ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 142.2 ใช้เงินเท่านั้นถึงจะสามารถแข็งแกร่งได้ (2)
- Home
- ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน
- ตอนที่ 142.2 ใช้เงินเท่านั้นถึงจะสามารถแข็งแกร่งได้ (2)
ตอนที่ 142 ใช้เงินเท่านั้นถึงจะสามารถแข็งแกร่งได้ (2)
ระหว่างที่คุยกัน ฟางหยวนชิงมือถือกลับมาอีกครั้ง ตะโกนว่า “ฟางผิง นายหาเงินได้เยอะจริงๆ เหรอ?”
“เธอคิดว่าไงล่ะ? อย่ามาเทียบกับฉัน ของเล่นเด็กอย่างเธอ รีบๆ หยุดไปดีกว่า แค่ฉันเผลอโอนในมือถือออกไปนิดเดียว บัญชีน้อยๆ ของเธอนั้นก็แทบสู้ไม่ได้ด้วยซ้ำ”
ฟางหยวนพองลมแก้ม พึมพำว่า “หาเงินเก่งจังเลยนะ ฉันมีเงินเหมือนกัน แต่ฉันยังเป็นเด็ก รอโตแล้วต้องหาเงินได้เยอะกว่านายแน่!”
“ใช่ๆๆ เธอเก่งอยู่แล้ว อย่าลืมหาซื้ออะไรดีๆ กินด้วย อย่าผอมล่ะ”
“รู้สึกเหมือนว่านายไม่ได้กำลังเป็นห่วงฉัน!”
ฟางหยวนบ่นอุบอิบ ทุกครั้งที่พี่ชายโทรมาเอาแต่พูดประโยคนี้ กินเยอะๆ หน่อย อย่าผอมล่ะ
“เด็กแสบนี่ ไม่รู้ถึงความปรารถนาดี พี่ชายเป็นห่วงเธอแท้ๆ…”
สองพี่น้องคุยกันอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะวางสายไป ฟางผิงกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที
ตลอดทั้งเดือนเอาแต่ตะลอนไปทั่ว เข่นฆ่าทำร้ายคนอื่น ต่อให้จะร่าเริงแค่ไหนก็รู้สึกมืดมนอยู่ดี
ตอนนี้กลับดีขึ้นมาไม่น้อย
—
รอจัดการเรื่องพวกนี้เสร็จแล้ว ฟางผิงจึงมองดูระบบตรงหน้าอีกครั้ง
ทรัพย์สิน : 15,180,000
ปราณ : 299 แคล (308 แคล)
จิตใจ : 256 เฮิรตซ์ (269 เฮิรตซ์)
หลอมกระดูก : 55 ชิ้น (90%) , 1 ชิ้น (45%) , 150 ชิ้น (30%)
“ยังเหลือกระดูกอีกเจ็ดชิ้น ช่วงล่างก็จะหลอมสำเร็จ ต้องใช้ค่าทรัพย์สินสี่ล้านห้าหมื่นหยวน กลัวแค่ว่าร่างกายจะรับไม่ไหว หากเป็นอย่างนั้น ต้องซื้อยาเพิ่มความแข็งแกร่งสักหน่อยแล้ว”
ฟางผิงครุ่นคิด หากร่างกายรับไหว ให้อัปเกรดถึงขั้นหนึ่งสูงสุดก่อน หากไม่ได้จริงๆ ค่อยไปซื้อยาเพิ่มความแข็งแกร่ง จะได้หลอมกระดูกให้เร็วขึ้น
ฟางผิงไม่ลังเลอีก เลือกอัปเกรดการหลอมกระดูก
ไม่นาน ก็รู้สึกชาที่กระดูกขึ้นมาอีกครั้ง
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง…
“ซี้ด…”
ฟางผิงรู้สึกว่าร่างกายปวดร้าวอยู่บ้าง อาการชาก่อนหน้านี้หายไปแล้ว
ตอนนี้การหลอมกระดูกเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
ทรัพย์สิน : 12,930,000
ปราณ : 297 แคล (312 แคล)
จิตใจ : 250 เฮิรตซ์ (269 เฮิรตซ์)
หลอมกระดูก : 59 ชิ้น (90%) , 147 ชิ้น (30%)
“ร่างกายถึงขีดจำกัดแล้ว ต้องซื้อยาเพิ่มความแข็งแกร่งไม่ก็พวกยาเสริมสร้างผิวหนังหรือยาเสริมสร้างเส้นเลือด”
ยังเหลือกระดูกสามชิ้น การหลอมกระดูกช่วงล่างถึงจะเป็นอันสำเร็จ
และตอนนี้ระยะห่างจากตอนที่เขาเข้าเรียน ครบสามเดือนพอดี!
