ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 108-2 ใช้การฆ่าศัตรูเป็นเป้าหมาย (2)
ตอนที่ 108 ใช้การฆ่าศัตรูเป็นเป้าหมาย (2)
ก่อนหน้านี้ฟางผิงเรียนเคล็ดวิชาต่อสู้ด้วยขาผ่านคลิปวิดีโอมาโดยตลอด มีบางจุดที่ยังไม่เข้าใจ ทำได้แค่เก็บไว้ในใจรอถามหวังจินหยางเมื่อมีโอกาสอีกที
นี่นับว่าเป็นครั้งแรกของเขาที่ถูกสอนตัวต่อตัวแบบนี้
แม้หลู่เฟิ่งโหรวจะเป็นคนแปลกๆ อยู่บ้าง แต่อีกฝ่ายยังคงใจเย็นกว่าที่เขาคิดไว้ สาธิตให้พวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่าอยางไม่คิดรำคาญ
ฟางผิงและจ้าวเสวี่ยเหมยมีคำถาม หลู่เฟิ่งโหรวก็ตั้งใจอธิบายให้ฟัง
ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหก แม้หลู่เฟิ่งจะไม่ชำนาญวิชาต่อสู้ด้วยขา แต่ยังคงมีความรู้ด้านนี้มากกว่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางทั่วไปอยู่ดี
—
หนึ่งชั่วโมงต่อมา
หลู่เฟิ่งโหรวมองฟางผิง เอ่ยอย่างแปลกใจอยู่บ้างว่า “เรียนรู้ไวดีนี่!”
เทียบกับฟางผิงแล้ว จ้าวเสวี่ยเหมยเงอะงะกว่าอย่างเห็นได้ชัด
อันที่จริงจ้าวเสวี่ยเหมยไม่ถือว่างเงอะงะอะไร ไม่งั้นคงไม่ฝึกวิชามาจนถึงขั้นนี้ได้หรอก
แต่ทักษะการทำความเข้าใจของฟางผิงนั้นไม่ธรรมดาจริงๆ บางครั้งหลู่เฟิ่งโหรวพูดครั้งเดียว เขากลับทำได้แล้ว จ้าวเสวี่ยเหมยต้องอธิบายถึงสามสี่ครั้ง
ทักษะการทำความเข้าใจนั้นสอดคล้องกับค่าจิตใจ ยิ่งค่าจิตใจแข็งแกร่งเท่าไหร่ ฟางผิงยิ่งจะทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้นเท่านั้น
ค่าจิตใจของเขาอยู่ที่สองร้อยกว่าแคล ถึงขั้นสามารถจับการเคลื่อนไหวที่ละเอียด รวมทั้งการบีบตัวของกล้ามเนื้อ
สอนเกือบหนึ่งชั่วโมง หลู่เฟิ่งโหรวจึงอ่อนเพลียอยู่บ้าง เอ่ยกับฟางผิงว่า “ตอนนี้ถึงตานายทำให้ฉันดูแล้ว มีตรงไหนไม่ถูก ฉันจะได้ช่วยชี้แนะให้”
“ครับ!”
ฟางผิงอยากลองเหมือนกัน ความจริงการแทงเท้าและเคล็ดวิชาขาค่อนข้างเชื่อมโยงกัน จุดสำคัญอยู่ที่การบีบอัดให้ปราณทั่วทั้งร่างไประเบิดพลังที่เท้า
นึกถึงเนื้อหาที่หลู่เฟิ่งโหรวสอน ฟางผิงคำรามเบาๆ ก่อนจะยึดหลักด้วยเท้าซ้าย เตะเท้าขวาตรงดิ่งไปที่หุ่นไม้ฝึก!
“เจ้าโง่!”
หลู่เฟิ่งโหรวอดด่าไม่ได้ เธอเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหก เตะหุ่นไม้ฝึกไม่ใช่เรื่องยากอยู่แล้ว!
แต่ฟางผิงยังอยู่ขั้นหนึ่ง กระดูกขาขวายังหลอมไม่สำเร็จ
นี่คือเนื้อไม้จริงๆ ทั้งยังเป็นไม้วอลนัทที่เนื้อค่อนข้างแข็ง นำมาใช้เฉพาะในการสร้างหุ่นไม้ฝึก
เธอให้ฟางผิงลองฝึกดูเท่านั้น ไม่ใช่ให้เขาเตะจริงๆ!
‘พลั่ก!’
เสียงที่เตะออกไปนั้นแตกต่างจากหลู่เฟิ่งโหรวอยู่บ้าง ลูกเตะของฟางผิงส่งเสียงดังกว่า!
