ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 147 ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งสูงสุด (1)
ตอนที่ 147 ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งสูงสุด (1)
เวลาล่วงเลยไปวันแล้ววันเล่า การแข่งขันแลกเปลี่ยนทั่วประเทศของนักศึกษาใหม่ก็ยิ่งร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ!
“เป็นการแข่งขันของผู้ฝึกยุทธ์ครั้งแรกที่เปิดเผยต่อสาธารณะ!”
“นักศึกษาใหม่แนวหน้าจากกว่าสิบล้านคน”
“การแย่งชิงระหว่างมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้”
“…”
หัวข้อสนทนาต่างๆ ถูกผู้คนดึงมาถกประเด็นกันไม่หยุดหย่อน
ปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ต่อสู้กันมาหลายปี แม้จะบอกว่าปักกิ่งต่างหากที่เป็นอันดับหนึ่ง แต่คนทางใต้นั้นไม่ยอมรับ คิดว่าเซี่ยงไฮ้ไม่ได้ด้อยไปกว่าปักกิ่งเช่นกัน
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่สองมหาวิทยาลัยจัดการแข่งขันอย่างเปิดเผย
กลางเดือนธันวาคม กระทรวงการศึกษาเผยแพร่ข้อมูลต่อสาธารณะ
การแข่งขันแลกเปลี่ยนนักศึกษาใหม่ทั่วประเทศจะเปิดเผยต่อภายนอกอย่างเป็นทางการ
ในขณะเดียวกัน สถานที่ก็ถูกกำหนดอย่างเป็นทางการออกมา สนามกีฬาของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้
สถานที่อยู่ในมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ ไม่มีสถานที่ที่เหมาะสมไปกว่านี้แล้ว
นี่ถือเป็นการทดลองครั้งแรกของกระทรวงการศึกษาเช่นกัน ให้คนธรรมดาได้ทำความเข้าใจกับมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้มากยิ่งขึ้น กระตุ้นให้พวกเขาใฝ่ฝันอยากเป็นผู้ฝึกยุทธ์
สนามกีฬาของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ ครั้งนี้จำหน่ายตั๋วค่าเข้าต่อบุคคลภายนอกแค่ห้าพันใบเท่านั้น
ตั๋วห้าพันใบ สำหรับการแข่งขันแลกเปลี่ยนครั้งแรกที่เปิดเผยต่อสาธารณะชนแล้ว ถือว่าน้อยอย่างยิ่ง
ยังไม่ทันเริ่มจำหน่ายตั๋ว ในอินเทอร์เน็ตและภายนอกกลับมีหลายคนเริ่มปั่นราคาตั๋วเข้าชมจนราคาสูงลิ่วแล้ว
—
มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้
ฟางผิงรับโทรศัพท์จากฟางหยวนอีกครั้ง
เด็กสาวตื่นเต้นอย่างสุดขีด เอ่ยว่า “ฟางผิง นายอยู่เซี่ยงไฮ้ สามารถซื้อตั๋วล่วงหน้าได้หรือเปล่า?”
“เธอจะทำอะไร?” ฟางผิงมีลางสังหรณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
“โอกาสหาเงินมาถึงแล้ว! ราคาของทางการหนึ่งใบเก้าร้อยเก้าสิบเก้าหยวน ตอนนี้มีหลายคนปั่นราคา สองพันสามพันก็มีคนซื้อ! ถ้านายซื้อล่วงหน้าได้ พวกเราซื้อห้าพันใบมาให้หมด…”
ฟางผิงไร้คำจะพูด เด็กคนนี้คิดเพ้อฝันจริงๆ!
นี่คิดจะเป็นคนขายตั๋วผีรายใหญ่ที่สุดสินะ?
แต่เธอประเมินพี่ชายตัวเองสูงเกินไปแล้ว
ให้ซื้อห้าพันใบ ห้าใบเขายังจะหาซื้อไม่ได้เลย!
