ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 124-2 วิชาแรกของคลาสฝึกพิเศษ (2)
ตอนที่ 124 วิชาแรกของคลาสฝึกพิเศษ (2)
ฟู่ชางติ่งไม่สนใจเขา ผู้ชายคนอื่นๆ ต่างกระตือรือร้นขึ้นมาไม่น้อยเหมือนกัน
ไป๋รั่วซียังคงเผยใบหน้าอ่อนโยนเสมอต้นเสมอปลาย รอจนเห็นนักศึกษามาครบ ค่อยเอ่ยเสียงเบาว่า “วันนี้เป็นการเปิดคลาสฝึกพิเศษวันแรก ฉันรับหน้าที่สอนทุกคน นอกจากคลาสฝึกพิเศษจะมีวิชาศิลปะการต่อสู้ ยังมีวิชาความรู้ทั่วไปเหมือนกัน พวกอาจารย์ถังค่อนข้างยุ่ง ดังนั้นฉันจึงมารับผิดชอบสอนวิชาความรู้ทั่วไปแก่ทุกคน”
“คลาสฝึกพิเศษยังมีวิชาความรู้ทั่วไปด้วย?”
เวลานี้หลายคนโอดครวญขึ้นมา
ปกติก็ยุ่งแทบตายแล้ว วิชาวัฒนธรรมและวิชาเฉพาะตอนกลางวันเยอะพอแล้ว
ตอนเย็นเข้าคลาสฝึกพิเศษ ไม่ใช่เพื่อพัฒนาความสามารถด้านศิลปะการต่อสู้หรอกหรือไง?
ตอนนี้คาดไม่ถึงว่าจะยังมีวิชาความรู้ทั่วไป นี่กะจะเอากันให้ตายเลยใช่ไหม?
ไป๋รั่วซียิ้มแผ่วบาง “วิชาความรู้ทั่วไปของคลาสฝึกพิเศษแตกต่างออกไป ทุกคนไม่จำเป็นต้องจดบันทึก ทั้งไม่ต้องคิดตามอะไร ปล่อยใจให้สบายก็พอแล้ว แต่ก่อนจะเข้าเรียนมีเรื่องหนึ่งที่ต้องทำ”
ระหว่างที่พูด ไป๋รั่วซีหยิบเอกสารกองใหญ่ที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมา “นี่คือข้อตกลงรักษาความลับ รวมทั้งหนังสือแสดงความรับผิดชอบ เข้าคลาสฝึกพิเศษ ทุกสิ่งที่เรียนทุกเรื่องที่ได้ยินต้องเก็บเป็นความลับทั้งหมด ไม่อนุญาตให้เผยแพร่ออกไปข้างนอก! ส่วนหนังสือแสดงความรับผิดชอบก็คือเอกสารแสดงความยินยอมที่พวกเรามักพูดถึงกัน เข้าคลาสฝึกพิเศษอาจจะต้องฝึกสิ่งที่ค่อนข้างอันตรายอยู่บ้าง บางทีอาจจบที่บาดเจ็บหนักหรือตาย เรื่องที่เกิดขึ้นต้องการให้ทุกคนรับผิดชอบเอง แน่นอนว่าจะไม่เซ็นก็ได้ สามารถถอนตัวออกจากคลาสฝึกพิเศษได้เลย”
“เอกสารแสดงความยินยอม?”
ทุกคนแทบไม่สนใจข้อตกลงรักษาความลับ แต่หนังสือแสดงความรับผิดชอบกลับทำให้หลายคนหน้าเปลี่ยนสี
เสียงของไป๋รั่วซีก้องกังวาน ยังคงเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “นี่ไม่ใช่การตัดสินใจของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เพียงผู้เดียว เพราะพวกเธอเป็นนักศึกษาใหม่ ดังนั้นจึงให้พวกเธอมีโอกาสเลือก ถ้าเป็นนักศึกษาปีสูงคงไม่จำเป็นต้องเตือน ฉันคิดว่านักศึกษาบางคนน่าจะรู้เรื่องนี้ดี ทุกปีมีนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้จำนวนไม่น้อยบาดเจ็บล้มตายระหว่างการเรียนและการฝึกซ้อม เดิมทีพวกเขาไม่จำเป็นต้องเซ็นหนังสือแสดงความรับผิดชอบ เพราะนั่นเป็นเรื่องพื้นฐานอยู่แล้ว ตอนนี้ทุกคนสามารถเลือกได้ว่าจะเซ็นหรือไม่เซ็น ถ้าไม่เซ็น สามารถถอนตัวได้ทันที”
ในหมู่นักศึกษามีบางคนลังเล บางคนไม่สบายใจ แต่ท้ายที่สุดกลับไม่มีใครถอนตัว
เข้าเรียนก็ได้ตั้งสิบคะแนนแล้ว หากถอนตัวคงต้องคืนกลับไปทั้งหมด?
