ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 133.2 ฝึกฝน (2)
ตอนที่ 133 ฝึกฝน (2)
ด้านนอกหน่วยสืบสวน
ฟางผิงมองคนอื่นๆ ครุ่นคิดพักหนึ่งก่อนจะจัดแจงว่า “ถ้าเป็นตอนกลางวันมีโอกาสน้อยที่หลินจวินจะออกมาเคลื่อนไหว พวกเราหาที่พักกันก่อน ตอนเย็นแบ่งกลุ่มละสองคน เข้าไปสำรวจบ่อนพนันใต้ดินแต่ละแห่ง หากเจอตัวแล้ว อย่าเพิ่งผลีผลามทำอะไร…”
ฟางผิงทิ้งช่วงเล็กน้อย มองไปยังถังซงถิง “ที่ฉันพูดไป ฟังไว้ด้วย! หากมีคนคิดว่าตัวเองสามารถจับอีกฝ่าย อยากได้ความดีความชอบ ฉันไม่ถือสาหรอก แต่ถ้าตาย อย่าโทษว่าฉันไม่เตือนพวกนายแล้วกัน ไม่มั่นใจก็ส่งข่าวให้คนอื่นทราบ เคลื่อนไหวพร้อมกัน!”
“งั้นถ้าหาไม่เจอล่ะ?”
“ขีดเส้นตายไว้สามวัน ถ้าหาไม่เจอค่อยทิ้งภารกิจไป ภารกิจล้มเหลวจะถูกหักสิบเปอร์เซ็นต์จากรางวัล ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
ครั้งนี้ไม่มีใครเห็นต่าง พวกเขาขับรถไปโรงแรมแห่งหนึ่งแถบชานเมือง เปิดห้องพักหลายห้อง
—
ในขณะเดียวกับที่พวกฟางผิงปฏิบัติภารกิจ สี่ทีมอื่นๆ ก็กำลังเคลื่อนไหวเช่นกัน
มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้
หวงจิ่งจัดการเอกสาร ทั้งเอ่ยด้วยรอยยิ้มไปพลาง “สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?”
“เฉินอวิ๋นซีไม่เหมาะจะเป็นหัวหน้าทีมเท่าไหร่ ไม่ค่อยแสดงความคิดเห็น ส่วนเรื่องอื่นๆ ต้องดูอีกที”
“ฟู่ชางติ่งไม่เลวเลย เข้ากับคนในทีมได้ดีทีเดียว ตอนที่รับภารกิจก็ปรับใช้ความคิดเห็นของทุกคน”
“จ้าวเหล่ยยังคงทระนงตัวอยู่บ้าง ไม่ยอมเข้ากับใคร รับภารกิจขั้นสองตอนต้น เป็นปัญหาอยู่บ้าง”
“หยางเสี่ยวม่านยังใช้ได้ ทำได้ดีเลย”
“ฟางผิง…”
คนที่รายงานสถานการณ์ของฟางผิงคือโจวสือผิง โจวสือผิงเว้นช่วงก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“เด็กคนนี้ทำเรื่องได้น่าไว้ใจ เป็นตัวเลือกหัวหน้าทีมที่เหมาะสมคนหนึ่ง แต่จะใจเย็นเกินไปบ้างเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นๆ ต้องดูอีกที ยังไงใจเย็นก็ดีกว่ามุทะลุอยู่แล้ว”
ถังเฟิงพูดผ่านหูฟังว่า “เด็กนี้ฉันรู้ดี ตอนที่ได้ผลประโยชน์จะค่อนข้างไว ส่วนเวลาที่เสียเปรียบจะหนีหายทันที นิสัยนั้นใช้ได้ แต่ฉันไม่ค่อยชอบ ฉันกลับรู้สึกว่าการแข่งขันแลกเปลี่ยนให้ฟู่ชางติ่งเป็นหัวหน้าทีมจะเหมาะสมกว่า”
“ฟู่ชางติ่งขาดแคลนฝีมืออยู่บ้าง อาจจะควบคุมจ้าวเหล่ยไม่อยู่เสมอไป”
“…”
ทุกคนปรึกษากันยกใหญ่ ก่อนหวงจิ่งจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เหล่าโจว บอกว่าเจ้าเด็กนั่นใจเย็นไม่ใช่เหรอ? สร้างปัญหาให้เขาหน่อยสิ ครั้งหน้าให้รับภารกิจขั้นสอง”
“ขั้นสอง?”
