ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 146 ความหมายที่แท้จริงของเคล็ดวิชาต่อสู้ (1)
ตอนที่ 146 ความหมายที่แท้จริงของเคล็ดวิชาต่อสู้ (1)
เดือนธันวาคมอากาศค่อยๆ เย็นลง
ทางใต้ยังพอว่า แต่บางแห่งในทางเหนือกลับเริ่มมีหิมะตกแล้ว
เขตสือเหมินของทางเหนือ ไม่กี่วันก่อนเกิดพายุหิมะถล่ม
โลกภายนอกต่างคิดว่าเป็นเพราะสภาพอากาศแปรปรวน เดิมทีทางเหนือก็อากาศหนาวอยู่แล้ว จึงไม่ได้สนใจอะไรมาก
แต่พวกฟางผิงกลับรู้ดี สภาพอากาศที่เลวร้ายต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของถ้ำใต้ดินแน่
—
โซนหอพัก
ข้างที่หลบภัย
ฟางผิงเปลี่ยนสถานที่ฝึกวิชาของตัวเอง จากห้องฝึกซ้อมเป็นที่หลบภัย
จากคำพูดของหลู่เฟิ่งโหรว ที่นี่เงียบสงบ ทั้งอากาศดีกว่าเล็กน้อย
แต่ตามที่ฟางผิงเข้าใจ เป็นเพราะอาจารย์คนนี้ของเขา ไม่ชอบเรื่องยุ่งยาก ระยะทางจากโซนหอพักถึงห้องฝึกซ้อมอยู่ไกลกันทีเดียว
ริมอ่างเก็บน้ำ
ดาบยาวในมือฟางผิงเคลื่อนไหวอย่างว่องไว สิ้นเสียงคำราม ดาบก็ฟันลงมาทันที!
ก้อนหินริมอ่างเก็บน้ำปรากฏรอยแยกในชั่วพริบตา ก่อนจะแตกออกเป็นหลายก้อน
ฟางผิงสูดลมหายใจเข้าลึก แววตาปรากฏความดีใจ
หลู่เฟิ่งโหรวที่อยู่ด้านข้างขมวดคิ้วเล็กน้อย “กลับไปจัดหินพวกนั้นให้ดีๆ ด้วย ให้เธอฝึกวิชา ใครใช้ให้ทำลายสิ่งแวดล้อมกัน?”
ฟางผิงยิ้มเจื่อนขึ้นมาทันที เอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า “อาจารย์ ดาบตัดหินได้…”
“ภูมิใจมากงั้นสิ?”
“เปล่าครับ…”
ปากบอกปฏิเสธ แต่ความจริงกลับชัดเจน เขารู้สึกภูมิใจอยู่บ้างจริงๆ
นี่เพิ่งจะสามวัน เขาสามารถฝึกดาบแรกออกมาได้แล้ว
“รอเธอฟันออกมาได้เจ็ดดาบในครั้งเดียวค่อยภูมิใจตอนนั้นก็ไม่สาย!”
หลู่เฟิ่งโหรวกล่าวโจมตี ก่อนจะมองหินที่แตกกระจุย ขมวดคิ้วเล็กน้อยว่า “พลังกระจัดกระจายเกินไป เมื่อไหร่ที่เธอฟันให้หินแตกเป็นสองส่วนได้ในดาบเดียว นั่นถึงจะนับว่าเป็นความสำเร็จเล็กๆ”
เมื่อครู่ฟางผิงไม่ได้ฟันหินให้แตก แต่เป็นการกระทบต่างหาก!
เมื่อได้ฟัง ฟางผิงจึงเอ่ยอย่างจนใจ “ดาบเฟิ่งจุ่ยยึดความแข็งแรงเป็นหลัก…”
“อย่าพล่ามไร้สาระ หรือความแข็งแรงหมายความว่าไม่จำเป็นต้องใช้พลังควบคุม?”
หลู่เฟิ่งโหรวตำหนิ ว่าแล้วก็คว้าดาบเฟิ่งจุ่ยในมือฟางผิงไป ก่อนจะสะบัดกับพื้นดิน
ฟางผิงแทบไม่ได้มองอย่างละเอียด ทั้งไม่ได้ยินเสียงดังเหมือนที่เขาโจมตีหินเมื่อครู่ ทั้งหมดสิ้นสุดด้วยความเงียบงัน
หลู่เฟิ่งโหรวไม่พูดอะไรเช่นกัน ตวัดดาบพักหนึ่ง ก่อนจะโยนคืนให้ฟางผิง
ฟางผิงไม่ได้สนใจดาบ รีบก้มหน้ามอง
ก่อนจะเห็นหินที่เขาทำแตกเมื่อครู่ ก้อนเล็กๆ ก้อนหนึ่งถูกแบ่งเป็นแปดชิ้นอย่างเท่าๆ กัน
ฟางผิงรีบค้อมกายลง เก็บหินเล็กๆ ก้อนหนึ่งมาลูบดู หน้าตัดของก้อนหินเกลี้ยงเกลาอย่างยิ่ง!
