ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 139.2 ใช้อาวุธอะไรดี (2)
ตอนที่ 139 ใช้อาวุธอะไรดี (2)
เมื่อครู่ถงซงถิงกำลังประมือจึงไม่ได้เห็นสถานการณ์ทางฟางผิง
จ้าวเสวี่ยเหมยยืนอยู่หน้าประตู กลับเห็นอย่างชัดเจน
ฟางผิงระเบิดปราณเต็มกำลัง โจมตีดาบไม่ต่ำกว่าห้าสิบดาบ!
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งปะทุปราณเต็มกำลัง ความเป็นจริงเพราะปราณมีจำกัด สามารถฟันออกไปยี่สิบสามสิบดาบนั่นถือว่าถึงขีดจำกัดแล้ว
นี่พูดถึงผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งสูงสุดที่หลอมกระดูกสองครั้งพวกนั้น!
ฟางผิงล่ะ?
แทบไม่มีหยุดพัก ฟาดดาบเต็มกำลังทุกครั้ง เหยาจินเฉิงต้านไหวสิถึงจะแปลก
ฟางผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จัดการที่นี่ก่อนเถอะ เก็บข้าวของให้หมด ฉันจะไปดูฝีมือของพวกตงอู๋สักหน่อย”
“ได้”
จ้าวเสวี่ยเหมยพยักหน้า ยังคงมองฟางผิงอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง
ปล่อยพลังปราณสู้ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองได้ ปราณของฟางผิงสูงเท่าไหร่กันแน่?
หลอมกระดูกสามครั้งแตกต่างกับทุกคนถึงขนาดนี้เลยเหรอ?
—
ด้านนอก
จ้าวเสวี่ยเหมยเดินเข้าไปก็มีคนเอ่ยขึ้นมาทันที “คนของเซี่ยงไฮ้เอาไม่อยู่แล้ว!”
“ดูสิ มีคนออกมาคนหนึ่ง…”
“เหมือนจะเป็นจางจื้อเฉียง เร็วเข้า!”
พวกหวังไหวจิ่นเพิ่งพูดคุยกัน กลับเห็นคนวิ่งออกมา มองดูแล้วคล้ายจางจื้อเฉียงอยู่บ้าง จึงมีคนไล่ตามไปทันที
ไล่ตามพักหนึ่ง จู่ๆ มีคนเอ่ยขึ้นว่า “หากคนของเซี่ยงไฮ้ตาย ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองที่อยู่ข้างในไล่ตามออกมาจะทำยังไง?”
หวังไหวจิ่นลังเลอยู่พักใหญ่ รอจนเห็นจางจื้อเฉียงตะลีตะลานตั้งท่าวิ่งมาทางพวกเขาจึงกัดฟันว่า “ร่วมมือกันฆ่าอีกฝ่ายก่อน อีกเดี๋ยวถ้าสถานการณ์ผิดปกติค่อยหนีกัน!”
พวกเขาเพิ่งขวางอยู่ด้านหน้า ชั่วพริบตานั้นจางจื้อเฉียงเอ่ยอย่างหมดหวังว่า “พวกนายเชื่อไม่ได้จริงๆ!”
หวังไหวจิ่นจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่บ้าง คนอื่นๆ ก็ชะงักไปเล็กน้อย จางจื้อเฉียงกลับตะโกนอย่างสิ้นหวัง “ฉันจะสู้กับพวกนายสักตั้ง!”
เขาเพิ่งประมือกับถังซงถิงมา สิ้นเปลืองปราณไปไม่น้อยแล้ว เวลานี้ด้านในยังมีอีกคนที่สามารถตัดคอผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองได้
จางจื้อเฉียงรู้ตัวว่าหนีไม่รอดแล้ว ภายใต้ความสิ้นหวังจึงไม่คิดสนใจเรื่องเจ็บตัวอีก
แม้จะถูกคนชกเข้ากลางอก ก็ไม่สนใจแม้แต่น้อย ใช้ดวงตาแดงก่ำไปด้วยเลือดจ้องผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งอย่างดุดัน!
คนอื่นๆ ต่างรีบลงมือ แต่คนที่ถูกจางจื้อเฉียงจ้อง กลับโดนโจมตีจนถอยหลังติดต่อกัน กระอักเลือดออกมาไม่หยุดหย่อน
หวังไหวจิ่นมีโทสะขึ้นมา เตะไปที่ท้ายทอยของจางจื้อเฉียงหลายครั้ง
แต่จางจื้อเฉียงเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งสูงสุดเช่นกัน ตอนนี้ไม่สนใจเรื่องชีวิตแล้ว
แม้ว่าสติจะไม่เต็มร้อยแล้ว กลับไม่คิดจะสนใจ ทั้งไม่คิดป้องกันตัว ยังคงไล่โจมตีคนที่อยู่ข้างหน้าคนนั้น
หวังไหวจิ่นที่โทสะสุมหัว ใช้สองมือรัดคอของจางจื้อเฉียง ก่อนจะบิดสุดกำลัง!