หุ่นไม้ที่ตั้งอย่างมั่นคงสั่นไหวเล็กน้อย ใบหน้าฟางผิงกลับซีดเผือด ทรุดตัวนั่งเริ่มเป่าเท้าตัวเองทันที
หลู่เฟิ่งโหรวไม่สนใจเขา เอ่ยกับจ้าวเสวี่ยเหมยที่ยืนตะลึงอยู่ด้านข้าง “นอกจากผู้ฝึกยุทธ์ต้องมีพลังต่อสู้แล้ว ยังต้องมีสติปัญญา! สติปัญญาน้อย ต่อให้พลังต่อสู้แข็งแกร่งเท่าไหร่ ก็เป็นได้แค่พวกที่ดีแต่ใช้กำลัง! เธอดูฟางผิงน่าจะรู้แล้ว เขาหลอมกระดูกสามครั้ง กระดูกจึงค่อนข้างแข็งแรง ไม่งั้นถ้าเมื่อครู่เตะออกไปสุดแรง เกรงว่ากระดูกเท้าต้องแตกแล้ว! นี่คือราคาของความโง่!”
ฟางผิงที่ถูกใช้เป็นตัวอย่างการสอน หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก กุมเท้าตัวเองว่า “อาจารย์ ผมไม่รู้ว่าหุ่นไม้จะแข็งขนาดนี้…”
“ไม่ต้องอธิบายแล้ว ศัตรูที่ไหนจะทิ้งช่วงให้นายอธิบายกัน! ถ้าฝั่งตรงข้ามเป็นศัตรูจริงๆ คงฉวยโอกาสตอนที่นายร้องโอดโอย ฆ่านายไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว!”
ระหว่างที่พูด หลู่เฟิ่งโหรวยังเอ่ยต่อ “นายหลอมกระดูกเท้าก่อนได้ กระดูกเท้าเป็นส่วนที่มีกระดูกมากที่สุดในช่วงกระดูกส่วนล่าง มีกระดูกนิ้วเท้า กระดูกข้อเท้า และกระดูกฝ่าเท้า กระดูกฝ่าเท้าห้าชิ้น กระดูกข้อเท้าเจ็ดชิ้น กระดูกนิ้วเท้าสิบสี่ชิ้น เท้าข้างหนึ่งมีกระดูกยี่สิบหกชิ้น นายถนัดเท้าขวา สามารถหลอมกระดูกยี่สิบหกชิ้นนี้ก่อนได้”
“รอหลอมเสร็จแล้ว กระดูกของนายจะเป็นเหมือนเหล็ก เส้นเลือดแข็งแรง ผิวหนังทนทานขึ้นเรื่อยๆ ถึงเวลานั้น นายจะแตะหุ่นไม้ทะลุคงไม่ใช่เรื่องยากแล้ว อีกอย่าง จวงกงของนายถึงระดับสองแล้ว ต้องเรียนรู้ที่จะใช้การรวมพลัง ในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ จวงกงระดับสองถือว่าไม่อ่อนด้อยเช่นกัน”
“อย่าเอาแต่ยืนบื้อ ระหว่างการต่อสู้ให้เอาจวงกงมาใช้ในการเคลื่อนไหว ขึ้นชื่อว่าเป็นบทเรียนบังคับในศิลปะการต่อสู้พื้นฐาน ประโยชน์ของจวงกงต้องมีสารพัดอยู่แล้ว ตอนนี้นายยังประยุกต์ใช้ได้น้อย จวงกงที่ถูกเรียกว่า ‘ตุ๊กตาล้มลุก’ ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ตีไม่ล้ม ไม่ใช่ให้นายฝืนรับตรงๆ แต่ให้นายหลบ หลีก ถอย และถ่ายโอนแรง…”
หลู่เฟิ่งโหรวสอนฟางผิงต่อ ทั้งชี้ให้เห็นจุดผิดพลาดตอนที่ออกพลังเมื่อครู่ เวลาช่วงเช้าจึงผ่านไปเช่นนี้
ฟางผิงและจ้าวเสวี่ยเหมยต่างจมดิ่งกับการสอนของเธอ จวบจนหลู่เฟิ่งโหรวบอกว่า บทเรียนวันนี้สิ้นสุด ค่อยมาต่อพรุ่งนี้ ทั้งสองคนค่อยดึงสติกลับมาได้
“ขึ้นชื่อว่าเป็นศิษย์ของฉัน ข้อดีบางอย่างยังคงเห็นได้ชัด ช่วงนี้พวกนายฝึกวิชาได้เต็มที่ ไม่ต้องกังวลเรื่องปราณ ยาบำรุงเลือดและปราณหมดแล้ว มาหาฉันได้ แต่ต้องมีการพัฒนา หากหยุดอยู่กับที่ แม้จะเป็นยาบำรุงเลือดและปราณธรรมดา ก็อย่าคิดว่าจะได้ไปง่ายๆ ทุกวันฉันจะทดสอบพวกนาย ถ้ามีการพัฒนา พวกนายไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องปราณ!”
