า แต่คงไม่ถึงกับทำให้พวกเขาชดใช้ชีวิตแทนพวกนายได้ ถ้าทำได้แล้วจะยังไง? คนตายไปแล้ว ฉันต้องสนใจเอาชีวิตอีกฝ่ายเพื่อชดใช้ให้พวกนายอย่างนั้นเหรอ?”
ฟางผิงคล้ายกับคิดอะไรอยู่ พยักหน้าว่า “อาจารย์ งั้นถ้าผมไม่สามารถออมมือได้ล่ะ?”
หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยอย่างเยียบเย็น “ตายก็ตายสิ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังเป็นฝ่ายท้านายก่อน!”
ฟางผิงไม่พูดอะไรอีก จ้าวเสวี่ยเหมยขบริมฝีปาก “อาจารย์ เป็นนักศึกษาเหมือนกันทั้งนั้น…”
“นักศึกษา?”
หลู่เฟิ่งโหรวไม่พอใจอยู่บ้าง ตำหนิว่า “จำไว้ให้ดี นักศึกษาในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้นั้นไม่ใช่นักศึกษา! นับตั้งแต่วันที่ก้าวเท้าเข้ามาที่นี่ พวกนายต่างก็ดิ้นรนในเส้นแบ่งของความเป็นความตายแล้ว! นี่เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ฉันจะเตือนพวกนาย! ฟางผิง การประลองครั้งนี้ สามารถถือเป็นการทดลองภารกิจของนายได้! ถ้านายปลอดภัยกลับมา เรื่องทั้งหมดก็ง่ายขึ้นแล้ว ต่อไปมหาวิทยาลัยและฉันจะปล่อยภารกิจง่ายๆ ให้นาย นายสามารถเลือกรับภารกิจได้! ส่วนจ้าวเสวี่ยเหมย รอดูก่อนแล้วกัน!”
หลู่เฟิ่งโหรวไม่พูดนอกเรื่องกับพวกเขาอีก เริ่มตั้งใจสอนกระบวนท่าและเทคนิคให้ทั้งสองคนอย่างจริงจังขึ้นมา
—————–