“ใช่ เปลี่ยนภารกิจ จากการคาดเดาของฉัน ครั้งหน้าอย่างมากเขาคงเลือกขั้นหนึ่งสูงสุด ลองให้เขารับภารกิจขั้นสองตอนต้น ดูว่าเผชิญหน้ากับสถานการณ์คับขัน เขามีปฏิกิริยายังไง รับมือยังไง สามารถนำทีมกลับมาอย่างปลอดภัยหรือไม่ ส่วนทีมอื่น ดูสถานการณ์แล้วค่อยว่ากัน ทางจ้าวเหล่ยนั้นบุ่มบ่ามเกินไป เพิ่งรับภารกิจแรกก็เลือกขั้นสองแล้ว คิดว่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองในโลกข้างนอกเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มีดีแต่ปราณหรือไง?”
ทุกคนคุยกันอีกสักพัก ค่อยสิ้นสุดการสนทนาไป
—
โรงแรมชานเมือง
ฟางผิงจามออกมา พึมพำว่า “มีคนคิดไม่ดีกับฉัน!”
เขาสะบัดหัว ก่อนจะหลอมกระดูกต่อ ตอนนี้มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้โหดร้ายกับพวกเขาขึ้นทุกวัน ต้องพยายามพัฒนาความสามารถให้เร็วที่สุด
—
ตกดึก ทุกคนแบ่งกลุ่มละสองคน ทั้งหมดเป็นห้ากลุ่ม มุ่งหน้าไปยังบ่อนพนันใต้ดินแต่ละแห่ง
แน่นอนถึงจะบอกว่าเป็นบ่อนพนันใต้ดิน ความจริงบ่อนบางแห่งกลับตั้งเป็นเพิงอย่างลวกๆ ขึ้นมา
รอจนถึงสิบโมงเย็น ก็มีกลุ่มหนึ่งเจอเบาะแสของหลินจวิน
สองคนที่พบหลินจวินไม่ได้บุ่มบ่ามลงมือ แต่แจ้งให้ทุกคนทราบก่อน
ตอนที่ฟางผิงไล่ตามมา หลินจวินนั้นถูกถังซงถิงจับได้เรียบร้อยแล้ว!
เห็นฟางผิงมาถึง ถังซงถิงเบะปากว่า “ฝีมืออ่อนอย่างกับพวกกากเดน ต้องมาสิ้นเปลืองเวลามากมาย ปรากฏว่าได้แค่หนึ่งแสนสองหมื่นหยวน สี่คะแนน คนละศูนย์จุดสี่เท่านั้น ฉันถึงบอกว่าควรรับภารกิจที่หนักกว่านี้หน่อย!”
ภารกิจราบรื่นอย่างน่าประหลาดใจ แม้หลินจวินจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งตอนกลางเหมือนกัน แต่เมื่อประมือกับถังซงถิง ชั่วพริบตาก็พ่ายแพ้แล้ว ไม่ได้ก่อความเคลื่อนไหวใหญ่โตอะไร
ถังซงถิงจึงไม่พอใจที่ฟางผิงทำให้เสียเวลาตั้งหนึ่งวัน
เขาคิดว่า ควรมาที่นี่ตั้งแต่เช้าแล้ว เพราะหลายวันมานี้เจ้าหลินจวินรั้งตัวอยู่ที่บ่อนพนันมาโดยตลอด!
จ้าวเสวี่ยเหมยกลับพูดว่า “ฟางผิงไปหน่วยสืบสวนเพื่อถามสถานการณ์ให้ชัดเจน ไม่งั้นคงจับอีกฝ่ายไม่ได้ง่ายๆ หรอก”
“งั้นถามเสร็จแล้ว ก็ควรลงมือเลยสิ”
“ลงมือตอนกลางคืนจะดีกว่า อีกอย่างไม่ได้เสียเวลาขนาดนั้น”
“พูดง่ายจัง เวลากระชั้นชิดแบบนี้…”
“พอได้แล้ว!”
ฟางผิงตะโกนตัดบท “ไม่พอใจ นายออกไปตอนนี้ได้เลย ยังมีใครอยากไป ให้ออกไปพร้อมกับถังซงถิง พวกนายไปทำภารกิจของพวกนาย ฉันจะยื่นคำร้องกับมหาวิทยาลัยให้ มหาวิทยาลัยจะได้จัดอาจารย์แบ่งให้พวกนายอีกกลุ่ม!”
“ถือสิทธิ์อะไรให้ฉันออกไป?”
ถังซงถิงเผยสีหน้าไม่พอใจ ฟางผิงเหลือบสายตามองเขาด้วยความเงียบ ผ่านไปสักพักค่อยเอ่ยว่า “ถ้านายยังงัดข้อกับฉันอีก ฉันรับรองว่าจะหาโอกาสสร้างเรื่องให้นายตาย ไม่เชื่อนายลองดูได้!”