พูดจบ หลู่เฟิ่งโหรวผละตัวจากไปทันที ไม่มีความคิดจะไปกินข้าวร่วมกับพวกเขาแม้แต่น้อย
รอจนเธอจากไปแล้ว จ้าวเสวี่ยเหมยค่อยเอ่ยอย่างผิดหวังอยู่บ้าง “ฉันโง่เกินไปรึเปล่า…”
ฟางผิงสามารถฝึกวิชาอย่างคล่องแคล่ว แม้จะเซ่อซ่าเตะหุ่นฝึกไปจริงๆ แต่พลังทำล้างลายไม่ใช่เล่นๆ อย่างน้อยบนหุ่นไม้ก็มีหลุมปรากฏตื้นๆ อยู่
แต่เธอเพิ่งมาเรียนรู้เทคนิครวมพลัง บีบอัดพลัง ยังห่างจากจวงกงระดับสองอยู่ช่วงหนึ่ง
ฟางผิงปลอบใจว่า “ไม่โง่หรอก ไม่มีความจำเป็นต้องเอามาเปรียบเทียบกัน บางคนมีพรสวรรค์ต้องฉลาดกว่าอยู่แล้ว…”
จ้าวเสวี่ยเหมยถลึงตามองเขา “คอยดูเถอะ ฉันต้องทำสำเร็จเร็วๆ นี้แหละ!”
“เฮ้…”
เห็นเธอวิ่งไปแทบไม่เห็นฝุ่น ฟางผิงได้แต่ส่ายหัว “ฉันอุตส่าห์ปลอบเธอด้วยความจริงใจ กลับไม่รับน้ำใจ ผู้หญิงนี่จริงๆ เลย!”
ฟางผิงเดินเข้าไปลูบหุ่นไม้ฝึก พึมพำว่า “พลังสังหารสูงกว่าเคล็ดวิชาขาพื้นฐานจริงๆ ด้วย รวบรวมแรงอีกหน่อย แทงไปตรงจุดสำคัญ คงมีโอกาสตายมากขึ้น ขมับ ลำคอ หัวใจ จุดสงวน ล้วนเป็นจุดที่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งหลอมได้ยาก หากใส่รองเท้าปลายแหลมจริงๆ เตะออกไป ไม่ตายก็คงพิการ…”
ประเด็นสำคัญอยู่ที่จำเป็นต้องโหดเหี้ยมขนาดนี้เชียว?
ฟางผิงลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจอย่างรวดเร็ว เตรียมการณ์ให้พร้อมแล้วค่อยว่าอีกที กันไว้ดีกว่าแก้อยู่แล้ว!
ใครจะรู้ว่าคนพวกนี้ต้องการอะไรจากเขา บางทีอาจจะอยากตีเขาให้ตาย นี่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
—
ขณะเดียวกัน
สมาคมผู้ฝึกยุทธ์มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้
ฉินเฟิ่งชิงพิงเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์ หาวหวอดก่อนจะเอ่ยว่า “ไม่น่าสนใจ แค่พวกขี้แพ้ไม่อยากล้างแค้นกับหวังจินหยาง นึกไม่ถึงว่าจะมาเล่นงานเด็กใหม่ ไม่น่าสนใจสักนิด!”
จางอู่ขมวดคิ้ว ไม่รับบทสนทนาเขา เอ่ยว่า “ช่วงนี้ฉันจำศีล เรื่องทางสมาคมมอบหมายให้โจวเหยียนจัดการ การแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างนักศึกษา ล้วนเป็นความรับผิดชอบของสมาคม โจวเหยียน ครั้งนี้เธอต้องระวังหน่อย อย่าให้ฟางผิงตายบนเวที ถ้าตาย พวกเราก็มีปัญหา ส่วนฉินเฟิ่งชิง ขอแค่นายไม่ก่อเรื่องเพิ่ม…”
พูดจบ จางอู่ไม่คิดมากความอีก ฉินเฟิ่งชิงกลับเอ่ยอย่างเกียจคร้าน
“ถ้าฟางผิงทำคนอื่นตายล่ะ ถึงเวลานั้นไม่ใช่จะเป็นปัญหาเหมือนกันเหรอ!”
“เขา?”
จางอู่เงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะส่ายหน้า ฟางผิงเพิ่งทะลวงขั้นหนึ่ง
ครั้งนี้ฟางผิงถูกท้า บางคนยังเป็นศัตรูที่เคยถูกหวังจินหยางโจมตี
คนพวกนี้อยู่ขั้นหนึ่งตอนปลายตั้งแต่ช่วงครึ่งปีก่อนแล้ว ตอนนี้รั้งรอไม่ทะลวงขั้นสอง แต่พลังคงพัฒนาก้าวกระโดดกว่าเมื่อก่อนแล้ว
หวังจินหยางยังฆ่าพวกเขาไม่ได้ นับประสาอะไรกับฟางผิง
——————–