“กร๊อบ” เวลานี้จางจื้อเฉียงจึงแน่นิ่งไปแล้ว
เมื่อจางจื้อเฉียงตาย ทุกคนรีบเข้าไปตรวจดูอาการคนที่ถูกโจมตีเมื่อครู่
มีคนถอนหายใจว่า “ยังดี กระดูกอกหักไม่กี่ซี่ น่าจะบาดเจ็บไม่ถึงอวัยวะภายใน หมอนี้บ้าไปแล้วสินะ?”
เมื่อครู่จางจื้อเฉียงเหมือนสติแตกไปแล้ว แทบไม่คิดป้องกันตัวเองแม้แต่น้อย
หากไม่เป็นแบบนี้ ทุกคนคงไม่สามารถฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งสูงสุดคนนั้นให้ตายได้เร็วขนาดนี้หรอก
แต่เพราะเป็นเช่นนี้ จึงทำให้มีคนได้รับบาดเจ็บหนัก อย่างน้อยคงต้องใช้เวลารักษาร่างกายช่วงหนึ่ง
หวังไหวจิ่นเอ่ยพลางขมวดคิ้ว “เหมือนไม่ชอบมาพากลอยู่บ้าง พวกนายได้ยินที่เขาพูดเมื่อตะกี้หรือเปล่า?”
“เขาบอกว่าพวกเราเชื่อใจไม่ได้…”
“พวกเราแทบไม่ได้พูดอะไรเลย…”
“หรือว่า?”
ในขณะที่ทุกคนเต็มไปด้วยความสงสัย ตึกร้างที่อยู่ไม่ไกลนั้น พวกฟางผิงแบกกระเป๋าเล็กๆ เดินออกมา
พอเห็นพวกฟางผิงออกมา นอกจากถังซงถิงที่หอบหายใจเล็กน้อย ฟางผิงกลับเผยท่าทีเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น จ้าวเสวี่ยเหมยยิ่งแล้วใหญ่ไม่ได้ร่วมต่อสู้ด้วย
หวังไหวจิ่นเผยสีหน้าฉงนใจอีกครั้ง คนอื่นๆ ต่างแทบหยุดหายใจ
ฟางผิงเดินเข้ามา ปรายตามองจางจื้อเฉียง ก่อนจะมองผู้ฝึกยุทธ์ที่ได้รับบาดเจ็บคนนั้น ถามว่า “ต้องการความช่วยเหลือหรือเปล่า?”
“ไม่เป็นไร ขอบคุณ”
“ได้ งั้นพวกเราขอตัวก่อน ข้างในไม่มีคนแล้ว”
“อืม”
“…”
รอจนพวกฟางผิงเดินจากไป ทุกคนค่อยซุบซิบกันขึ้นมา “พวกเขาไม่ได้เจอผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองอย่างนั้นเหรอ?”
“น่าจะอย่างนั้น ฉันว่าคนสกุลถังอะไรนั่นคงจะเป็นคนลงมือ อีกสองคนดูเหมือนจะไม่ได้ทำอะไร”
“งั้นไม่ใช่ว่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองจะยังอยู่แถวนี้เหรอ?”
“พี่หวัง พวกเรารีบไปกันก่อนดีหรือเปล่า?”
หวังไหวจิ่นขมวดคิ้ว เอ่ยว่า “ดูสิว่าจางจื้อเฉียงพกยาบำรุงติดตัวมาบ้างไหม?”
“ไม่มี หมอนี่จนจริงๆ!”
หวังไหวจิ่นยังคงรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง ครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปยังตึกร้างที่อยู่ไม่ไกล
—
“หวังไหวจิ่นฝีมือใช้ได้เลย แต่ผู้ฝึกยุทธ์หกคนนี้แทบไม่มีอาวุธโลหะผสม ฉันดูแล้ว แม้จะพกอาวุธ ก็เป็นอาวุธธรรมดา ไม่ถึงระดับ E ด้วยซ้ำ”
ฟางผิงพูดต่อว่า “หวังไหวจิ่นน่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่หลอมกระดูกสองครั้ง แต่ยังหลอมไม่ได้เยอะ อย่างมากคงประมาณสี่สิบชิ้น ฉันเห็นตอนที่เขาโจมตี ขาซ้ายยังออกแรงได้ไม่พอ หลอมกระดูกน้อยเกินไป อีกอย่างจวงกงก็ไม่ได้ถึงระดับสอง หากอยู่ในเซี่ยงไฮ้ คงจะฝีมือสูสีกับพวกนาย แต่ไม่รู้ว่าจะอยู่ระดับไหนในตงอู๋”