“นาย…”
“นายคิดว่าฉันทำได้หรือเปล่าล่ะ?”
“ฉัน…”
ถังซงถิงสีหน้าเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก เขาไม่รู้ ทั้งไม่กล้าเดิมพัน
เพราะเขารู้ว่าก่อนหน้านี้ฟางผิงฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งตอนปลายตายไปแล้วสองคน
ไม่งั้นก่อนหน้านี้เขาคงไม่ถึงขั้นเงียบมาตลอดแบบนี้หรอก
ฟางผิงไม่สนใจเขาอีก กวาดสายตามองหลินจวินที่ถูกตีสภาพปางตาย หมุนตัวเดินไป พึมพำว่า “ดูท่าไม่ค่อยดีเลย”
ภารกิจครั้งแรกสบายเกินไป สบายจนตอนนี้ทุกคนมั่นใจตัวเองอย่างเต็มเปี่ยม คิดว่าสามารถทำได้ทุกอย่างแล้ว
เขายังเตรียมจะยืมภารกิจแรก โจมตีพลังบวกของทุกคนสักหน่อย
ฟางผิงวางแผนดิบดีแล้ว ให้พวกเขาลำบากสักสามวันก่อน ค่อยๆ ขัดเกลานิสัยของทุกคนไป
แต่ใครจะรู้ว่า ไอ้บ้าหลินจวินจะมาถูกจับตัวได้ตั้งแต่คืนแรก
ด้านนอกกลุ่มนั้น คนที่เข้าใจความคิดของฟางผิงมีแค่โจวสือผิง
เห็นแบบนี้จึงอยากขำอยู่บ้าง ลอบพูดในใจว่า ‘ครั้งนี้คงจะมองอะไรบางอย่างออกแล้ว’
ในตอนที่ทุกคนมั่นใจที่สุด รับภารกิจผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสอง
เผชิญกับอันตรายครั้งใหญ่ เขากลับอยากเห็นว่าฟางผิงจะรับมือยังไง
วิ่งหนี?
สู้ตายไม่ถอย?
ขอความช่วยเหลือ?
หรือวิธีอื่น อย่างเช่นขายเพื่อน?
ฟังจากคำพูดที่ฟางผิงเอ่ยกับถงซงถิงเมื่อครู่แล้ว ขายถังซงถิงเหมือนว่าจะไม่เกินไปแต่อย่างใด จะเกิดเหตุการณ์แบบนั้นจริงๆ หรือเปล่า?
มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้บ่มเพาะนักศึกษา ไม่เพียงแค่ดูความสามารถ บางครั้งควรจะเลี้ยงดูนักศึกษาคนหนึ่งเป็นพิเศษหรือไม่ ยังดูจากอีกหลายอย่าง
ในใจคิดเรื่องพวกนี้ แต่โจวสือผิงกลับเอ่ยอย่างเรียบนิ่งว่า “ถังซงถิงคนเดียวได้ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของรางวัล จ้าวชิง โจวเยวี่ยหงสองคนอีกยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ อีกเจ็ดคนที่เหลือแบ่งกันจากห้าสิบเปอร์เซ็นต์”
คำนวณแล้ว พวกฟางผิงยุ่งหัวหมุนทั้งวัน คนเดียวยังได้เงินไม่ถึงหนึ่งหมื่น ทั้งไม่ถึงครึ่งคะแนนด้วยซ้ำ
แม้ว่ามหาวิทยาลัยจะให้รางวัลอีกเท่าตัว ก็ยังได้ไม่ถึงหนึ่งคะแนนอยู่ดี
ฟางผิงไม่ได้พูดอะไร ถังซงถิงนั้นลำพองใจอย่างเห็นได้ชัด
กลับมาโรงแรม ทุกคนเริ่มปรึกษาถึงภารกิจครั้งที่สอง ครั้งนี้ทุกคนขอให้รับภารกิจผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งสูงสุด
ฟางผิงครุ่นคิดเล็กน้อย ไม่ปฏิเสธอะไรอีก รับภารกิจของหน่วยทหารมาอันหนึ่ง
ภารกิจนั้นค่อนข้างง่าย รู้ตำแหน่งของอีกฝ่าย เข้าไปโจมตีโดยตรงก็ได้แล้ว นักศึกษาสิบคน ร่วมมือกันโจมตีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งสูงสุดคนเดียวไม่ถือว่าเป็นเรื่องยาก
ฟางผิงเห็นทุกคนมั่นใจเต็มเปี่ยมก็ไม่ได้พูดอะไรอีก แต่มักจะรู้สึกว่าเหล่าโจวที่อยู่ด้านข้างนั้นยิ้มอย่างมีเลศนัยอยู่บ้าง
———————