ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 145.2 เคล็ดวิชาต่อสู้ระดับกลาง (2)
ตอนที่ 145 เคล็ดวิชาต่อสู้ระดับกลาง (2)
“ยังไงฉันก็ไม่สนใจ ฉันอยากไป ทั้งอยากไปดูมหาวิทยาลัยของพวกนายด้วย…”
“มีอะไรน่าดูกัน”
“เซี่ยงไฮ้เป็นมหาวิทยาลัยในอนาคตของฉัน ต้องไปดูสภาพแวดล้อมที่นั่นอยู่แล้ว…”
ฟางผิงหลุดขำ “เธอคิดการณ์ไกลจริงๆ เพิ่งจะอยู่มอต้นปีสาม ตอนนี้ไม่ตั้งใจเรียนหนังสือ จะสอบเข้าเซี่ยงไฮ้ได้ยังไง!”
ว่าแล้ว ฟางผิงรีบเอ่ยต่อว่า “ฉันยังมีธุระที่ต้องทำ วางละ”
“อย่าลืมจองตั๋วให้ฉันด้วย!”
“ไว้ค่อยว่ากัน”
ฟางผิงวางสาย ก่อนจะเห็นหลู่เฟิ่งโหรว จึงเอ่ยถามทันที “อาจารย์ครับ เปิดการแข่งขันแลกเปลี่ยนให้ประชาชนร่วมชมด้วยมันยังไงกันแน่?”
หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่เห็นแปลก มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เป็นสิ่งที่ใกล้ตัวคนธรรมดาที่สุด ทั้งเป็นที่รู้ทั่วกันว่ามีผู้ฝึกยุทธ์มากที่สุด ครั้งมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เก้าสิบเก้าแห่งเข้าร่วมการแข่งขันแลกเปลี่ยน เป็นผลดีต่อคนธรรมดาที่ปรารถนาอยากเป็นผู้ฝึกยุทธ์ และทำให้พวกเขาได้เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องผู้ฝึกยุทธ์ลึกซึ้งขึ้น พวกเธอต่างอยู่ขั้นหนึ่ง ก่อนหน้านี้ก็เป็นคนธรรมดามาก่อน จึงเหมาะสมที่จะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์กลุ่มแรกที่เปิดเผยต่อประชาชน รอถึงปีหน้าแล้ว คงมีนักศึกษาสอบเข้าสายศิลปะการต่อสู้มากขึ้นกว่าเดิม…”
“แต่ว่า…”
“กลัวว่าพ่อแม่จะรู้ เป็นห่วงพวกเธอ?”
“ใช่ครับ”
“ไม่เป็นไรหรอก อันที่จริงแบบนี้ก็ดี หากแข่งขันกันแบบลับๆ…”
หลู่เฟิ่งโหรวส่ายหัวเล็กน้อย “คงจะบาดเจ็บล้มตายไปกว่าครึ่งเป็นอย่างต่ำ!”
“แต่ตอนนี้เปิดเผยกับข้างนอก จึงไม่อาจต่อสู้โหดเหี้ยมขนาดนั้นแล้ว ทั้งต้องมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงคอยควบคุมดูแล เพื่อจะช่วยเหลือได้ทันท่วงที สำหรับพวกเธอแล้วถือเป็นเรื่องดี สามารถลดการบาดเจ็บล้มตายลงได้”
หากแข่งขันกันแบบลับๆ ทุกคนต่อสู้จนตายกันไปข้างคงไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร
แต่เมื่อเปิดเผยต่อภายนอก เว้นเสียแต่ว่าไม่ทันจริงๆ นอกเหนือจากนั้นผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงหลายคนคงเตรียมให้การช่วยเหลืออยู่แล้ว
สำหรับพวกฟางผิง ถือเป็นเรื่องดีจริงๆ
พวกอาจารย์ไม่อาจนั่งดูพวกเขาตายอย่างเดียวอีกแล้ว
ส่วนเรื่องบาดเจ็บ…
หากกระทั่งผู้ฝึกยุทธ์ยังไม่อาจบาดเจ็บได้ งั้นยังจะมาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ทำไม!