ละทิ้งกระทั่งผลประโยชน์ที่มาถึงมือ ยังจะโดดเด่นได้ยังไง
—
รอแจกจ่ายข้อตกลงรักษาความลับและหนังสือแสดงความรับผิดชอบแล้ว ทุกคนก็ทยอยกันเซ็นชื่อในเอกสาร
ฟางผิงอ่านอย่างละเอียดอยู่พักใหญ่ เนื้อหาแทบไม่ต่างจากที่ไป๋รั่วซีพูด สุดท้ายจึงเซ็นชื่อลงไป
เมื่อพวกนักศึกษาเซ็นกันหมดแล้ว ไป๋รั่วซีค่อยเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ดีมาก นักศึกษาของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ต้องอย่างนี้ งั้นวิชาแรกของคลาสฝึกพิเศษเริ่มต้นอย่างเป็นทางการได้!”
พูดจบ ไป๋รั่วซีเดินกลับไปที่หน้าแท่นบรรยายทันที “ทุกคนเรียนวิชาประวัติศาสตร์มาแล้ว มีใครจำได้บ้าง มีการเปิดเผยผู้ฝึกยุทธ์ต่อสาธารณะชนข้างนอกอย่างเป็นทางการเมื่อปีไหน?”
“ปี1921!”
มีคนตอบทันที “ก่อนปี1921 ผู้ฝึกยุทธ์เป็นแค่เพียงข่าวลือปากต่อปาก คนส่วนใหญ่ต่างคิดว่านั่นเป็นคำพูดที่ไม่มีมูลความจริง เดือนมกราคมต้นปีนั้น รัฐบาลจีนกระจายข่าวผ่านโทรเลขรวมทั้งหน้าหนังสือพิมพ์ ยอมรับอย่างเป็นทางการถึงการมีอยู่ของผู้ฝึกยุทธ์ ยังรวบรวมเคล็ดวิชาการต่อสู้ให้แก่ประชาชน สรรหาบุคคลเพื่อเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ในปีเดียวกันรัฐบาลตัดสินใจก่อตั้งสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ของเมืองหลวงอย่างเป็นทางการ…หรือก็คือมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ปักกิ่งในปัจจุบันนี้”
“สมาคมผู้ฝึกยุทธ์เมืองหลวง ขึ้นชื่อว่าเป็นสถานที่แห่งแรกในประเทศจีนที่เปิดเผยตัวกับข้างนอก ทั้งยังเป็นมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ที่ได้รับการยอมรับจากประเทศอย่างเป็นทางการ ในการรับสมัครนักเรียนทั่วประเทศ ปีนั้นสมาคมผู้ฝึกยุทธ์เมืองหลวงรับนักศึกษารุ่นแรกหนึ่งร้อยแปดสิบเอ็ดคน…”
นักศึกษาที่ตอบคำถาม รู้เรื่องประวัติศาสตร์อย่างทะลุปรุโปร่ง พวกจำนวนตัวเลขหลักๆ ล้วนพูดออกมาได้หมด
ไป๋รั่วซีพอใจอย่างมาก พยักหน้าว่า “นักศึกษาคนนี้พูดข้อมูลได้อย่างแม่นยำ ผู้ฝึกยุทธ์เดินออกจากเงามืดสู่เบื้องหน้าเมื่อปี 1921! ข่าวลือของผู้ฝึกยุทธ์มีมานานแล้ว แต่เมื่อก่อนเป็นแค่การสอนระหว่างอาจารย์และศิษย์ที่ติดตาม แบ่งเป็นสำนัก พรรค สมาคมต่อสู้…เผยแพร่กันในพื้นที่เล็กๆ อาจารย์คนหนึ่งสอนศิษย์สี่ห้าคน ถือเป็นสำนักหนึ่งแล้ว จวบจนมีการก่อตั้งสมาคมผู้ฝึกยุทธ์เมืองหลวงขึ้นมา การถ่ายทอดวิชาแบบเดิมจึงค่อยๆ เลือนหายไป”
“ตอนนี้กลายมาเป็นมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้แต่ละแห่งแทน ปัจจุบันในประเทศจีนมีมหาวิทยาลัยที่สอนศิลปะการต่อสู้โดยเฉพาะสิบแปดแห่ง มหาวิทยาลัยที่ก่อตั้งสาขาศิลปะการต่อสู้อีกแปดสิบเอ็ดแห่ง รวมทั้งหมดเป็นเก้าสิบเก้าแห่ง!”
