ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 124 วิชาแรกของคลาสฝึกพิเศษ (1)
ตอนที่ 124 วิชาแรกของคลาสฝึกพิเศษ (1)
มหาวิทยาลัยเงียบสงบเหมือนอย่างวันปกติ
อาจารย์บางส่วนลาหยุด ไม่ก่อผลกระทบอะไรนัก พวกอาจารย์มีธุระยุ่งเป็นเรื่องปกติอยู่อล้ว อาจารย์หลายคนต้องออกปฏิบัติภารกิจเช่นกัน
แม้ฟางผิงจะรู้สึกแปลกๆ ในใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้
วันนี้เรื่องที่พวกนักศึกษาใหม่พูดถึงมากที่สุดยังคงเป็นฟางผิง
—
ห้องหนึ่งสาขายุทโธปกรณ์ ตั้งแต่เช้าก็มีเสียงซุบซิบดังขึ้น
“ขนาดจ้าวเหล่ยยังไม่ใช่คู่มือ ฟางผิงแข็งแกร่งขนาดนั้นเชียว?”
“เขาอยู่ขั้นหนึ่งตอนปลายแล้วงั้นเหรอ?”
“ไม่มั้ง จะเร็วขนาดนั้นได้ไง ตอนเปิดเทอมยังไม่เป็นผู้ฝึกยุทธ์เลย?”
“…”
ตอนแรกพวกนักศึกษาพากันคาดเดาความสามารถของฟางผิง รอจนมีนักศึกษาหญิงมาร่วมวง ไม่นานทิศทางของบทสนทนาก็เปลี่ยนทันที
“โหดสุดๆ จ้าวเหล่ยถูกอัดจนหน้าบวมเป็นหัวหมู เขาเป็นเทพบุตรสุดหล่อของฉันมาตั้งนาน ตอนนี้คงทำใจชอบไม่ได้อีกแล้ว”
“ใช่ๆ ฟางผิงน้อยเนื้อต่ำใจหรือเปล่า? ครั้งก่อนฟู่ชางติ่งก็ถูกต่อยจนหน้าบวมเหมือนกัน ในชั้นมีแค่สองคนนี้ที่ทั้งหล่อและแข่งแกร่ง ฟางผิงมีความสามารถ กลับไม่ได้หล่อเหมือนพวกเขา พวกเธอว่าเขา…”
“ไม่หรอกมั้ง? เขาไม่ได้เป็นคนอัดฟู่ชางติ่งนี่นา?”
“เธอโง่หรือเปล่า อย่าลืมว่าตอนนั้นพวกเขาร่วมมือกัน ปรากฏว่ามีแค่ฟู่ชางติ่งที่ถูกอัดจนหน้าบวม ฟางผิงช่วยฟู่ชางติ่งได้อยู่แล้ว แต่เขาไม่ช่วย เธอคิดว่าไง?”
“เหมือนจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ…”
“นึกไม่ถึงเลย ที่แท้ก็เป็นแบบนี้”
“ฉันคิดว่าฟางผิงหน้าตาใช้ได้เหมือนกัน คงไม่ขนาดนั้นหรอกมั่ง?”
