ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 129 หดหู่ (1)
ตอนที่ 129 หดหู่ (1)
วันต่อมา ฟางผิงและจ้าวเสวี่ยเหมยมารอที่หน้าประตูมหาวิทยาลัยตั้งแต่เช้าตรู่
หลู่เฟิ่งโหรวไม่ได้เดินออกมา แต่ขับรถมาจอดตรงหน้าพวกเขาแทน
รถสปอร์ตสีแดง!
สองเดือนที่ผ่านมาฟางผิงไม่ได้ออกไปไหน แทบจะลืมเรื่องรถไปเลย ตอนนี้เห็นหลู่เฟิ่งโหรวขับรถมา จึงอดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้
“มองอะไร? ขึ้นรถสิ!”
หลู่เฟิ่งโหรวทันสมัยไม่น้อย ยังสวมแว่นตาสีดำ รอจนพวกฟางผิงขึ้นรถแล้ว เธอก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง บึ่งรถออกไปจากมหาวิทยาลัยอย่างรวดเร็ว
—
รถแล่นไปถึงบริเวณแถบชานเมืองของเซี่ยงไฮ้ จนสุดท้ายหยุดลงที่คฤหาสน์แห่งหนึ่ง
“ลงรถ!”
ฟางผิงรีบลงรถ มองซ้ายแลขวา แถวนี้ค่อนข้างรกร้างว่างเปล่า แตกต่างจากเขตเมืองเซี่ยงไฮ้อย่างมาก ทั้งยังมองเห็นทุ่งนาอยู่รอบๆ
สถานที่ที่รถหยุดลง ไม่ใช่ตึกสูงระฟ้า แต่เป็นคฤหาสน์หลังใหญ่
หน้าคฤหาสน์ มีชายรูปร่างกำยำล่ำสันยืนอยู่สองคน
เห็นหลู่เฟิ่งโหรว ทั้งสองคนไม่พูดอะไร ใช้สายตามองพินิจพวกเขา ก่อนจะละความสนใจไป
หลู่เฟิ่งโหรวก็ไม่สนใจผู้ชายสองคนที่ยืนเฝ้า ทั้งไม่คิดจะแสดงหลักฐานยืนยันอะไร
เธอพาพวกฟางผิงเดินเข้าไปในคฤหาสน์ทันที
เมื่อเดินเข้าไปลึกภายใน หลู่เฟิ่งโหรวหยุดที่หน้าประตูบานหนึ่งซึ่งมีคนยืนเฝ้าอยู่หนึ่งคน
“วันนี้มีการต่อสู้ชี้เป็นชี้ตายหรือเปล่า?”
ชายร่างกำยำได้ยินคำถามนี้ มองฟางผิงและจ้าวเสวี่ยเหมยที่ท่าทีราวกับเด็กไม่ประสาแล้ว จึงแสยะยิ้มว่า “มี ค่าเข้าคนละหนึ่งหมื่นหยวน!”
หลู่เฟิ่งโหรวไม่ได้ควักเงินออกมา โยนยาบำรุงเลือดและปราณธรรมดาให้เม็ดหนึ่งแทน
อีกฝ่ายมองแวบหนึ่ง ค่อยพยักหน้าว่า “เข้าไปได้เลย!”
……
—
เข้ามาด้านในแล้ว ฟางผิงจึงพบว่าที่นี่เหมือนเป็นโลกอีกใบหนึ่ง
หลังจากเข้ามา ภายในยังมีประตูหลายบาน หลู่เฟิ่งโหรวไม่สนใจสิ่งรอบข้าง เอาแต่เดินตรงดิ่งไปด้านหน้า
ก่อนฟางผิงจะค่อยๆ ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายและเสียงคนโห่ร้องดังขึ้น
ตอนนี้ฟางผิงคล้ายตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง กระซิบว่า “อาจารย์ ที่นี่คือสนามมวยใต้ดิน?”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่ถือว่าเปิดเผยอยู่ครึ่งหนึ่งเหมือนกัน ใช่ว่าผู้ฝึกยุทธ์จะทะเลาะกันไม่เป็นสักหน่อย ไม่สนับสนุนให้สู้เอาเป็นเอาตายอย่างโจ่งแจ้ง ดังนั้นจึงเกิดเป็นสถานที่นี้ขึ้นมา มีศัตรู มีความแค้น อยากได้เงิน อยากได้ประสบการณ์ อยากเห็นคาวเลือด ล้วนมาที่นี่กันทั้งนั้น นักศึกษาศิลปะการต่อสู้มีจำนวนน้อย ถือเป็นของล้ำค่า คงไม่อาจเอามาให้นายฆ่าทิ้งทุกวันได้ แต่ที่นี่ไม่จำเป็นต้องกังวลแล้ว ผู้ฝึกยุทธ์ในนี้ส่วนมากไม่ใช่สิ่งดีงามอะไร ฆ่าตายก็ไม่รู้สึกผิด”
พูดจบ ด้านหน้ายิ่งมีเสียงดังขึ้นกว่าเดิม
“ฆ่ามัน!”
“ฆ่ามันเลย!”