“อาจารย์ครับ นี่มัน…”
“เธอเปลี่ยนอาวุธ ไม่ใช่เพราะว่าอยากระเบิดพลังที่รุนแรงกว่าเดิม ทั้งสามารถระเบิดพลังฆ่าศัตรูได้หรือไง แต่การระเบิดพลังไม่ได้หมายถึงการแสดงพลังที่รุนแรงอย่างเดียว”
หลู่เฟิ่งโหรวส่ายหัวว่า “เธอรู้จักแต่ใช้พลังแรงๆ การแลกเปลี่ยนความรู้ของเธอกับคนอื่น ฉันเคยเห็นเหมือนกัน ฟันดาบลงไปอย่างทื่อๆ เจอคนที่ปราณและเคล็ดวิชาต่อสู้ด้อยกว่าเธอ นั่นยังพอพูดได้ แต่เธอจะรังแกแค่คนพวกนี้อย่างงั้นเหรอ? ทุกดาบที่ฟันลงไป พลังกระจัดกระจายไปทั่ว ดูเหมือนน่าเกรงขาม แรงจนง่ามมือของศัตรูปริแตก…แต่เป้าหมายของเธอทำเพื่อให้ง่ามมือศัตรูบาดเจ็บเท่านั้นเหรอ?”
ฟางผิงทำท่าเหมือนคิดอะไรอยู่ “ความหมายของอาจารย์คือ พลังของผมกระจัดกระจายเกินไป ควรจะทำเหมือนกับการแทงเท้า รวบรวมพลังเข้าด้วยกันหน่อย…”
“นับว่ายังไม่เกินเยียวยา!”
หลู่เฟิ่งโหรวเดินไปพลางเอ่ยไปพลาง “ใช้พลังน้อยที่สุดโจมตีศัตรู รักษาพลังกายและปราณเอาไว้ นี่ถึงจะเป็นสิ่งที่พวกฝึกยุทธ์อย่างพวกเราควรทำ ต่อให้เป็นเคล็ดวิชาที่รุนแรงแค่ไหนก็ใช้การแลกเปลี่ยนที่น้อยที่สุดแปรเปลี่ยนเป็นพลังสังหารที่มากที่สุด! (ดาบคลั่งโลหิต) ฟังดูป่าเถื่อน อันที่จริงไม่ใช่ให้เธอสู้อย่างบ้าระห่ำอย่างเดียว ลองกลับไปอ่านการรวบรวมพลังและเทคนิคบีบอัดพลังให้ละเอียด รอนายฟันติดต่อกันสามดาบได้ ฝึกเพิ่มอีกนิด สามารถฟันอาวุธระดับ F ขาดในดาบเดียว นั่นถึงจะนับว่าสำเร็จขั้นแรก”
“ฟันติดต่อกันสามดาบสามารถตัดอาวุธระดับ F ได้?”
ฟางผิงยากจะเชื่ออยู่บ้าง หลู่เฟิ่งโหรวขมวดคิ้วว่า “นี่เป็นเคล็ดวิชาระดับกลาง เดิมทีก็มีไว้เพื่อผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามเรียนเคล็ดวิชาต่อสู้ระดับกลาง แม้จะอยู่ระดับเดียวกันก็ไม่ใช่คนที่ด้อยที่สุดอยู่ดี (ดาบคลั่งโลหิต) ไม่ใช่ของตามแผงลอย ทั้งไม่ใช่สิ่งที่พวกนักศึกษาสาขาศึกษาวิจัยดัดแปลงขึ้นมา แต่เป็นสิ่งที่ปรมาจารย์ตั้งใจคิดค้น! ของตามแผงลอยบางอย่าง แม้จะได้มาตรฐาน แต่หลายอย่างกลับเป็นเคล็ดวิชาที่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับต้นหยิบยืมมาจากบรรพบุรุษ นำมาเรียบเรียงเป็นเคล็ดวิชาต่อสู้อีกที อาวุธโลหะผสมระดับ D ในมือเธอ หากรู้จักรวบรวมพลังหน่อย ระเบิดปราณฟันติดต่อกันสามดาบ สามารถตัดอาวุธโลหะผสมระดับ F ได้อยู่แล้ว”
ว่าแล้ว จู่ๆ หลู่เฟิ่งโหรวก็มองเขาอย่างแปลกๆ “หรือเธอคิดว่าอยู่ขั้นหนึ่ง คงสามารถฟันติดต่อกันเจ็ดดาบได้?”