“น่าจะเป็นหัวกะทิ” ถังซงถิงรับบทสนทนา ส่ายหัวว่า “แต่แม้จะสูสีกับฉัน เขาก็ไม่ใช่คู่มือของฉันอยู่ดี เมื่อกี้ฉันเห็นเหมือนกัน ไม่ได้ฝึกเคล็ดวิชาต่อสู้อะไรเป็นพิเศษ หรืออาจจะไม่ทันดึงออกมาใช้ หากคู่ต่อสู้ของเซี่ยงไฮ้เป็นคนพวกนี้ พวกเราคงชนะใสๆ”
“ห้าคนที่เหลือไร้ฝีมือยิ่งกว่า ถ้ามาเรียนที่เซี่ยงไฮ้ คงเข้าคลาสฝึกพิเศษไม่ได้ด้วยซ้ำ”
จ้าวเสวี่ยเหมยเอ่ยเช่นกัน “ไม่แปลกใจที่มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ทั่วไปจะร้อนใจแย่งชิงทรัพยากร ในมหาวิทยาลัยทั่วไป คนพวกนี้คงเป็นหัวกะทิ ปรากฏว่ากระทั่งอาวุธยังไม่มี อย่างแรกอาจเพราะไม่มีเวลาเรียนกระบวนท่าใช้อาวุธพื้นฐาน หรืออาจจะไม่มีคะแนนให้แลกเปลี่ยน ทั้งมหาวิทยาลัยไม่สามารถจัดสรรให้ฟรีๆ ได้”
ฟางผิงพยักหน้าเล็กน้อย หากนี่เป็นระดับหัวกะทิของเด็กใหม่มหาวิทยาลัยทั่วไปจริงๆ งั้นคงไม่มีความจำเป็นต้องกังวลเรื่องแข่งขันแลกเปลี่ยนแล้ว
จ้าวเสวี่ยเหมยและถังซงถิงกลับไม่ใส่ใจคนพวกนี้มากนัก เอาแต่มองฟางผิงอย่างไม่หยุดหย่อน
หมอนี่ฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองด้วยตัวคนเดียว?
ทั้งยังมีท่าทีสบายๆ อีก ขั้นหนึ่งจริงๆ งั้นเหรอ?
ฟางผิงไม่คิดสนใจพวกเขา เอ่ยชั่งใจว่า “ฉันควรจะเปลี่ยนไปใช้ขวานไม่ก็ค้อนสักอัน แรงจะได้เยอะหน่อย เอามาใช้ฟันติดต่อกันได้หลายคน ตอนนี้รู้สึกเสียดายอยู่บ้าง ตอนแรกน่าจะหลอมกระดูกช่วงบน ถ้าเป็นแบบนั้น…”
“ขวาน? ค้อน?”
พอนึกถึงฟางผิงยกขวานหรือค้อนบั่นคอคน แววตาของทั้งสองก็แปลกๆ ไปอยู่บ้าง ฟางผิงคิดอะไรกัน?
แต่ปราณของฟางผิงสูงจนน่ากลัว ลองจินตนาการดูแล้ว หากเปลี่ยนเป็นอาวุธหนักๆ แบบนี้ ต่อให้ฟางผิงระเบิดปราณจนหมด ยังสามารถฟันต่อไปได้ นั่นคงน่ากลัวไม่ใช่เล่น
ฟางผิงคิดอยู่ในใจ แต่ก็รู้สึกว่าไม่ดีเท่าไหร่ ใช้อาวุธพวกนี้ ตัวเองจะดูป่าเถื่อนเกินไป
ปราณของเขาแทบจะใช้ไม่หมด ขอเพียงแค่จิตใจไม่อ่อนล้าจนเกินไป เขาล้วนสามารถยืนหยัดสู้ต่อไปได้
ตอนที่เพิ่งจะตัดคอเหยาจินเฉิง ฟางผิงจึงพบว่าผู้ฝึกยุทธ์พวกนี้พอใช้ปราณจนหมดแล้ว ความกล้าล้วนเลือนหายไปหมด จัดการไม่ยากแล้ว
ครั้งหน้าแค่ต่อสู้สุดตัวกับใครคนหนึ่งจนปราณของอีกฝ่ายหมดก็ชนะง่ายๆ แล้วไม่ใช่หรือไง?
เมื่อเป็นแบบนี้ การหลอมกระดูกช่วงล่างถือว่ามีประโยชน์เหมือนกัน สามารถตามได้ทัน บีบให้อีกฝ่ายต่อสู้ตัวต่อตัว
“เปลี่ยนอาวุธดีหรือเปล่านะ?”
ฟางผิงจมดิ่งในความคิด ฉวยโอกาสที่ตอนนี้ตัวเองยังไม่กำหนดไปว่าจะใช้อาวุธอะไร สามารถเปลี่ยนแปลงได้ หากช้ากว่านี้กำหนดอาวุธไปแล้ว คงเปลี่ยนไม่ได้อีก
“รอฉันเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสอง หลอมกระดูกช่วงบน มีพลังแขนขึ้นมาแล้ว น่าจะออกแรงได้มากกว่าตอนนี้อีก คงจำเป็นต้องเปลี่ยนจริงๆ แล้ว…”
ขัดแย้งในใจอยู่พักหนึ่ง ฟางผิงค่อยถอนหายใจ รอกลับมหาวิทยาลัยค่อยว่ากันเถอะ
ไม่ว่าจะค้อนหรือขวานก็ดูป่าเถื่อนไม่น้อยเลยจริงๆ!
———————