“ไอ้สวะ เร็วๆ สิว้ะ จัดมันเลย ระเบิดหัวมัน!”
“…”
ฟางผิงขมวดคิ้วเล็กน้อย จ้าวเสวี่ยเหมยใบหน้าซีดอยู่บ้าง
หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยเรียบนิ่ง “ไม่ได้ให้พวกเธอขึ้นเวที เข้าไปดูใกล้ๆ ก่อน เห็นเลือดให้ชินก็พอแล้ว ดูการต่อสู้พวกนี้ให้มากๆ จะได้รับประสบการณ์ พอถึงเวลาคับขัน เห็นคนตายจะได้ไม่แข้งขาอ่อนเอา”
ครั้งนี้หลู่เฟิ่งโหรวพาพวกเขาออกมาเพื่อให้ทั้งสองคนได้ชินกับคาวเลือด
การประลองในมหาวิทยาลัยครั้งนั้น แทบไม่มีความหมายอะไร
เร็วเกินไป ฟางผิงอาจจะไม่ชินกับเรื่องแบบนี้เสมอไป
ทั้งสองคนไม่ได้เปิดปากพูดคุยกัน เดินตามหลู่เฟิ่งโหรวเข้าไปในประตูบานสุดท้าย
พอเข้าไปแล้ว ฟางผิงก็สัมผัสถึงบรรยากาศร้อนระอุขึ้นมาทันที
แทบไม่ต่างจากสนามมวยทั่วไป รอบด้านเป็นผู้ชม ส่วนตรงกลางมีสังเวียนตั้งอยู่
ตอนนี้ด้านในมีผู้ชมไม่น้อย ชายหญิงเด็กคนชรามีทุกรุ่นทุกวัย ส่งเสียงดังเกรียวกราว
บนสังเวียนมีผู้ชายสองคนกำลังประมือกันอยู่
จะบอกว่าประมือกันคงไม่เหมาะสมนัก ในนั้นมีคนหนึ่งถูกอัดจนล้มไปแล้ว
ในตอนที่พวกฟางผิงเดินเข้ามา ชายคนที่ยืนอยู่ จู่ๆ ก็ชักขาฟาดไปยังหัวของอีกฝ่าย
ครู่ต่อมา บนจอภาพที่ตั้งอยู่โดยรอบ มีการขยายภาพให้เห็นชัดๆ!
“อุ๊บ…”
จ้าวเสวี่ยเหมยเห็นแทบอยากจะอ้วกออกมา
หลู่เฟิ่งโหรวตำหนิทันที “กลั้นไว้! นี่เป็นการต่อสู้ชี้เป็นชี้ตาย คนตายถือเป็นเรื่องปกติ! มีการต่อสู้แพ้ชนะเหมือนกัน ทั้งยังมีการแสดงต่อสู้ แต่นั่นไม่เกี่ยวกับพวกเธอ! ภารกิรในวันนี้ของพวกเธอคือมาดูการแข่งขัน ดูให้ชินชา ดูจนเห็นเลือดสาดก็ไม่สะทกสะท้าน นี่ถึงจะเป็นจุดประสงค์หลัก! อย่าทำเป็นแข้งขาอ่อนเชียว คนธรรมดายังทนได้ ไม่มีเหตุผลอะไรที่พวกเธอทนไม่ได้! อีกอย่าง อย่าปล่อยให้บรรยากาศมีอิทธิพล…”
ผู้ชมโดยรอบบ้าระห่ำอย่างยิ่ง บางคนตะโกนกร้าวจนตาแดงก่ำ ทำให้คนรอบๆ ตะโกนอย่างบ้าคลั่งขึ้นตาม
หลู่เฟิ่งโหรวไม่ได้รับผลกระทบอะไรแม้แต่น้อย เห็นจ้าวเสวี่ยเหมยก้มหน้า จึงขมวดคิ้วว่า “ดูสิ! แค่นี้ทนไม่ได้แล้วงั้นเหรอ?”
“ถ้าเธอทนไม่ได้ ก็ออกไปตอนนี้เลย กลับมหาวิทยาลัยไปซะ แล้วอย่าพูดถึงการแข่งขันแลกเปลี่ยนอีก!”
“อาจารย์ ฉัน…”
“ออกไป หรือจะเบิกตาดูให้ละเอียด เลือกเอา!”
จ้าวเสวี่ยเหมยใบหน้าซีดเผือด กลับไม่คิดจะขยับฝีเท้า ข่มความหวาดกลัวในใจ ก่อนจะเงยหน้ามองไปยังสังเวียน
ฟางผิงที่อยู่ด้านข้างดูดีกว่าไม่น้อย สถานการณ์แบบนี้ เขาไม่ได้เพิ่งเห็นครั้งแรก
ตอนแรกที่รุ่ยหยาง ผู้ฝึกยุทธ์นอกรีตคนนั้นถูกสังหารในที่เกิดเหตุ ถึงกระทั่งเลือดยังกระเซ็นมาถูกตัวเขา
ครั้งนั้นเขาอาเจียนจริงๆ
ส่วนครั้งต่อมาที่เขาฆ่าสองคนนั้นด้วยตัวเอง เวลานั้นขาสั่นไม่น้อยเหมือนกัน แต่หลังจากนั้นกลับไม่เป็นอุปสรรคแล้ว
ตอนนี้แม้ว่าจะสะอิดสะเอียนกลิ่นคาวเลือด แต่ฟางผิงยังคงทนได้
เขากำลังคิดเรื่องพวกนี้ จู่ๆ หลู่เฟิ่งโหรวก็พูดขึ้นว่า “จ้าวเสวี่ยเหมยดูอยู่ตรงนี้ ฟางผิงตามฉันมา!”