ฟางผิงเอ่ยอย่างจนใจอยู่บ้าง “ซื้อไม่ได้ เธออย่าคิดรวยทางนี้เลย เดี๋ยวฉันจะลองไปถามดู น่าจะมีตั๋วฟรีให้พวกเราอยู่”
พวกเขาที่เป็นผู้เข้าร่วมแข่งขัน ต้องมีตั๋วฟรีให้อยู่แล้ว
แต่คงไม่เยอะมาก ครั้งนี้การแข่งขันแลกเปลี่ยนถูกจับตามองอย่างยิ่ง
หากกระทรวงการศึกษาส่งคนมา คนของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้แต่ละแห่งรวมทั้งนักศึกษาที่มาเข้าชมการต่อสู้ คนพวกนี้ล้วนใช้ตั๋วภายใน
ทางเซี่ยงไฮ้รองรับคนเป็นหมื่นได้สบาย
แต่จำหน่ายตั๋วภายนอกห้าพันใบ ให้มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้แห่งหนึ่งห้าสิบใบ นั่นถึงขีดจำกัดแล้ว
ฟางผิงที่เป็นผู้เข้าร่วมการแข่งขัน ได้ตั๋วมาสามใบถือว่าดีมากแล้ว
ฟางหยวนได้ยินว่ามีตั๋วฟรีให้ จึงเอ่ยอย่างดีใจทันที “ให้กี่ใบ?”
“ไม่รู้ อาจจะสองสามใบ”
“น้อยชะมัด?”
“เธอจะเอาอีกกี่ใบล่ะ?”
ฟางผิงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “อย่ามาคิดรวยวิธีนี้ คิดอะไรอยู่ ถ้าเธออยากมา งั้นก็สอบให้ได้คะแนนดีๆ ใกล้จะถึงช่วงสอบปลายภาคแล้ว ใครเขาจะเอาเวลามาคิดเรื่องอื่นกัน! ถ้าสอบได้คะแนนไม่ดี ไม่อนุญาตให้ไปไหนทั้งนั้น!”
ตำหนิน้องสาวแล้ว ฟางผิงไม่ฟังเสียงบ่นพร่ำของเธออีก กำชับให้กินข้าวเยอะๆ แล้วค่อยรีบวางสายไป
—
วางสายแล้ว ฟางผิงก็ถอนหายใจ “หลอมกระดูกขาเสร็จสักที!”
ครึ่งเดือนนี้ เพราะต้องแบ่งเวลาไปฝึกเคล็ดวิชาต่อสู้ การหลอมกระดูกของเขาจึงไม่มีความก้าวหน้าเท่าไหร่
กระดูกสามชิ้นสุดท้าย ฟางผิงใช้เวลาหลอมไปเกือบครึ่งเดือน
นี่ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับที่ฟางผิงให้ระบบอัปเกรดก่อนหน้านี้
เวลานั้นไม่ได้หลอมเส้นเดินปราณและเนื้อหนังไปด้วย ทำให้ฟางผิงค้นพบข้อเสียบางอย่าง
เส้นเดินปราณและเนื้อหนังไม่ถูกบ่มเพาะ เมื่อระเบิดปราณระหว่างฝึกเคล็ดวิชาต่อสู้มักจะเกิดข้อบกพร่องและแรงกดดัน ไม่เป็นที่น่าพอใจเท่าไหร่
ครึ่งเดือนนี้ ฟางผิงจึงไม่ได้เร่งรีบหลอมกระดูก แต่ใช้เวลาไปกับการฝึกเคล็ดวิชาต่อสู้ พร้อมทั้งซื้อยาเพิ่มความแข็งแรงมาใช้
“หลอมกระดูกได้ไม่เยอะ แต่ครึ่งเดือนนี้กลับสิ้นเปลืองไปไม่น้อย”
ช่วงต้นเดือน ค่าทรัพย์สินของฟางผิงแตะเกือบสิบสามล้าน
หลังจากนั้นไปรับอีกแปดสิบคะแนน ค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากว่าสิบห้าล้าน
แต่พอฝึกเคล็ดวิชาต่อสู้ระดับกลาง จึงสิ้นเปลืองปราณลงไปอย่างมาก
ฟันดาบหนึ่งออกไปสุดแรง ไม่ได้สิ้นเปลืองที่ปราณ แต่เป็นค่าทรัพย์สิน!
ฟันลงไปหนึ่งดาบเท่ากับค่าทรัพย์สินที่หายไปหลายหมื่น
เวลานี้ฟางผิงสามารถควบคุมพลังปราณของตัวเองได้แล้ว ฟันดาบหนึ่งออกไปสุดแรง ระเบิดปราณสูงถึงสามสิบห้าแคล
อยากจะฟื้นฟู ก็ต้องใช้ค่าทรัพย์สินถึงสามหมื่นห้าพันหยวน!