“หา?”
“เธอคงไม่ได้คิดแบบนี้จริงๆ สินะ?”
“ไม่…”
“ไม่ว่าจะคิดหรือเปล่า เธอต้องโยนความคิดปัญญาอ่อนนั่นทิ้งไปซะ! เคล็ดวิชาต่อสู้ระดับกลางมีไว้เพื่อผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม หากพูดง่ายๆ หน่อย ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งปราณอยู่ที่หนึ่งร้อยแปดสิบถึงสองร้อยห้าสิบแคล ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองอยู่ที่สองร้อยห้าสิบถึงสี่ร้อยแคล ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม นี่ถือเป็นระยะที่ค่อนข้างก้าวกระโดดของผู้ฝึกยุทธ์ ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามหลอมกระดูกแกนกลาง แม้กระดูกแกนกลางจะมีห้าสิบเอ็ดชิ้น แต่ทุกชิ้นเป็นกระดูกชิ้นใหญ่ทั้งสิ้น โดยเฉพาะช่วงกระดูกสันหลัง! หลอมกระดูกแกนกลางแล้ว ระบบกระดูกของมนุษย์ก็จะทำงานหมุนเวียน เวลานี้กะโหลกศีรษะไม่จำเป็นต้องทำงานร่วมกับระบบพวกนี้ ดังนั้นทุกครั้งที่หลอมกระดูกแกนกาย เมื่อหลอมสำเร็จหนึ่งชิ้น นั่นหมายถึงระดับปราณที่เพิ่มสูงขึ้น หลังจากเส้นเดินปราณเชื่อมต่อกันแล้ว จะเป็นการก้าวขึ้นไปอีกขั้น เมื่อแตะขั้นสาม ปราณของผู้ฝึกยุทธ์จะเริ่มตั้งแต่สี่ร้อยแคลไปจนถึงหนึ่งพันแคล เธอเข้าใจความหมายของฉันหรือเปล่า?”
ฟางผิงเอ่ยอย่างตกใจอยู่บ้าง “ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามปราณแตะถึงหนึ่งพันเลย?”
“ขึ้นอยู่กับคน หนึ่งพันแคลคือขีดจำกัด หรือจะพูดอีกอย่างว่าเก้าร้อยเก้าสิบแคลนั้นสูงสุดแล้ว แม้จะหลอมกระดูกสองครั้งก็เหมือนกัน…”
เวลานี้ฟางผิงตกใจกว่าเดิม เอ่ยว่า “ความหมายของอาจารย์คือ ไม่ว่าจะหลอมกระดูกสองครั้งหรือสามครั้ง เมื่อถึงขั้นสาม ปราณจะจำกัดอยู่ที่เก้าร้อยเก้าสิบเก้าแคลเท่านั้น?”
“ถูกต้อง แต่ยังคงเป็นประโยคนั้น ขึ้นอยู่กับคน เมื่อถึงระดับนั้นแล้ว น้อยนักที่จะไปตรวจปราณ บางคนเลยขีดจำกัดนั้นหรือเปล่า หากตัวเองไม่พูด ก็แทบไม่มีใครรู้”
หลู่เฟิ่งโหรวอธิบายแล้ว ค่อยเอ่ยต่อว่า “นี่มันนอกเรื่องไปแล้ว ความหมายของฉันคือเคล็ดวิชาระดับกลางเตรียมไว้เพื่อผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม หรือจะพูดว่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองสูงสุดสามารถฝึกวิชาได้เช่นกัน ทำไมน่ะเหรอ? เพราะขีดจำกัดของปราณ (ดาบคลั่งโลหิต) หากอยากจะฟันทุกดาบให้เกิดพลังสูงสุดจริงๆ ต้องระเบิดปราณประมาณหนึ่งร้อยแคล เธอทำได้หรือเปล่าล่ะ? ดาบที่เธอฟันออกมาเมื่อกี้ ระเบิดปราณออกมาไม่ถึงยี่สิบแคลเท่านั้น นับว่าเป็นการย่อส่วนของ (ดาบคลั่งโลหิต) แม้เธอจะสามารถฟันเจ็ดดาบได้ ก็เป็นแค่ของเลียนแบบเท่านั้น ไม่ใช่ของสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง ระดับเธอ ไม่จำเป็นต้องไล่ตามกระบวนท่ามากมาย แต่ต้องทำความเข้าใจให้ลึกลงไป ตอนที่เธอฟันออกไปหนึ่งดาบ สามารถระเบิดปราณออกไปได้หนึ่งร้อยแคล งั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งขั้นสอง แทบจะถูกนายฟันทิ้งทั้งสิ้น เข้าใจความหมายของฉันหรือเปล่า?”
———————-