ฟางผิงรีบตามไป หลู่เฟิ่งโหรวพาเขาเดินไปด้านหลังสังเวียน
ฟางผิงใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ คงไม่ให้ฉันขึ้นสังเวียนหรอกนะ?
จู่ๆ จะมาให้สู้เป็นตายกันไปข้าง เขาไม่อยากจะทำอย่างนั้นเท่าไหร่
—
หนึ่งนาทีต่อมา ทั้งสองคนมาถึงด้านหลังสังเวียน
ตรงนี้น่าจะมีกล้องวงจรปิดอยู่ ไม่นานก็มีชายกำยำวัยกลางคนดูทรงพลังเดินเข้ามา
พอเห็นหลู่เฟิ่งโหรว ชายคนนั้นพลันยิ้มว่า “ลมอะไรหอบอาจารย์หลู่…อาจารย์อู๋ตี๋มาที่นี่ได้ รู้สึกเป็นเกียรติจริงๆ”
“อย่าพูดไร้สาระ!”
หลู่เฟิ่งโหรวไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ชี้ไปที่ฟางผิงว่า “จัดการให้หน่อย ให้เขาไปเก็บศพ ดูศพ”
“หา?”
ฟางผิงอึ้งไปพักหนึ่ง ชายกำยำกลับเห็นจนชินตาแล้ว หัวเราะว่า “ได้ เสี่ยวจ้าว!”
คล้อยหลังเสียงเรียกของชายคนนั้น เด็กหนุ่มคนหนึ่งก็วิ่งเหยาะๆ เข้ามา เอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “เถ้าแก่”
“พาสหายคนนี้ไปดูห้องเก็บศพหน่อย อีกเดี๋ยวถ้ามีคนตายมา ให้เขาขึ้นสังเวียนไปเก็บศพ ใช่สิ ทิ้งเขาอยู่ที่ห้องเก็บศพคนเดียวก็พอแล้ว…”
ฟางผิงหน้าเปลี่ยนสี อดมองหลู่เฟิ่งโหรวไปทีไม่ได้
หลู่เฟิ่งโหรวกลับไม่สนใจเขา หาที่นั่งลงแล้วเอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “เบิกตาดูซะ แค่ศพเท่านั้น หรือนายยังกลัวอีก? ใช่สิ มีหนังสยองขวัญหรือเปล่า? ตอนอยู่ในห้องเก็บศพหาหนังสยองขวัญที่น่ากลัวที่สุดมาเปิดสักเรื่อง แล้วปิดประตูดีๆ อย่าให้เขาวิ่งเตลิดออกมา…”
“อาจารย์…”
“ฝึกความกล้า!”
“ผม…”
“อย่าพูดจาไร้สาระ จะไปไม่ไป? ถ้านายไม่ไป ฉันจะโยนนายขึ้นสังเวียนเดี๋ยวนี้แหละ ถูกคนฆ่าตายอย่ามาโทษฉันแล้วกัน!”
ฟางผิงเผยสีหน้าขมขื่น ทำได้เพียงตามเสี่ยวจ้าวคนนั้นไปด้านหลัง
ระหว่างที่ทั้งสองคนเดิน ฟางผิงขำแห้งว่า “สหาย อาจารย์ฉันแค่ล้อเล่น ไม่จำเป็นต้องเปิดหนังสยองขวัญอะไรหรอก”
เสี่ยวจ้าวกลับส่ายหัวพัลวัน “ไม่ได้ ในเมื่อบอกว่าให้เลือกเรื่องที่น่ากลัวที่สุด ยิ่งจะต้องเปิด สหาย อย่ากลัวไปเลย ความจริงคนตายไปแล้ว ไม่มีอะไรต้องกลัว แค่หนังสยองขวัญ ไม่มีอะไรหรอก…”
ฟางผิงทำหน้าจนใจ ไม่มีอะไร พูดง่ายจริงๆ
ดีที่ไม่ใช่ตอนกลางคืน รอบๆ ก็มีคนอยู่เยอะ ทั้งเขาไม่ใช่คนขวัญอ่อนอะไร
แต่ยิ่งเดินเข้าไปด้านหลังลึกขึ้น คนก็ยิ่งน้อยลง เริ่มเห็นสถานที่อย่างสลัวๆ แสงจากไฟมืดลงไปไม่น้อย
ฟางผิงรู้สึกใจคอไม่ดีอยู่บ้าง นี่คงไม่ได้จงใจหรอกใช่ไหม?
——————