แน่นอนว่า ตอนที่ฝึกวิชาไม่มีความจำเป็นต้องระเบิดพลังปราณเต็มที่ทุกครั้ง
แต่แม้จะเป็นแบบนี้ ทุกวันฟางผิงกลับยังคงสิ้นเปลืองค่าทรัพย์สินกว่าสองแสนหยวน
เวลานี้ฟางผิงรับรู้ถึงสิ่งที่เรียกว่า ใช้เงินราวกับกระดาษอย่างแท้จริง
ผ่านมาครึ่งเดือน รวมกับการหลอมกระดูก ฝึกเคล็ดวิชา หลอมร่างกาย…
นึกมาถึงตรงนี้ ฟางผิงก็อดมองตัวเลขข้างหน้าไม่ได้
ทรัพย์สิน : 11,000,000
ปราณ : 299 แคล (319 แคล)
จิตใจ : 259 เฮิรตซ์ (279 เฮิรตซ์)
หลอมกระดูก : 62 ชิ้น (90%) , 144 ชิ้น (30%)
“นับตั้งแต่ต้นเดือนจนถึงตอนนี้ เสียค่าทรัพย์สินไปทั้งหมดประมาณสามล้านห้าแสนหยวน!”
“ยังเสียเงินซื้อยาเพิ่มความแข็งแรงให้ร่างกายไปเกือบหนึ่งล้าน!”
นี่เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ฟางผิงสามารถเพิ่มขีดจำกัดของปราณขึ้นมาเจ็ดแคลในการหลอมกระดูกสามชิ้นสุดท้าย
ร่างกายยิ่งแข็งแรงเท่าไหร่ ขีดจำกัดปราณของเขาจะสูงมากขึ้นเท่านั้น
ฟางผิงที่ฝึกวิชาในห้องพึมพำว่า “หากนับเป็นเงิน คงเสียไปประมาณสี่ล้านห้าแสนแล้ว ฉันเพิ่งจะขั้นหนึ่งเท่านั้น”
ตั้งแต่เขาเริ่มฝึกวิชาจนทะลวงขั้นหนึ่งสูงสุดในตอนนี้ รวมแล้วฟางผิงใช้ค่าทรัพย์สินไปเกือบยี่สิบล้านแล้ว!
ผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไป ตั้งแต่เริ่มฝึกวิชาจนถึงขั้นหนึ่งสูงสุดคงใช้เงินไม่มากถึงขนาดนี้หรอก
พวกเขาแตะถึงขั้นหนึ่งแล้ว ก็ไม่ได้สนใจเรื่องความเร็ว ฝึกวิชาอย่างค่อยเป็นค่อยไป หลอมกระดูกหนึ่งครั้งน่าจะใช้เงินแค่สองล้านเท่านั้น
จากขั้นหนึ่งถึงขั้นสองสูงสุด หากไม่สนใจเรื่องความเร็ว ห้าล้านนับว่าเหลือเฟือ!
ค่าใช้จ่ายของฟางผิงเยอะกว่าพวกเขาถึงสี่เท่า
แน่นอนว่าความแตกต่างเห็นได้ชัดเจนเช่นกัน
ฟางผิงที่เริ่มต้นเส้นทางผู้ฝึกยุทธ์โดยไม่รู้อะไรจนถึงตอนนี้ ใช้เวลาไปแปดเดือน เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งสูงสุดที่หลอมกระดูกสามครั้ง ฝึกสองเคล็ดวิชาต่อสู้ระดับกลาง ปราณแตะเกือบสามร้อยยี่สิบแคล นี่เป็นค่าตอบแทนที่เขาได้รับ
—
ร้านเครื่องดื่มโซนหอพัก
ฟางผิงสั่งชาแดงแก้วหนึ่งแล้วก็นั่งลง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว?”
จ้าวเสวี่ยเหมยถอนหายใจ เอ่ยอย่างจนใจว่า “เพราะไม่ได้หลอมกระดูกสองครั้ง จึงพัฒนาไปได้ช้า ตอนนี้หลอมกระดูกห้าสิบสามชิ้นแล้ว ยังเหลืออีกเก้าชิ้น ทั้งยัง…ต้องใช้เงินเยอะมาก!”