“เธอจะไร้เดียงสาเกินไปแล้ว! ต้องดูด้วยสิว่าเทียบกับใคร พวกจ้าวเหล่ยหล่อกว่าเขาเยอะเลย เขามีแค่ความสามารถ ต้องอิจฉาแน่ๆ”
“…”
พวกผู้หญิงในชั้นเรียนหลายคนต่างพากันซุบซิบ มองฟางผิงด้วยแววตาที่แปลกๆ อย่างเห็นได้ชัด
หยางเสี่ยวม่านฟังอยู่ด้านข้าง กำลังจะอ้าปาก จู่ๆ เหมือนนึกอะไรบางอย่างได้ กดเสียงเบาว่า “เขาใจแคบจริงๆ! ไม่ใช่แค่อิจฉาผู้ชาย ผู้หญิงก็ด้วย! อีกอย่างเขาโหดร้ายไม่น้อย อัดกระทั่งผู้หญิง พวกเธอเห็นเหมือนกันนี่ เขาอัดผู้หญิงตั้งแต่เปิดเทอมแล้ว เมื่อวานเขายังคิดจะอัดฉัน ดังนั้นทุกคนอย่าได้เอาคนใจแคบ ชอบใช้ความรุนแรงแบบนี้มาเป็นแฟนเชียว แม้ความสามารถจะไม่ด้อย แต่ในมหาวิทยาลัยมีคนที่เก่งกว่าเขาอีกเยอะ ไม่มีความจำเป็นต้องสนใจเขา ได้ยินกันหรือเปล่า? อีกอย่าง อย่าเอาไปเล่าที่อื่นว่าฉันเป็นคนพูด ทุกคนต้องระวังหน่อย ถ้าเขารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอีก อาจจะมาอัดพวกเราก็ได้”
“ไม่หรอกน่า!”
“เสี่ยวม่าน เขาจะอัดเธอจริงๆ เหรอ?”
“แน่นอน เบาเสียงลงหน่อย หูหมอนั่นดียิ่งกว่าอะไร สรุปแล้วให้เขาอยู่ตัวคนเดียวทั้งสี่ปีถูกแล้ว หลังจากนี้ถ้ามีรุ่นน้อง พวกเราต้องบอกกล่าวสักหน่อย พวกรุ่นน้องจะไม่ได้พลาดตกขุมนรก”
“…”
ทิศทางของเรื่องเปลี่ยนครั้งแล้วครั้งเล่า จนถึงท้ายที่สุดพวกผู้หญิงลงความเห็นเดียวกันว่าอย่าได้ตามจีบฟางผิง อย่าชอบเขาเด็ดขาด!
มีผู้ชายดีๆ อีกมาก พวกรุ่นพี่ในมหาวิทยาลัยต่างก็แข็งแกร่งกันทั้งนั้น
ฟางผิงมีเค้าลางว่าจะอยู่ในครอบครัวที่ใช้ความรุนแรง ยิ่งแข็งแกร่งเท่าไหร่ เป็นแฟนของเขาจะยิ่งอันตรายเท่านั้น เขาอาจจะอิจฉาที่เธอหน้าตาดีกว่าเขาแล้วลงไม้ลงมือกับเธอก็ได้!
—
เรื่องพวกนี้ตอนแรกฟางผิงยังไม่รู้อะไร
หูเขาไม่ได้ดีขนาดนั้น ทั้งไม่อาจสนใจเรื่องซุบซุบนินทาของคนอื่นได้ตลอดเวลา
แต่เขากลับรู้สึกได้ว่าทุกคนมองเขาด้วยแววตาที่ไม่เหมือนเดิมอยู่บ้าง
เดิมทีฟางผิงยังคิดว่าเป็นเพราะเรื่องที่เขาทำคนตาย
จวบจนกินข้าวเย็นเสร็จ กำลังจะไปเข้าคลาสฝึกพิเศษ ฟางผิงถึงค่อยค้นพบอะไรบางอย่าง
ตอนที่ฟางผิงเตรียมจะไปเข้าคลาสฝึกพิเศษพร้อมกับฟู่ชางติ่ง จู่ๆ ฟู่ชางติ่งก็เผยสีหน้าหงิกงอ “ฟางผิง เรื่องที่เกิดเมื่อตอนเปิดเทอม ทำไมนายไม่ช่วยฉัน?”
ฟางผิงทำหน้าฉงนใจ นี่ผ่านไปตั้งเดือนกว่าแล้ว หมอนี่คงไม่ใจคับแคบขนาดนั้นหรอกมั้ง?