พูดจบ ไป๋รั่วซีค่อยพูดต่อว่า “มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ปักกิ่ง ถือเป็นมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศ มีประวัติศาสตร์ยาวนานมากว่าแปดสิบเจ็ดปีแล้ว มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้สั้นกว่าหน่อย ก่อตั้งเมื่อปี 1949 ตอนนี้เข้าปีที่ห้าสิบเก้าแล้ว ก่อตั้งสมาคมผู้ฝึกยุทธ์เมืองหลวง ผลักดันผู้ฝึกยุทธ์สู่สายตาสาธารณะชน เกิดในปี1921 แต่ความจริงกลับมีสาเหตุมาจากเหตุการณ์หนึ่งในปี 1920 ฉันคิดว่าน่าจะมีนักศึกษาหลายคนที่ไม่ทราบว่าเหตุการณ์นี้คืออะไร?”
ทุกคนต่างทำหน้างุนงง พวกเขารู้เรื่องเมื่อปี 1921 แต่ปี 1920 มีเหตุการณ์ใหญ่อะไรเกิดขึ้นกัน?
ขณะที่ทุกคนจับต้นชนปลายไม่ถูก ฟางผิงย้อนคิดอยู่พักใหญ่ ก่อนจะตอบอย่างไม่มั่นใจเท่าไหร่
“ปี 1920 พื้นที่แต่ละแห่งเกิดภัยพิบัติธรรมชาติอย่างไม่หยุดหย่อน น้ำท่วม ภัยแล้ง แผ่นดินไหวอยู่บ่อยครั้ง เดือนธันวาคม เกิดแผ่นดินไหวครั้งที่ร้ายแรงที่สุดเท่าที่ประเทศจีนเคยบันทึกมา ทำให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายนับแสนคน”
ไป๋รั่วซีมองเขาไปที พยักหน้าเบาๆ ว่า “ใช้ได้ เพราะเรื่องนี้แหละ!”
“ดังนั้นหลังจากแผ่นดินไหวในเดือนธันวาของทางตะวันตกเฉียงเหนือสิ้นสุดลง ขึ้นปีใหม่รัฐบาลก็เปิดเผยเรื่องผู้ฝึกยุทธ์อย่างเป็นทางการทันที ทั้งยังเริ่มวางรากฐาน เตรียมแผนสำหรับฝึกสอนบ่มเพาะผู้ฝึกยุทธ์ นี่ถึงได้มีสมาคมผู้ฝึกยุทธ์เมืองหลวงขึ้นมา”
ฟางผิงม่านตาหดลงเล็กน้อย เขารู้สึกว่าตัวเองคล้ายจะสัมผัสถึงความตื้นลึกหนาบางของบางสิ่งเข้าให้แล้ว!