ทำให้จ้าวเสวี่ยเหมยหลุดปากออกมาว่าใช้เงินเยอะมาก นั่นคงจะเยอะจริงๆ
ครึ่งเดือนนี้ เธอใช้ยาบำรุงเลือดและปราณขั้นสองเจ็ดเม็ด ยาเสริมสร้างกระดูกขั้นหนึ่งอีกสามเม็ด
ทั้งซื้อยาเพิ่มความแข็งแรงร่างกายอีกกว่าล้าน รวมทั้งหมดแล้วเสียไปกว่าเจ็ดล้าน!
ฐานะของจ้าวเสวี่ยเหมยไม่ถือว่าจน เดิมทีพ่อของเธอเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ ต้องมีทรัพย์สินมากอยู่แล้ว
แต่หากต้องสิ้นเปลืองแบบนี้ต่อไป จ้าวเสวี่ยเหมยก็ปวดใจเช่นกัน
ได้ฟังจ้าวเสวี่ยเหมยว่าอย่างนั้น ฟางผิงจึงเอ่ยปลอบใจว่า “แบบนี้ฉันค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย”
คนอื่นเสียเงินเยอะกว่าตัวเอง กลับพัฒนาสู้ตัวเองไม่ได้ แบบนี้ค่อยสบายใจหน่อย
หากคนอื่นเสียเงินน้อยกว่า แต่ก้าวหน้าเร็วกว่าตัวเอง นั่นคงกลัดกลุ้มใจแล้ว
จ้าวเสวี่ยเหม่ยชำเลืองมองเขา เอ่ยอย่างหงุดหงิดว่า “จำเป็นต้องดีใจที่คนอื่นเป็นเดือดเป็นร้อนด้วยหรือไง? ยังดีที่อาจารย์บอกว่าครั้งหน้าจะให้ยาบำรุงฉันแค่ครึ่งราคา ไม่งั้นฉันคงลังเลไปแล้ว…”
“อะไรนะ?”
ฟางผิงทำหน้าไม่พอใจ “อาจารย์ไม่เห็นบอกฉันเลย ได้ไงเนี่ย!”
หลู่เฟิ่งโหรวลำเอียงเกินไปแล้ว
ลดตั้งครึ่งราคา นี่ไม่ใช่การชดเชยที่น้อยๆ เลย
“เชอะ อาจารย์บอกว่ายาบำรุงนายมีเยอะจนกินไม่หมด ถึงขั้นเอาไปขายข้างนอกได้จำนวนมาก จะให้นายครึ่งราคาทำไมอีก…”
“มีเรื่องแบบนี้ที่ไหนกัน นั่นเพราะฉันเงินหมดต่างหาก?”
“ใครจะเชื่อนายกัน!”
จ้าวเสวี่ยเหมยแค่นหัวเราะ ก่อนจะเอ่ยว่า “แต่ก็แค่ก่อนจะเข้าขั้นหนึ่งสูงสุดเท่านั้นแหละ นายคิดว่าอาจารย์เปิดบริษัทยาจริงๆ หรือไง”
ก่อนจะเข้าขั้นหนึ่งสูงสุด หลู่เฟิ่งโหรวจะช่วยลดภาระให้เล็กน้อย แต่หลังจากนั้นยังต้องให้พวกเขาพึ่งตัวเอง
ฟางผิงจนใจอยู่บ้าง เรื่องที่ตัวเองแลกยาบำรุงจำนวนมาก ไม่ใช่ความลับสำหรับพวกหลู่เฟิ่งโหรว
เขาขายออกไปข้างนอกจำนวนมากเอง หลู่เฟิ่งโหรวคงไม่ชดเชยเรื่องนี้ให้เขา
ไม่คิดเรื่องนี้แล้ว ฟางผิงถามว่า “ครึ่งเดือนนี้เธอหลอมกระดูกอย่างเดียว ไม่ได้ฝึกเคล็ดวิชาต่อสู้งั้นเหรอ?”
“เรียนเคล็ดวิชากระบองระดับต้น รวมกับการแทงเท้าก่อนหน้านี้ น่าจะพอใช้ได้แล้วล่ะ”
อยู่ขั้นหนึ่ง เรียนสองเคล็ดวิชาต่อสู้ระดับต้น ถือว่าเหลือเฟือแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นจ้าวเสวี่ยเหมยยังไม่มีแรงไปเรียนเคล็ดวิชาต่อสู้อย่างอื่นมากมายขนาดนั้น
“งั้นเธอระเบิดปราณได้เยอะเท่าไหร่?”
“ความลับ!”
———————