“ต้องทำใจเสียเงินให้ได้ต่างหากถึงจะเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งได้…”
ฟางผิงคำนวณขึ้นมาอีกครั้ง ซื้อยาเพิ่มความแข็งแกร่ง อาวุธอะไรแล้ว งั้นต่อไปควรต้องฝึกวิชาดาบหรือเคล็ดวิชาต่อสู้จำพวกกระบองอะไรสักหน่อย
ดาบเฟิ่งจุ่ยสามารถแยกส่วนใช้เป็นกระบองได้ ทั้งใช้เป็นดาบได้เหมือนกัน
“วิชาหมัดมวยก็ต้องเรียนเพิ่มทักษะสักหน่อย ตอนนี้พื้นฐานเคล็ดวิชาต่อสู้ค่อนข้างมีอย่างจำกัด…”
—
วันต่อมา เวลาล่วงเลยเข้าสู่เดือนธันวาคม
ต้องเข้าเรียนอีกครั้ง ฟางผิงรู้สึกราวกับอยู่ในฝัน
เดือนก่อนพวกเขาไม่ได้เข้าเรียนวิชาวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยไม่ได้ช่วยเรื่องเรียนซ่อมแต่อย่างใด พวกเขายังต้องเรียนชดเชยเอง จึงต้องมาเข้าเรียนกับคลาสใหญ่ต่อ
กลุ่มของฟางผิงเข้ามา แววตานักศึกษาคนอื่นๆ ก็เปลี่ยนเป็นซับซ้อนทันที
ข่าวการตายของลู่คุนเฉียง คลาสเรียนปกติรู้เรื่องเหมือนกัน
ผู้ฝึกยุทธ์บางส่วนที่ไม่ได้เข้าคลาสฝึกพิเศษ ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจที่ไม่ได้เข้าร่วม พวกเขาจะต้องถูกดึงห่างออกไป
ในความเป็นจริงเรื่องนี่เห็นได้ชัดเจนอย่างยิ่ง
ตอนนี้สมาชิกของคลาสฝึกพิเศษแทบหลอมกระดูกข้างหนึ่งเสร็จสิ้นไปแล้ว แม้ว่าจะมีคนยังหลอมไม่เสร็จ แต่ไม่นานปัญหานี้จะหมดไปเหมือนกัน
แต่คนอื่นๆ ในคลาสปกติ หลายคนยังไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ด้วยซ้ำ แม้จะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ส่วนมากคนพวกนี้ก็หลอมกระดูกได้ไม่เยอะอยู่ดี
ระยะห่างของพวกเขากับคลาสฝึกพิเศษนั้น ไม่ใช่แค่เรื่องของการหลอมกระดูก
ยังมีเรื่องความชำนาญของเคล็ดวิชาต่อสู้ ประสบการณ์คาวเลือดและการต่อสู้ในสถานการณ์จริง
แม้ว่าตอนนี้ทุกคนจะมีปราณและจำนวนหลอมกระดูกที่เหมือนกัน แต่ตอนนี้นักศึกษาคลาสฝึกพิเศษสามารถเอาชนะพวกเขาได้อย่างแน่นอน
ฟางผิงเพิ่งจะนั่งลงเก้าอี้ ก็ได้ยินคนด้านข้างซุบซิบกันว่า “จะปฏิรูปแล้วจริงๆ!”