หลายวันนี้เขาและฟู่ชางติ่งนับว่าพูดคุยถูกคอกันดี ฟางผิงครุ่นคิดก่อนจะอธิบายว่า “ตอนนั้นฉันยังไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ อยากช่วยนายก็ช่วยไม่ได้หรอก”
“จริงๆ เหรอ?”
“ไร้สาระ!”
“งั้น…งั้นนายเคยคิดหรือเปล่าว่า ฉัน…ฉันหล่อกว่านายอยู่บ้าง?”
ฟางผิงกลอกตา ไม่สนใจเขา
ฟู่ชางติ่งพูดอึกอัก “จ้าวเหล่ย…หล่อกว่านายอยู่บ้างเหมือนกันใช่ไหม?”
“นายอยากหาเรื่อง? หรืออวดตัวเอง?”
“นายอยากต่อยฉัน?”
ฟู่ชางติ่งทำหน้าตื่นตระหนก คล้ายมั่นใจอะไรบางอย่าง
เขาเอ่ยอย่างรู้สึกซับซ้อน “ฟางผิง ไม่มีความจำเป็นต้องทำอย่างนี้ ความหล่อนั้นส่งต่อมาจากพ่อแม่ ไม่เกี่ยวกับพวกเราสักหน่อย หน้าฉันเพิ่งหายบวมได้ไม่นาน…”
เห็นได้ชัดว่าหมอนี่คิดว่าฟางผิงอาจจะมีปัญหากับเรื่องพวกนี้จริงๆ
หล่อกว่าเขา เขาเลยคิดจะต่อยอีกฝ่าย
โดยเฉพาะประเภทที่ทั้งหล่อและมีความสามารถ เห็นได้ชัดว่าฟู่ชางติ่งถูกจัดอยู่ในกลุ่มนี้
“ไสหัวไปไกลๆ เลย!”
ฟางผิงก่นด่า ก่อนจะเค้นถามจนรู้ว่านี่เป็นเรื่องซุบซิบในหมู่นักศึกษาหญิง
“พวกเธอพูดว่านายอิจฉาคนหล่อ อาจจะอิจฉาผู้หญิงที่หน้าตาดีด้วย พอเจอคนหล่อคนสวยเลยอยากอัดพวกเขา ยังมีคนเตือนฉันว่า…อยู่ให้ห่างจากนายหน่อย ไม่งั้นอาจจะถูกอัดอีก ที่จริง…ที่จริงฉันคิดว่าเหมือนจะเป็นอย่างนั้นอยู่นิดๆ…”
ฟู่ชางติ่งพูดอึกอักว่า “ฟางผิง นายเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่ไม่รู้ตัวหรือเปล่า? นายดูสิ นายไม่ถูกกับพวกจ้าวเหล่ย ทั้งพวกหยางเสี่ยวม่านอีก แต่กลับสนิทสนมกับจ้าวเสวี่ยเหมย เป็นเพราะยึดติดเรื่องหน้าตาหรือเปล่า? ฉัน…ครั้งก่อนฉันได้ยินนายคุยโทรศัพท์ นายยังกำชับน้องสาวว่าให้กินเยอะๆ อย่าผอมจนหน้าเป็นเมล็ดแตงโม…นายคงไม่ได้มีปัญหาเกี่ยวกับความสวยความงามหรอกนะ?”
ฟางผิงหน้าดำคล้ำเป็นก้นหม้อ!
เขาไม่พูดพร่ำอะไรอีก สาวเท้าเดินทันที ปากพึมพำอย่างเกลียดชังว่า “หยางเสี่ยวม่าน!”