หรือจะต่อสู้กันเพื่อเป็นการแสดงให้คนธรรมดาดูเท่านั้น?
ให้พวกเขาคิดว่าผู้ฝึกยุทธ์เรียนแต่กระบวนท่าสวยๆ แต่เอามาใช้การจริงไม่ได้?
ฟางผิงได้ยินแบบนั้นจึงไม่พูดอะไรอีก หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยว่า “ตอนนี้ยังไม่ยืนยันว่าจะเปิดเผยต่อสาธารณะหรือไม่ แต่มีความเป็นไปได้สูง ไม่ต้องคิดมากหรอก สำหรับพวกเธอถือเป็นเรื่องดี หากเปิดเผยกับภายนอกได้ ขอแต่ไม่ถูกคนโจมตีตายในครั้งเดียว ฉันก็มีเหตุผลช่วยเธอได้”
“แค่กๆๆ…”
ฟางผิงยิ้มเจื่อน “ผมไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นสักหน่อย?”
“เธอคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งมาก?”
หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยอย่างดูแคลน “วางอำนาจในหมู่เด็กใหม่เซี่ยงไฮ้ ไม่ถือว่าเยี่ยมยอดอะไร อันที่จริงเซี่ยงไฮ้นั้นนับว่าอ่อนโยนอยู่บ้าง ทางปักกิ่งแข็งแกร่งกว่าพวกเรา มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้แห่งอื่นอาจจะด้อยกว่าพวกเรา แต่นั่นคือโดยรวม ไม่ได้หมายถึงคนใดคนหนึ่ง! ทางซีเป่ยถึงกระทั่งให้นักศึกษาใหม่เข้าไปในถ้ำใต้ดิน!”
“โหดขนาดนั้นเลย?”
“โหดงั้นเหรอ? ลองใช้สมองของเธอคิดดู หากเซี่ยงไฮ้และปักกิ่งถูกลดทรัพยากรสามสิบเปอร์เซ็นต์ สิ่งที่พวกเขาได้ไปไม่ใช่แค่สองหมื่นล้าน! แต่ยังรวมถึงส่วนแบ่งกำไรของบริษัทผลิตยาบำรุงและอาวุธของสองมหาวิทยาลัยชื่อดัง นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เกี่ยวพันไปถึงทรัพย์สินมูลค่ากว่าแสนล้าน! เฉลี่ยแต่ละแห่งแล้ว ก็มากกว่าพันล้าน สูญเสียชีวิตของนักศึกษาใหม่ไม่กี่คน บ่มเพาะผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางและสูงออกมาหนึ่งคน เธอคิดว่าคุ้มหรือเปล่าล่ะ?”
ฟางผิงปิดปากเงียบอีกครั้ง
หลู่เฟิ่งโหรวไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกแล้ว เปลี่ยนเข้าประเด็นหลัก “อย่าคิดเรื่องไม่มีประโยชน์พวกนี้เลย วันนี้ฉันจะสอนวิชาฝีเท้าและเคล็ดวิชาดาบให้เธอ เธอลองอ่านข้อมูลการฝึกพลังก่อน…”
หลู่เฟิ่งโหรวชี้ไปยังหนังสือกองใหญ่ที่อยู่ด้านข้าง
ฟางผิงเอ่ยอย่างแปลกใจ “เยอะขนาดนี้เลยเหรอครับ?”
“เคล็ดวิชาต่อสู้ระดับกลาง ข้องเกี่ยวกับทฤษฎีค่อนข้างมาก ทั้งอธิบายแจกแจงอย่างละเอียด เธอลองอ่านรวมๆ ดูก่อน ฉันจะสาธิตให้ดูหลายรอบ ถ้าเธอไม่เข้าใจค่อยถามฉัน”
“ครับ”
—
ฟางผิงพลิกอ่านหนังสือผ่านๆ
วิชาฝีเท้ามีชื่อท่าค่อนข้างเรียบง่าย…ท่าเคลื่อนเมฆ
ส่วนชื่อของเคล็ดวิชาดาบ ดูเจ๋งกว่ามาก…ดาบคลั่งโลหิต!