“เป็นเรื่องโกหกที่ไหนกันล่ะ จะปฏิรูปจริงๆ ตอนนี้กำลังขอความเห็นของแต่ละฝ่าย ปี 2009 น่าจะนำมาบังคับใช้แล้ว”
“ไม่กระทบกับพวกเราเท่าไหร่ใช่หรือเปล่า? แม้จะแบ่งระดับขั้นใหม่อีกครั้ง พวกเราคงไม่มีปัญหาอะไรมาก หลักๆ คงเป็นพวกผู้ฝึกยุทธ์ที่มีดีแต่ปราณ”
“นอกจากเรื่องนี้ ยังมีการเปลี่ยนแปลงอย่างอื่นอีก!”
มีนักศึกษาพูดอย่างมีลับลมคมใน “ฉันได้ยินว่า รัฐบาลตั้งใจจะส่งเสริมศิลปะการต่อสู้! หลังจากนี้ทางการแต่ละพื้นที่จะจัดแข่งขันเวทีประลอง การแข่งขันต่อสู้ทั่วประเทศอะไรทำนองนี้ ก่อนหน้านี้ผู้ฝึกยุทธ์ที่ประมือกัน ถูกปิดข่าวอย่างมิดชิด ในอินเตอร์เน็ตแทบไม่มีรายการแบบนี้โผล่มาให้เห็น แต่ฉันได้ยินว่าต่อไปการแข่งขันพวกนี้จะถูกถ่ายทอดสด ไม่ใช่แค่ในอินเตอร์เน็ต แต่ออกอากาศผ่านข่าวใหญ่เลย ถึงกระทั่ง…มีคนเสนอว่า การแข่งขันชี้เป็นชี้ตายสามารถถ่ายทอดสดได้เหมือนกัน ให้คนธรรมดาได้ดูการต่อสู้นองเลือดด้วย!”
“ไม่หรอกน่า?”
มีคนคิดว่าไม่เหมาะสม เอ่ยอย่างไม่เห็นด้วย “แบบนี้ไม่เหมาะเท่าไหร่ อย่างครอบครัวของพวกเรา ส่วนมากล้วนเป็นคนชนชั้นธรรมดา ดูรายการพวกนี้ ทางบ้านต้องเป็นห่วงพวกเราแน่ ถึงกระทั่งไม่กล้าให้ลูกหลานเรียนศิลปะการต่อสู้…”
“กำลังสำรวจกันอยู่ แต่ฉันคิดว่าไม่เป็นไร คนที่เรียนก็ต้องเรียนอยู่ดี”
“…”
พวกเขาวิพากษ์วิจารณ์กัน พวกฟางผิงกลับเผยสีหน้านิ่งเฉยเฉกเช่นปกติ แน่นอนว่าในใจยังคงปั่นป่วนอยู่บ้าง
มีการเคลื่อนไหวแล้ว!
นี่เป็นลางสังหรณ์ของสถานการณ์ที่เปลี่ยนเป็นเลวร้าย?
หรือว่าถือโอกาสเล่นตามน้ำ วางแผนค่อยๆ เผยฉากนองเลือดอย่างแท้จริงของผู้ฝึกยุทธ์ให้คนธรรมดาได้เห็น?