ฟู่ชางติ่งทำหน้าราวกับว่าเป็นอย่างนี้นี่เอง ก่อนจะถอนหายใจ “อาจจะไม่ใช่อิจฉา แต่เป็นเพราะบกพร่องเรื่องการมองหน้าตา”
ไม่ชอบสาวงาม ไม่ชอบหนุ่มหล่อ บางทีในสายตาฟางผิงคนพวกนี้อาจจะขี้ริ้วขี้เหร่สินะ
ก่อนหน้านี้ที่ไม่อัดเขา แต่ตีสนิทกับเขาแทน…บางทีฟางผิงอาจคิดว่าเขาหน้าตาขี้เหร่ ต้องการให้เขาเป็นไม้ประดับทำให้ฟางผิงเด่นขึ้น
พอคิดแบบนี้ หลายเรื่องเหมือนจะกระจ่างแจ้งแล้ว
—
คำพูดของฟู่ชางติ่งทำให้ฟางผิงโกรธแค่ครู่เดียวเท่านั้น คิดไปคิดมารู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นต้องโกรธ ไม่นานเขาก็โยนเรื่องนี้ทิ้งไป
อย่างมากถ้ามีโอกาสครั้งหน้า อัดฟู่ชางติ่งและหยางเสี่ยวม่านเป็นการแก้แค้นคงพอแล้ว
ตึกหก
คลาสฝึกพิเศษเปิดสอน มหาวิทยาลัยจึงตั้งใจแบ่งห้องเรียนของตึกหกเพื่อให้ใช้สำหรับคลาสฝึกพิเศษ
แม้ชั้นเรียนจะมีนักศึกษาแค่ห้าสิบคน แต่มหาวิทยาลัยใจกว้างอย่างยิ่ง
ย้ายคลาสเรียนธรรมดาบางส่วนที่เคยอยู่ในตึกหก เปลี่ยนเป็นตึกอื่นแทน
ไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ ตึกหกจะใช้สำหรับคลาสฝึกพิเศษโดยเฉพาะ
ห้องเรียนที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในตึกหก
ตอนที่พวกฟางผิงไปถึง มีอาจารย์รออยู่ในห้องก่อนแล้ว
ไม่ใช่ถังเฟิง ทั้งไม่ใช่อาจารย์ขั้นหกคนอื่น แต่เป็นไป๋รั่วซีที่ฟางผิงมีภาพจำต่อเธอค่อนข้างลึกล้ำ
อาจารย์ขั้นหกคนนี้อายุยังน้อย น้อยกว่าหลู่เฟิ่งโหรวตั้งหลายปี
ตอนที่เปิดเทอมมีนักศึกษาชายหลายคนอยากเป็นลูกศิษย์ของเธอ น่าเสียดายที่ไป๋รั่วซีรับแต่ศิษย์ผู้หญิง เฉินอวิ๋นซีเป็นศิษย์ของเธอเหมือนกัน
ก่อนหน้านี้ถังเฟิงบอกว่าจะมีอาจารย์ขั้นหกเป็นผู้สอน ทุกคนต่างนึกไม่ถึงว่า คนที่สอนในคาบแรกจะเป็นไป๋รั่วซี
ไป๋รั่วซีดูเหมือนจะอายุประมาณสามสิบปี ความจริงอายุน่าจะมากกว่านั้นหน่อย
เพราะการฝึกกระบี่ ทำให้บุคลิกดูพลิ้วไหว มักให้ความรู้สึกเหมือนเทพธิดา
ดูบอบบางอ่อนโยน เป็นที่ชื่นชอบของพวกนักศึกษา
ฟู่ชางติ่งเห็นไป๋รั่วซี เอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า “นึกไม่ถึงว่าจะได้เรียนกับเทพธิดา ตอนแรกยังคิดว่าจะไม่มีโอกาสซะอีก ไม่แน่ว่าอาจจะขอให้สอนวิชากระบี่…”
“คงไม่ได้คิดต่ำๆ หรอกนะ?”
ฟางผิงทำหน้าหมดคำพูด จำเป็นหรือไง คนเขาอายุสามสิบกว่าแล้ว
บางทีอาจจะแต่งงานมีลูกไปตั้งนานแล้ว ถ้าลูกชายอายุมากกว่านายอีก คงตกใจตาย!
———————–