ไป๋รั่วซีเอ่ยต่อ “การก่อตั้งและเปิดรับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้แต่ละแห่ง อันที่จริงต่างมีส่วนเกี่ยวข้องกับภัยพิบัติธรรมชาติอยู่บ้าง นับวันมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ก็มีเยอะขึ้นเรื่อยๆ จากที่รับนักศึกษาครั้งแรกหนึ่งร้อยแปดสิบเอ็ดคนจนมาถึงหนึ่งพันแปดร้อยคน ปัจจุบันทุกปีมีนักศึกษาเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้กว่าสองสามหมื่นคน นักศึกษาศิลปะการต่อสู้ทั่วประเทศที่ยังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย ตอนนี้เกือบหนึ่งแสนคนแล้ว! ส่วนที่จบการศึกษามีเยอะกว่า คำนวณจากห้าสิบปีที่ผ่านมา แม้ช่วงแรกจะไม่ได้รับนักศึกษาเยอะขนาดนี้ แต่เฉลี่ยต่อปีก็นับพันนับหมื่นเหมือนกัน หลายปีมานี้ถ้าไม่นับนักศึกษาปีสูงที่ป่วยตาย มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ได้บ่มเพาะผู้ฝึกยุทธ์ออกไปกว่าหกแสนคนแล้ว!”
“นี่ยังแค่ในมหาวิทยาลัย! หน่วยทหาร หน่วยสืบสวน ทั้งคลาสฝึกศิลปะการต่อสู้ข้างนอกก็มีการถ่ายทอดวิชาเช่นกัน…คำนวณแล้ว ตอนนี้น่าจะมีผู้ฝึกยุทธ์ในประเทศกว่าสองล้านคน แน่นอนว่าถึงจะน้อย แต่ผู้ฝึกยุทธ์หลักล้านก็ไม่ถือว่าน้อยจนเกินไป คนมากจะมีค่าได้ยังไง ทำไมผู้ฝึกยุทธ์ถึงมีตำแหน่งสูง? เรื่องพวกนี้ทุกคนเคยใคร่ครวญมาก่อนหรือเปล่า หรือเพราะผู้ฝึกยุทธ์มีความสามารถแข็งแกร่งกว่า? แม้ว่านี่จะเป็นหนึ่งในเหตุผลจริงๆ แต่ยังคงมีปัจจัยอื่นอีก มีคนเคยคิดลงลึกถึงเรื่องพวกนี้หรือเปล่า?”
“อีกอย่าง ทำไมถึงต้องเปิดเผยเรื่องผู้ฝึกยุทธ์และรับสมัครผู้ฝึกยุทธ์เพิ่มในปี 1921 ด้วย?”
“คำกล่าวที่ว่าจอมยุทธ์จะใช้กำลังในการทำลายกฎระเบียบ ไม่ใช่เพิ่งมีในปัจจุบัน แต่เผยแพร่มาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว!”
“ตามความคิดของผู้มีอำนาจ คงจะหมายความว่าควรทำให้ผู้ฝึกยุทธ์พวกนี้ค่อยๆ สูญสิ้นอยู่แค่ในประวัติศาสตร์ ความจริงก่อนปี 1921 การมีอยู่ของผู้ฝึกยุทธ์แทบจะเบาบางถึงขั้นมีอย่างจำกัด เวลานั้นเกรงว่าผู้ฝึกยุทธ์ทั้งประเทศน่าจะมีไม่ถึงหนึ่งหมื่นคนด้วยซ้ำ สิบปีต่อจากนั้น ถ้ารัฐบาลไม่บังคับใช้มาตรการอะไรออกมา ปล่อยให้ยุคสมัยพัฒนาไปตามกาลเวลา ผู้ฝึกยุทธ์อาจจะเลือนหายไป จนถึงปัจจุบัน เกรงว่าคงรักษาผู้ฝึกยุทธ์ไว้ได้ไม่ถึงพันคน บางทีอาจจะน้อยกว่านั้น หรือถึงขั้นที่สูญสิ้นไปทั้งหมด งั้นทำไมถึงเปิดเผยออกมา ทำไมถึงส่งเสริมการรับนักศึกษาศิลปะการต่อสู้ ทั้งยังเชิดชูผู้ฝึกยุทธ์ให้เป็นตำแหน่งที่สูงส่งในภายหลัง?”
ไป๋รั่วซียิงคำถามออกมาติดต่อกัน ทำให้หลายคนเกิดคันยุบยิบในใจ อยากจะถามออกไป กลับไม่รู้ควรจะเริ่มจากตรงไหนดี
———————–