แน่นอนว่า ดูปัญญาอ่อนอยู่บ้างเหมือนกัน
หลู่เฟิ่งโหรวเห็นเขาจ้องดูชื่อหนังสือเลยเอ่ยปากออกไป “นี่เป็นเคล็ดวิชาดาบที่คิดค้นโดยผู้ว่าจางมณฑลหนานเจียงของพวกเธอ ตอนที่เขายังวัยรุ่นค่อนข้าง…บ้าๆ บ๊องๆ ตั้งชื่อเป็นแนวนี้เหมือนกันหมด (ดาบคลั่งโลหิต) เป็นแค่หนึ่งในนั้น (ดาบพิชิตสวรรค์) (ดาบปราบเซียน) อะไรก็มีทั้งนั้น ฟังดูเหมือนยิ่งใหญ่เกรียงไกร ความเป็นจริงแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหกเท่านั้น…อ่อ ตอนนี้ขั้นเจ็ดแล้ว ตอนแรกถูกฉันอัดจนต้องเรียกว่ากูหน่ายหนาย[1]…เฮ้อ คนเก่งจริงต้องไม่โม้เรื่องในอดีตล่ะนะ…”
“แค่กๆๆ…”
ฟางผิงสำลักไอทันที!
เรื่องจริงเหรอเนี่ย?
ผู้ว่าจางชื่อเสียงเลื่องลือคนนั้น เขาไม่ใช่เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก
เพิ่งจะมาเกิดใหม่ ผู้ว่าจางก็กลายเป็นปรมาจารย์แล้ว เป็นข่าวใหญ่ที่คนหนานเจียงรู้โดยทั่วกัน
อีกฝ่ายจบจากมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียง พวกหวังจินหยางพูดถึงอยู่บ่อยๆ เช่นกัน การเปลี่ยนแปลงของมหาวิทยาลัยหนานเจียงมีส่วนเกี่ยวข้องกับอีกฝ่าย
แต่ตอนนี้นึกไม่ถึงว่าหลู่เฟิ่งโหรวจะพูดว่า ตอนที่อีกฝ่ายยังหนุ่มถูกเธออัดจนต้องเรียกว่ากูหน่ายหนาย คงไม่ได้พูดเกินจริงหรอกนะ?
ฟางผิงคาดไม่ถึงเหมือนกันว่าเคล็ดวิชาดาบนี้จะคิดค้นโดยผู้ว่าจาง
“อาจารย์รู้จักผู้ว่าจางเหรอครับ?”
“ไร้สาระ ไม่งั้นจะเอาวิชาดาบนี้มาได้ยังไง? อันที่จริงปีนั้นเขาคิดจะตามจีบฉัน ไม่ดูสภาพของตัวเองเลย! ตอนนั้นอาจารย์ของเธอ เป็นดอกไม้ในฝูงผึ้ง เข้าถ้ำใต้ดินครั้งแรก ผู้ชายที่ร่วมเดินทางกว่าสิบคนมีใครบ้างที่ไม่หลงเสน่ห์ฉัน? เวลานั้นมหาวิทยาลัยหนานเจียงมาเข้าปากถ้ำที่เซี่ยงไฮ้เลยได้พบกัน เมื่อวานฉันก็ถามเรื่องฝึกวิชาจากเขา หมอนั่นไม่ได้ปฏิเสธ เอาใจใส่ฉันไม่น้อย ยังบอกว่ากลับไปจะอธิบายให้ฉันฟังด้วยตัวเอง ฉันไม่คิดสนใจเขา…”
‘นี่กำลังโม้อยู่สินะ?’
ฟางผิงพึมพำในใจ มีความเป็นไปได้สูง!