นับวันอินเตอร์เน็ตก็ยิ่งรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ มีข้อมูลข่าวสาร ทั้งเผยแพร่อย่างรวดเร็ว
แทนที่จะให้พวกลัทธินอกรีตก่อเรื่อง อีกอย่างสังคมอาจจะอยากรู้ถึงโลกที่แท้จริงอย่างช้าๆ เช่นกัน
แน่นอนว่าตอนนี้เพิ่งจะเริ่มเท่านั้น สู้ให้คนธรรมดาได้รับทราบเรื่องทั้งหมด ให้พวกเขาเข้าใจว่าผู้ฝึกยุทธ์ไม่ได้สุขสบายอย่างที่คิดขนาดนั้นดีกว่า
ไม่ได้อยู่อย่างสบายอกสบายใจ พวกเขาตายเป็นเหมือนกัน ทั้งยังต้องต่อสู้เอาเป็นเอาตายแลกกับความก้าวหน้า
และการถ่ายทอดสดการแข่งขันพวกนี้บนทีวีอย่างเป็นทางการ ทำให้ผู้ฝึกยุทธ์มีชื่อเสียง ทำให้เป็นที่รู้จัก ทั้งเพื่อกระตุ้นให้คนธรรมดาใฝ่ฝันที่จะเป็นผู้ฝึกยุทธ์มากขึ้น
ฟางผิงไม่รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย ทั้งไม่รู้ว่าจะมีประสิทธิภาพหรือเปล่า
แต่ข้อดีสุดท้ายต้องมีบ้างอยู่แล้ว ทำให้ผู้ฝึกยุทธ์บางคนได้ระบายความอัดอั้นตันใจ
ผู้ฝึกยุทธ์หลายคน ตายอย่างไร้ชื่อเสียงเรียงนาม กล่าวว่าตายเพื่อมนุษยชาติไม่ได้เกินไปเลย
พวกเขาตายอย่างเงียบเชียบ ตายทั้งที่ไม่รู้ว่าคุ้มค่าหรือไม่ ให้คนธรรมดาได้รู้มากขึ้นจะทำให้ผู้ฝึกยุทธ์พวกนี้มีชื่อเสียงขึ้นมา
แม้จะแค่เล็กน้อย แค่เสี้ยวนาทีที่นึกถึงพวกเขาก็ยังดีกว่าตายแบบไม่มีใครรู้อะไร
อีกอย่างเรื่องจัดการแข่งขัน ผู้ฝึกยุทธ์ที่มีดีแค่ปราณบางส่วน บางทีอาจจะเริ่มเบนมาทางผู้ฝึกยุทธ์สู้รบจริงแทน
ผู้ฝึกยุทธ์ในสังคมทั่วไปและผู้ฝึกยุทธ์สู้รบจริง แตกต่างกันแค่เรื่องเคล็ดวิชาต่อสู้เท่านั้น
หลายคนคิดเปลี่ยนสาย อันที่จริงยังเป็นเรื่องง่าย
“แบบนี้แล้วผู้ฝึกยุทธ์ต่ำกว่าขั้นสามคงมีโอกาสสร้างชื่อเช่นกัน”
ในชั้นเรียนมีคนพูดประโยคนี้ขึ้นมา ทำให้หลายคนเกิดระลอกคลื่นในใจ
เมื่อก่อนคนที่โด่งดังล้วนเป็นพวกปรมาจารย์
ผู้ฝึกยุทธ์ต่ำกว่าขั้นสามจะมีกี่คนที่เป็นที่รู้จักกัน?
แต่เมื่อการแข่งขันถูกเปิดม่าน คงมีการจัดการแข่งขันของระดับต่ำกว่าขั้นสามเช่นกัน นี่เป็นโอกาสที่ผู้ฝึกยุทธ์ต่ำกว่าขั้นสามจะมีชื่อเสียง
“พวกนายว่า จะมีการจัดอันดับเหมือนปรมาจารย์หรือเปล่า เป็นการจัดอันดับผู้ฝึกยุทธ์ต่ำกว่าขั้นสามหน้าใหม่ที่มีอิทธิพล?”
“เป็นไปได้สูง!”
“…”
ตอนนี้การจัดอันดับต่ำกว่าขั้นสาม ส่วนมากล้วนเป็นคนของหน่วยทหารครองอยู่ส่วนใหญ่ หลายองค์กรจัดอันดับแค่สร้างความครื้นเครงให้ตัวเองเท่านั้น ไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะ มีแค่คนบางส่วนเท่านั้นที่ดู
แต่หลังจากนี้บางทีอาจมีการจัดอันดับต่ำกว่าขั้นสามเปิดเผยต่อสาธารณะชนแล้ว
ฟางผิงความคิดล่องลอยไปไกล ในใจไม่รู้ว่ากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
———————