หลู่เฟิ่งโหรวไม่ได้โม้เป็นครั้งแรก
ตั้งแต่ชื่อที่เธอตั้งเองว่า ‘อู่อู๋ตี๋’ ก็น่าจะมองออกแล้ว
หากบอกว่าเธอรู้จักผู้ว่าจาง จุดนี้ฟางผิงคงไม่สงสัย แต่หากบอกว่าอีกฝ่ายหลงเสน่ห์หลู่เฟิ่งโหรว จนถึงตอนนี้ยังอาลัยอาวรณ์ ฟางผิงเชื่อไม่ลงจริงๆ
แต่ไม่แน่เหมือนกัน เรื่องนี้ใครก็พูดไม่เต็มปาก
พอรู้ว่าผู้ว่าจางเป็นคนคิดค้นเคล็ดวิชาดาบนี้ ฟางผิงจึงเพิ่มความสนใจขึ้นมา เขาและหนานเจียงเหมือนจะมีชะตาที่ตัดไม่ขาดกัน
ฟางผิงก้มหน้าอ่านคำแนะนำของเคล็ดวิชา ดาบคลั่งโลหิต ความจริงดูจากชื่อก็พอจะเดาความหมายออกแล้ว
เป็นเคล็ดวิชาดาบที่ต้องระเบิดปราณออกมาตลอด และโจมตีอย่างรุนแรง กระบวนท่ามีไม่เยอะ
ทั้งหมดเจ็ดดาบ ดาบจะทวีพลังแข็งแกร่งในทุกครั้งที่ฟันออกไป เมื่อออกครบเจ็ดดาบเป็นอันต้องตาย!
เพราะเจ็ดดาบที่ฟันลงไป ไม่ว่าคุณจะมีปราณเท่าไหร่ ดาบสุดท้ายเป็นดาบที่ระเบิดพลังทั้งหมดออกไป
เวลานี้หากศัตรูไม่ตาย คุณก็ต้องตาย
“งั้นถ้าฉันระเบิดปราณอย่างต่อเนื่องล่ะ?”
ฟางผิงแววตาเป็นประกาย ปะทุพลังออกไปติดต่อกันเจ็ดดาบ ปราณฟื้นฟูกลับมาเหมือนเดิม ไม่ใช่ว่าจะสามารถระเบิดพลังได้อย่างไม่ขาดสายหรอกเหรอ?
เวลานี้ฟางผิงจึงกระตือรือร้นขึ้นมา เริ่มตั้งใจพลิกอ่าน
ผ่านไปสักพัก ฟางผิงก็จมดิ่งกับความคิด ดาบคลั่งโลหิต ไม่ใช่ปะทุแค่ปราณเท่านั้น ยังมีข้อจำกัดอย่างอื่น
เส้นเดินปราณ อวัยวะภายใน กระดูก ผิวหนัง…
เรื่องปราณเขาคงไม่มีปัญหา แต่เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นข้อกำจัด
“น่าเสียดาย ฉันไม่ได้หลอมกระดูกช่วงบน หวังว่าก่อนการแข่งขันแลกเปลี่ยน แตะถึงขั้นสองแล้ว จะหลอมกระดูกช่วงบนได้บางส่วน เป็นแบบนี้ฟันไปเจ็ดดาบ มากี่คนก็จัดการได้เท่านั้น…”
อ่านเคล็ดวิชาดาบแล้ว ฟางผิงจึงเปิดอ่านวิชาฝีเท้าต่อ
(ท่าเคลื่อนเมฆ) ไม่ได้ซับซ้อนอะไร ใช้การแสดงพลังที่ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ ระเบิดปราณทำให้เคลื่อนไหวเร็วยิ่งขึ้น และเป็นแบบแผนมากขึ้น…
อ่านคร่าวๆ หนึ่งรอบแล้ว ฟางผิงคิดว่าตัวเองคงเรียนเรื่องพวกนี้ได้ไม่ยาก
เงื่อนไขในนี้คือการระเบิดปราณ เขาทำได้อยู่แล้ว ทั้งยังระเบิดปราณได้อย่างไม่ขาดสายด้วย
เงื่อนไขการฝึกพลัง เขาก็ไม่มีปัญหา แค่ต้องฝึกฝนอย่างเป็นประจำ หลักๆ อยู่ที่ความแข็งแกร่งของปราณ
ตอนนี้เขาเพิ่งตระหนักได้ว่า ความแข็งแกร่งของปราณมีประโยชน์กว่าที่คิดเยอะ ไม่แปลกใจที่ตอนสอบเกาเข่าถึงมีการวัดระดับปราณ
—————–
[1]กูหน่ายนาย เป็นคำเรียกแทนผู้หญิงด้วยความเคารพ มักใช้ระหว่างคู่รัก